ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 239 ออกเรือ
บทที่ 239: ออกเรือ
นิ้วมือทั้งสิบของฉินเย่เคาะไปบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว “ท่านหมิง รบกวนท่านช่วยระบุตำแหน่งขององเมียวจิให้ข้าที ข้าจะต้องไปพบกับพวกเขาก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงช่องแคบสึชิมะ”
“ได้”
ผิวหน้าของกระจกส่องกรรมเริ่มกะพริบอย่างรวดเร็วพร้อมกับฉายตำแหน่งมากมายทั่วเมืองตงไห่ขณะที่มันค้นหาองเมียวจิ ฉินเย่ถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงหันไปให้ความสนใจกับการร่างข้อตกลง
โชคดีที่ความเข้มงวดของการร่างวิทยานิพนธ์ทำให้การร่างเอกสารเกี่ยวกับข้อตกลงของเขาเป็นไปโดยง่าย เมื่อรวมกับความยิ่งใหญ่ของห้องสมุดไป่ตู้ เขาสามารถร่างข้อตกลงออกมาได้ภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง
และมันก็ไม่ใช่ว่าฉินเย่จะดูถูกความสามารถในการทำความเข้าใจข้อตกลงของโอดะโนบูนางะแต่อย่างใด
กลับกัน เขาค่อนข้างชื่นชมข้อเท็จจริงที่ว่าร่างข้อตกลงในสมัยนี้นั้นมีความเข้มงวดกว่าเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมามาก มันคงบ้ามากดีเดียวหากโนบูนางะสามารถอ่านข้อตกลงในสมัยนี้รู้เรื่อง !
มันเรียกว่าอะไรนะ ?
ความต่างระหว่างวัย ! สารสนเทศไม่สมมาตร !
หลายชั่วโมงต่อมา พวกเขาเดินทางกลับมาที่วัดฮนโน หมิงชีหยินลอยอยู่ข้าง ๆ ในฐานะของพยาน ขณะที่โนบูนางะหยิบตราประทับส่วนตัวของตนออกมา
ตึก… เขาประทับตราลงไปบนร่างสัญญาณและใส่พลังหยินของตัวเองอ่านตราประทับ สัญลักษณ์เหรียญทองแดงปรากฏขึ้นบนร่างสัญญา
“เอาล่ะ เช่นนั้น… ขอให้การร่วมงานของเราเป็นไปได้ด้วยดี” เสียงแหบพร่าของโนบูนางะดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของม่านไม้ไผ่ขณะที่ฉินเย่จากไปอย่างรวดเร็ว โนบูนางะยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับว่าเขากำลังเหม่อลอย หลังจากผ่านไปสิบนาที เขาก็เอ่ยออกมาเสียงดัง “โนบูทาดะ”
ฟึ่บ… สายลมรุนแรงพัดเข้ามาภายในห้อง และชุดเกราะขนาดใหญ่ที่ปล่อยพลังหยินจำนวนมหาศาลออกมาก็เดินเข้ามา ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นจากความมืดภายใต้หมวกนักรบ “ท่านพ่อ”
โนบูนางะลุกขึ้นยืนจากด้านหลังของม่านไม้ไผ่เป็นครั้งแรก ร่างของเขาดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยขณะที่ยกม่านขึ้น “สถานะทหารของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ?”
“ท่านพ่อ ทหารของเรามีจำนวนทั้งสิ้น 2,200 นาย จากจำนวนทั้งหมดนี้เรามีวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณ 15 ตน รวมถึงตัวข้าเอง ขั้นยมเทพอีก 300 ตน ถึงแม้ว่าวิญญาณตนอื่น ๆ จะยังไม่ได้อยู่ขั้นยมเทพ แต่พวกเขาก็ฝึกฝนกับเรามาตลอด และความสามารถของพวกเขาจะต้องอยู่เหนือกว่าวิญญาณทั่วไปอย่างแน่นอน”
ไร้ซึ่งคำตอบ…
โนบูนางะเพียงเคาะพัดในมือของเขาไปตามจังหวะของชีพจร หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็ถอนหายใจออกมาในที่สุด “ระดมพล เตรียมตัวให้พร้อม”
โนบูทาดะที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง จากนั้นจึงเอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ท่านพ่อ… นี่ หมายความว่าพวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ?”
“ใช่ พวกเราอาจจะได้ออกไปเร็วกว่าที่คาด” โนบูนางะเอ่ย “โนบูทาดะ เจ้าคิดว่าคำพูดของผู้ส่งสารของท่านเปาสามารถไว้ใจได้หรือไม่ ?”
“แน่นอนท่านพ่อ ! ข้ายังจำได้ เมื่อตอนที่ข้าติดตามท่านไปเพื่อจ่ายส่วยให้กับพวกเขา กระจกโบราณบานนี้….”
โนบูนางะแค่นหัวเราะออกมาก่อนที่ผู้เป็นลูกจะเอ่ยจบ “หากเขาสามารถเชื่อใจได้ เหตุใดเขาจึงไม่เอ่ยถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดกัน ?”
จุดสีแดงสองจุดในชุดเกราะขนาดใหญ่วูบไหวเล็กน้อย เขาเข้าใจความหมายที่ผู้เป็นพ่อต้องการจะสื่อทันที “ท่านพ่อหมายถึงเรื่อง …ทหารใช่หรือไม่ ?”
“ใช่แล้ว” หัวของโนบูนางะลอยออกมาจากช่องอกและขึ้นมาอยู่บนคอขณะที่เขาหันไปมองมือที่ไหม้เกรียมของตนอย่างรังเกียจ “เป็นร่างกายที่น่ารังเกียจยิ่งนัก…”
“โนบูทาดะ เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่าหากท่านเปาตั้งใจจะสนับสนุนเรา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะไม่พูดถึงความแข็งแกร่งทางทหาร เพราะอย่างไรแล้ว กองกำลังทหารก็คือสิ่งที่จะมอบความมั่นใจให้แก่เราในสถานการณ์ตอนนี้ อิซานามิและผู้ใต้บังคับบัญชาของนางจะต้องไม่กล้าแม้แต่จะลงมือใด ๆ ตราบใดที่ธงของยมโลกญี่ปุ่นยังคงลอยเด่นอยู่บนฟ้า ! แต่ผู้ที่มากลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย”
“อันที่จริง พ่อสามารถบอกได้เลยด้วยซ้ำว่าเขาจงใจหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงเรื่องนี้ และหากเขาไร้ซึ่งกองกำลังของตัวเองสนับสนุนเขาอยู่ เขาก็จะต้องให้พวกเราเป็นฝ่ายออกแนวหน้าแน่นอน โนบูทาดะ บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ !”
โนบูทาดุมึนงงเป็นอย่างมาก ชุดเกราะขนาดใหญ่สั่นเทาเล็กน้อย “แต่ท่านพ่อ ท่านจะ… เผชิญหน้ากับเหล่าเทพอย่างนั้นหรือ ? ระ เรากำลังพูดถึงเทพแห่งความตายในตำนาน !”
“แล้วอย่างไร ?!” โนบูนางะหันหลังกลับไปจ้องหน้าชุดเกราะขนาดใหญ่ พลังหยินมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดขณะที่เอ่ยเสียงดังกึกก้อง “เทพแห่งความตายแล้วอย่างไร ?! ยมทูตแล้วอย่างไร ?! ตอนที่เรารู้ถึงการมีอยู่ของยมโลกและเดินทางมาที่จีนเพื่อจ่ายส่วยให้กับพวกเขา เราได้ส่วนแบ่งที่เท่าเทียมกันกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ ?!”
ดวงตาของโนบูทาดะวาวโรจน์และเขาเอ่ยตอบ “รับทราบ !”
“มันไม่สำคัญว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับใคร สักวันหนึ่ง ธงของตระกูลโอดะจะต้องถูกชูขึ้นในทั่วทุกมุมของโลก !”
โนบูนางะเดินออกมาด้านนอกช้า ๆ “ไปเถอะ ด้วยทหารม้าของเรา เราสามารถประกาศให้ยายแก่อิซานามิและแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่รับใช้นางพวกนั้นว่าข้า โอดะโนบูนางะ ปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้ฟื้นคืนมาจากเถ้าถ่านและกลับมาพร้อมกับทหารม้าของข้าเพื่อทวงคืนสิ่งที่ควรจะเป็นของข้าโดยชอบธรรมแล้ว !”
“ท่านพ่อ เช่นนั้น ข้อตกลงที่เราเพิ่งลงนามไป… เราจะยังให้ความสำคัญกับมันอยู่หรือไม่ ?”
“ข้อตกลง ?” โนบูนางะแค่นหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด ข้อตกลงเช่นนี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราลงนามต่อหน้าท่านเปาเองเท่านั้น พวกเราจะไปเชื่อคำพูดของยมทูตตนนี้ได้อย่างไร ?”
“รับทราบ !”
ชุดเกราะขนาดใหญ่กลายร่างเป็นคลื่นพลังหยินที่หายไปจากห้องทันที
แสงไฟสลัวจากตะเกียงไฟส่องให้เห็นใบหน้าของโนบูนางะ แม้ว่ามันจะค่อนข้างซีดขาว แต่มันก็ยังสง่างามและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
คิ้วหนา สันกรามที่เด่นชัดและเครื่องหน้าที่คมชัด เขาไม่ได้ไว้ทรงผมทรงซามูไรดั่งเช่นซามูไรทั่วไป แต่เขากลับถักเปียราวกับองค์ชายของจีนในสมัยโบราณและไว้เคราะแพะ โดยรวมแล้วมันทำให้เขาดูค่อนข้างสง่างามและยิ่งใหญ่
“มันเป็นเพราะว่าเจ้าต้องการให้เราให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้า หรือว่าเจ้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่ ?” เขาเคาะพัดในมือที่ราวระเบียงเบา ๆ ขณะที่พึมพำกับตัวเองและหัวเราะออกมาเบา ๆ “แต่ตราบใจที่พวกเจ้าสามารถช่วยข้าในการพิชิตญี่ปุ่นและรักษาคำมั่นเกี่ยวกับหนึ่งยมโลกสองระบบได้ การให้โอกาสเจ้าจะเสียหายอะไร ?”
……………
เมื่อฉินเย่กลับมาจากวัดฮนโน เขาจ้องมองร่างข้อตกลงในมือของตัวเองและเกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข
ข้อตกลงนี้มันไร้ค่ามากสำหรับเขา แต่… นี่คือหลักฐานที่แน่นหนาต่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง !
องเมียวจิ !
ด้วยสิ่งนี้ในมือ เขาจะสามารถดำเนินแผ่นการของเขาต่อและรวบรวมกองกำลังภายใต้คำบัญชาการของเขาได้ ยมโลกของญี่ปุ่นน่าจะส่งทหารมาประมาณ 6,000 นาย หากเขาได้รับความร่วมมือจากองเมียวจิ รวมกับกองกำลังของโอดะโนบูนางะ รวมถึงการแสดงความยิ่งใหญ่ของท่านเปาจากหมิงชีหยิน มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะสามารถทลายวงล้อมที่กำลังรอพวกเขาอยู่ได้ !
“ทีนี้เจ้าเข้าใจถึงความยุ่งยากของขนนกทมิฬหรือยัง ?” หมิงชีหยินเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “ในเมื่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญ การปรากฏตัวของผู้มีพรสวรรค์มักก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างยมโลกเสมอ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ที่เป็นขนนกทมิฬจึงถึงว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือในหมู่ผู้มีฝีมืออีกทีของยมโลก”
ฉินเย่พยักหน้า “ท่านรู้ตำแหน่งขององเมียวจิหรือยัง ?”
กระจกโบราณส่ายไปมาเล็กน้อย “ไม่ ข้าพยายามหาทั่วทั้งเมืองตงไห่แล้ว พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
“เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะอยู่บนเรือแล้ว” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นขณะที่เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“เรือ ? เจ้าหมายความว่าพวกเขาออกเรือไปแล้วอย่างนั้นหรือ ? เหตุใดพวกนั้นจึงไม่รออยู่ที่ญี่ปุ่น ?” หมิงชีหยินเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ
ฉินเย่ส่ายศีรษะ กระบวนการคิดของเขานั้นเฉียบแหลมอย่างไม่น่าเชื่อ เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “จากมุมมองขององเมียวจิ ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้วิญญาณของโนบูนางะตื่นขึ้นมาก็คือการผนึกถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอีกครั้ง และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ แต่… ถ้าหากมีคนอื่นสามารถประมูลมันไปได้ล่ะ ? พวกเขาจะสามารถแข่งขันกับผู้ที่ร่ำรวยขนาดนั้นได้หรือ ?”
เขามองไกลออกไปทางทิศทางของช่องแคบสึชิมะ “ทางที่ดีที่สุดก็คือการแย่งมันมาก่อนงานประมูล เหมือนอย่างที่พวกยมทูตญี่ปุ่นพยายามจะทำ พวกเขารู้ดีถึงระบบการรักษาความปลอดภัยของกล่องเวทมนตร์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงยังไม่ลงมือตั้งแต่ที่เมืองตงไห่ แต่บนเรือนั้นไม่เหมือนกัน เพราะอย่างไรแล้ว ทางโรงประมูลเจียเต๋อก็ต้องตรวจทานความถูกต้องสินค้าทั้งหมดที่จะถูกขายในงานประมูลใหญ่ และมันก็มีโอกาสที่กล่องเวทมนตร์จะถูกเปิดออกถ้าอยู่บนเรือ ก่อนที่มันจะออกเดินทาง”
เขาเคาะนิ้วบนขอบหน้าต่าง “ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าพวกเขาได้ออกเดินทางไปแล้วและกำลังรอที่จะเคลื่อนไหวอย่างอดทน นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเรา เพราะอย่างไรแล้ว ข้าก็ต้องการเวลาในการระบุตำแหน่งของพวกเขาและเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาร่วมมือกับเรา และข้าคงไม่มีเวลามากพอหากพวกเขาขึ้นเรือที่ญี่ปุ่น”
“ตามหลักการแล้ว ข้าอยากจะได้ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมาทันทีที่กล่องเวทมนตร์ถูกเปิด ด้วยวิธีนั้น เราก็จะไม่จำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังที่น่ากลัวที่รอเราอยู่ที่ทะเลตะวันออก”
หมิงชีหยินที่ได้ยินเช่นนั้นถามว่า “มีความเป็นไปได้มากเพียงใด ?”
“ท่านกำลังถามถึงความเป็นไปได้ที่ทางโลงประมูลเจียเต๋อจะยืนยันสินค้าที่พวกเขากำลังจะประมูล หรือว่าท่านกำลังถามถึงความเป็นไปได้ที่ข้าจะสามารถแย่งถ้วยมาได้กันแน่ ? หากเป็นอย่างแรก ข้ามั่นใจ 100% ! เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะย้อนกลับมาที่ท่าเรือหลังจากที่ออกไปที่ทะเลหลวงแล้ว ไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะเป็นใคร แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทางประเทศจะทำเป็นปิดหูปิดตาเป็นครั้งที่สอง ดังนั้น ช่วงเวลาก่อนที่เรือจะออกเดินทางจึงเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาที่จะตรวจทานสินค้า”
“หากพวกเขาทำพลาด หรือหากพวกเขาลืมบางอย่างไป พวกเขาก็ยังสามารถชะลอการเดินทางและหาสิ่งที่ตัวเองต้องการก่อนได้ เมื่อพวกเขาออกเดินทางไปที่ทะเลหลวง ทุกอย่างจะต้องครบถ้วนอย่างที่ตกลงเอาไว้ จากนั้นมันก็จะใช้เวลาประมาณ 30 ชั่วโมงกว่าจะถึงช่องแคบสึชิมะ พวกเขาจะต้องเปิดกล่องอีกครั้งในช่วงนั้นแน่ ๆ”
“ส่วนความเป็นไปได้ที่ข้าจะสามารถประมูลถ้วยมาได้นั้น…” ฉินเย่ถอนหายใจยาวเหยียด “มันมีไม่ถึง 20% ยมทูตญี่ปุ่นและองเมียวจิไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นข้ามั่นใจเลยว่ามันจะไม่ได้มีเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่เริ่มเคลื่อนไหวเมื่อกล่องถูกเปิด และหากทั้งสามฝ่ายต่างแย่งกันไปมาไม่จบสิ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะไม่มีฝ่ายไหนได้ถ้วยไป และเราทั้งหมดก็ต้องรอให้การประมูลเริ่มขึ้น ท่านหมิง ข้าคงต้องรบกวนท่านในการจับตาดูกล่องเวทมนตร์เอาไว้เมื่อเราเริ่มออกเรือ ทันทีที่มันถูกเปิด เราจะต้องแย่งมาให้ได้ ไม่ว่าเราจะสามารถทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม”
หมิงชีหยินเงียบไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาร์ทิสถึงวางใจที่จะให้เจ้าลงมือด้วยตัวเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่าทางของเจ้าในตอนนี้แตกต่างจากเจ้าตอนปกติอย่างสิ้นเชิง ? ก่อนหน้านี้นางเคยบอกว่าเจ้าไม่มีทางเผยคมเขี้ยวของตัวเองออกมาจนกว่าจะถูกต้อนจนจนมุม ข้าเดาว่า… วิกฤตที่กำลังจะมาถึงนั้นกระตุ้นส่วนลึกในจิตใจของเจ้าใช่หรือไม่ ?”
“อาจจะ” สายลมเย็นจากแม่น้ำพัดปะทะใบหน้าของฉินเย่เบา ๆ เขาหรี่ตาลงขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง “ทั้ง ๆ ที่ความทรงจำบางเรื่องที่ถูกซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ แต่พวกมันก็ยังเลือกที่จะทิ่มแทงหัวใจของข้าในจุดที่เจ็บที่สุด และหากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงต้องขอเวลาอีกสักหน่อย”
“เมื่อไปถึงที่ช่องแคบสึชิมะ… เราจะได้เห็นว่าผู้ใดกันแน่ที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย !”
ในไม่ช้าช่องแคบสึชิมะจะถูกย้อมให้เป็นสีดำสนิทด้วยพลังหยิน !
……………
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเย็นของวันที่สาม ฉินเย่คืนกล่องเวทมนตร์ให้กับหัวหน้าใหญ่ชูและโทรหาหลินฮั่นเพื่อบอกว่าตนจะไม่อยู่และไม่สามารถติดต่อได้เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ จากนั้นเขาก็เดินทางออกจากโรงแรม
เขาจะต้องไปขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปที่ช่องแคบสึชิมะ ทว่าครั้งนี้… เขาไม่ได้ขึ้นเรือไปในฐานะของยมทูตขาวดำ แต่เป็นในฐานะของผู้เข้าร่วมประมูล
เขาได้รับโทรศัพท์จากไป๋อี้ชานหลังจากที่เดินทางออกมาจากโรงแรม “คุณฉินครับ 03.30 น.คืนนี้ ที่ท่าเรือตงไห่หมายเลข DT0021”
ในที่สุดก็ถึงเวลา…
ฉินเย่วางสายโทรศัพท์และสูดหายใจเข้าช้าๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นเขาก็พักสมองจนถึงตี 1 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสวมชุดสูทและเดินทางไปที่ท่าเรือตงไห่หมายเลข DT0021 ทันที
มันเป็นท่าเรือที่ดูทรุดโทรมเป็นอย่างมาก
มันดูเหมือนกับว่ากิจการส่วนนี้ถูกระงับมาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว เรือที่ขึ้นสนิมหลายลำปรากฏให้เห็นไปทั่ว รวมถึงกองอุปกรณ์ที่ถูกใช้แล้ว ทุ่นชูชีพ แหตกปลาและอื่น ๆ อีกมากมายถูกทิ้งกลาดเกลื่อนไปหมด แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับมีเรือสำราญสุดหรูลำหนึ่งจอดเทียบท่าอยู่
ตัวเรือสีขาวบริสุทธิ์ สามชั้น ดูทันสมัยและเพรียวบาง ดูค่อนข้างใหม่และส่องสว่าง ฉินเย่ไม่ใช่คนแรกที่เดินทางไปถึง
อันที่จริง มันมีทั้งโรลส์-รอยซ์ เบนท์ลีย์ ฮัมวีและรถยนต์หรูอีกมากมายจอดอยู่ตามท่าเทียบเรือที่ทรุดโทรมนี้ เหล่านักธุรกิจที่ร่ำรวยสุด ๆ ผู้ซึ่งมักจะสามารถเห็นได้ตามโทรทัศน์ต่างกำลังมาขึ้นเรือในยามค่ำคืน พร้อมกับการติดตามของเหล่าผู้คุ้มกันส่วนตัวของตน
ฉินเย่รอจนกระทั่งไม่มีใครเหลืออยู่รอบ ๆ ก่อนจะเดินออกมาและไปที่เรือ
นอกจากนี้เขายังไม่คิดที่จะปิดบังพลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของตัวเองเลยสักนิด
พลังหยินจำนวนมากหลั่งไหลออกมาราวกับกระแสน้ำ สำรวจคนทั้งหมดที่ยืนคุ้มกันอยู่ที่บริเวณจุดขึ้นเรือ ตอนนี้เขาก็ยืนอยู่ที่ทางขึ้น มอบหมายเลขลงทะเบียนให้กับชายในชุดสูทสีดำที่ประตูและรอการตรวจสอบ
“หากเจ้าฉลาดพอ เจ้าคงไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่…”
“ข้าไม่มีเวลาที่จะมาเล่นซ่อนหากับพวกเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแสดงตัวออกมา เช่นนั้น… ข้าควรจะส่งสัญญาณเตือนผู้คนบนเรือดีหรือไม่ ? ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าพวกเจ้าจะมีปฏิกิริยาเช่นไรเมื่อตรวจจับได้ถึงพลังของขั้นยมทูตขาวดำอยู่บนเรือ !”