ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 243 การเผชิญหน้าที่มองไม่เห็น (1)
บทที่ 243: การเผชิญหน้าที่มองไม่เห็น (1)
แซ่กกก…. ซากก…. บานประตูด้านหลังปิดลง ไฟฉุกเฉินเหนือศีรษะกะพริบไม่หยุดขณะที่เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่ในหู เบื้องหน้าของเขาไม่มีวิญญาณเลยสักตน แต่ฉินเย่กลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างได้ทันที มัน… คล้ายกับมีสิ่งสกปรกบางอย่าง
ฉินเย่เคาะราวจับเบา ๆ และเดินลงบันไดไป แม้ว่ามันจะเป็นบันไดของเรือสำราญที่หรูหรา แต่มันกลับให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับห้องเก็บศพเลยสักนิด
พรึ่บ ! หลังจากลงมาถึงชั้นแรก ไฟตามทางเดินก็ดับลง และในแต่ละช่วงระหว่างแสงสว่างและความมืด ร่างของเด็กผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นที่มุมทางเดิน
อีกฝ่ายสวมชุดกิโมโนสีแดงจากยุคสมัยสงครามกลางเมืองของญี่ปุ่น ผมของเธอถูกมันเป็นเปีย และกำลังยืนรองไห้อยู่ที่มุมทางเดินโดยหันหลังให้กับฉินเย่
พรึ่บ… พรึ่บ… ไฟติดขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็ดับลงอย่างรวดเร็วราวกับตั้งใจให้เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้ ทางเดินที่ไร้ผู้คนพร้อมทั้งไฟทางเดินที่ติด ๆ ดับและเด็กหญิงที่ยืนร้องไห้อยู่มุมห้อง มันอาจจะดูซ้ำซากแต่นี่ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความกลัวขึ้นภายในใจของคน ๆ หนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ตึก… ตึก… ฉินเย่เดินเข้าไปหาเด็กน้อย แต่หนูน้อยก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “ดูเหมือนว่ายมทูตญี่ปุ่นจะทิ้งของขวัญไว้ให้เรานะ… ท่านหมิง ท่านเคยดูหนังผีของญี่ปุ่นมาก่อนหรือไม่ ?”
“อืม” หมิงชีหยินตอบอย่างเฉื่อยชา วิญญาณเด็กที่ไม่ได้อยู่ขั้นยมเทพไม่สามารถดึงความสนใจของเขาได้เลยสักนิด
ฉินไย่ไม่ได้เหลือบมองวิญญาณตนนั้น เขาเพียงเดินผ่านไปขณะที่พึมพำกับตัวเอง “การบิดหัวไปรอบ ๆ อย่างกะทันหันเป็นหนึ่งในวิธีการหลอกแบบคลาสสิกของหนังผีญี่ปุ่น ภาพที่ปรากฏให้เห็นใกล้ ๆ สามารถทำให้หัวใจของผู้ที่เห็นเต้นถี่รัวได้อย่างง่ายดาย ด้วยอะไรแบบนี้ ต่อให้เป็นคนปกติที่ไม่สนใจความเย็นยะเยือกเมื่อครู่และเดินมาจนถึงตรงนี้ก็ต้องคิดทบทวนอีกครั้งว่าตนจะเดินต่อไปดีหรือไม่ นี่คือแผนการที่พวกเขาคิดมาอย่างดี…”
ทันใดนั้นเขาก็แน่นิ่งไป
เด็กหญิงที่ร้องไห้เมื่อครู่นี้เอื้อมมือมาดึงขากางเกงของเขาเอาไว้
ฮึก… ฮึก… เสียงแหบของเด็กน้อยดังต้องไปทั่วทางเดินที่เย็นยะเยือก “คุณลุง… กอดหนูทีได้ไหม ?”
ฉินเย่เงียบไป จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปหาอีกฝ่ายและเตะออกไปสุดแรง !
ปั้ง ! วิญญาณเด็กกระแทกเข้ากับผนังด้านหลังของตนอย่างมึนงง นางคงกำลังคิดประมาณว่า เอ๊ะ ? ไม่ใช่ว่านายกำลังนอกบทอยู่เหรอ ?
แต่ฉินเย่ก็ยังไม่หยุดเตะอีกฝ่ายแต่อย่างใด “ลุง ? ลุงเหรอ ?! กล้าดีอย่างไรมาเรียกข้าว่าลุง ! ดูผิวที่เนียนนุ่มและบริสุทธิ์ของข้าซะ ! ข้าดูเหมือนลุงของเจ้าตรงไหนกัน ?!”
หมิงชีหยิน “ ……”
ตุบ ตุบ ตุบ ! ทุกลูกเตะที่กระแทกลงมาส่งผลให้พลังหยินรั่วไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเด็กน้อย และประมาณสามวินาทีต่อมา นางก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงภายใต้ลูกเตะที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
กรี๊ดดดดดด !!!
เสียงที่ปล่อยออกมานั้นไม่เข้ากับภาพของเด็กผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด โกรธแค้น และเกลียดชัง นางพยายามหันหัวกลับไปแต่ก็พบว่ามีมือมาจับที่คอของตนไว้อย่างแน่นหนา บังคับให้หัวของนางกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมของใบหน้า หันเข้าหาฝาผนัง !
“พูดใหม่ !! เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้าไม่ได้สอนมารยาทมาหรืออย่างไร ? เรียกข้าว่าพี่ชาย ! เดี๋ยวนี้ !”
กรี๊ดดดดดด….. !!! วิญญาณเด็กหญิงยังคงกรีดร้องออกมา ครั้งนี้นางรวบรวมแรงไปที่แขนและขาและดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่นางกลับพบว่าตัวเองไม่สามารถสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของฉินเย่ได้ นางดิ้นไปมาราวกับเต่าที่หงายท้องไม่มีผิด
ตุบ !
ตุบ ตุบ ! เตะออกครั้ง !
“พะ พี่… พี่ชาย… พี่ชาย !!” เด็กน้อยทำตามคำสั่งของฉินเย่ในที่สุด และเด็กหนุ่มก็ยอมปล่อยมือ เขาปัดฝุ่นบนร่างของตนและเอ่ยว่า “ข้ากำลังสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้กับเจ้าแทนเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ไปทำเช่นนี้กับผู้อื่นในอนาคต เข้าใจหรือไม่ ?”
ทันทีที่เขาปล่อยมือที่กำรอบคอของวิญญาณเด็กตรงหน้า อีกฝ่ายก็พลันหันกลับมาและกรีดร้องเสียงดัง “กรี๊ดดดดดด !!!”
“ข้า… ขออภัย… ที่ขัดจังหวะ…”
ใบหน้าของนางไร้ซึ่งเครื่องหน้าอย่างที่ควรจะมี
มันมีเพียงปากขนาดใหญ่ที่ยืดกว้างไปทั้งใบหน้า ฟันที่แหลมคมหลายซี่ซ้อนกัน นางดูน่ากลัวเป็นอย่างมากแต่นางกลับถอยห่างจากฉินเย่อย่างรวดเร็ว แขนทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างป้องกันขณะที่ถอยไปที่มุมทางเดินอย่างหวาดกลัว
วิญญาณร้ายที่แท้จริงภายในห้องนี้ก็คือชายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง !
ทันทีที่นางหันหลังกลับ นางก็รู้ราวกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ พลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่ายนั้นรุนแรงกว่าของนางและสามารถทำให้นางกลายเป็นเพียงฝุ่นได้ในการโจมตีเดียว อันที่จริง นางยังเห็นภาพราง ๆ ของชายสวมหมวกลายฉลุทรงสูงและถือไม้ขกสังปั๊งยืนอยู่ด้านหลังของฉินเย่ด้วยซ้ำ
นั่นมันน่ากลัวเกินไป… นางควรถอยจะดีกว่า
ฉินเย่ไม่ได้สนใจวิญญาณตรงหน้าอีก เขายังคงเดินลงไปยังชั้นต่อไป
ที่ชั้นสองมีชายชราตนหนึ่งถูกแขวนลงมาจากหลอดไฟ แต่เขากลับตัวสั่นและถอยห่างออกไปทันทีที่ฉินเย่เดินไปถึง ในความรีบนั้น… เขาลืมทิ้งไว้แม้กระทั่งเชือกที่ตนใช้แขวนคอตายและกรีดร้องพร้อมกับวิ่งเข้าไปในฝาผนังราวกับเสียสติ
“ไร้สาระชะมัด” ฉินเย่หยุดอยู่เหนือบันไดที่นำลงไปสู่ชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นล่างสุดและเอ่ยออกมาว่า “ท่านรู้หรือไม่ ข้านั้นคิดมาตลอดว่าผีญี่ปุ่นนั้นน่ากลัวมากและพวกเขาก็จะต้องทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างแน่นอน แต่เมื่อถึงตอนนี้ ข้าก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก… เมื่อพบว่าพวกเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด !”
“แต่นั่นอาจเป็นเพราะว่าพวกมันสามารถระดมวิญญาณได้เพียงแค่ร้อยตนเท่านั้น” หมิงชีหยินเอ่ยอย่างไม่ได้สนใจนักก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “เจ้าจะถือว่านี่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะนำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ก็ได้ เจ้าพร้อมหรือยัง ?”
รอยยิ้มของฉินเย่พลันหายไป
เขาชะโงกหน้ามองดูบันไดที่ดูเหมือนจะไร้ก้นบึ้ง !
บันไดตรงหน้านั้นยาวมาก แต่มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่มันจะเป็นบันไดซึ่งนำไปสู่ท้องเรือ อย่างน้อยบันไดตรงหน้าก็น่าจะมีขั้นบันไดอยู่ประมาณ 40-50 ขั้น นอกจากนี้เขายังสามารถบอกได้ด้วยว่ามันนำไปสู่หมอกแห่งความมืดมิด
มันแทบจะเหมือนกับว่านี่คือคำเตือนสุดท้ายของเหล่าผู้ที่เข้ามาว่าพวกเขาจะถูกส่งตรงไปที่ยมโลก
ด้านล่างนั้น แหล่งพลังหยินที่รุนแรงสองแหล่งปะทุออกมาโดยปราศจากการปกปิดราวกับเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ เมื่อมองไปในความมืดจะได้ยินเสียงกรีดร้องของวิญญาณ รวมถึงเสียงร้องอันน่าสยดสยอง เสียงคำรามอย่างไม่เต็มใจและเสียงคร่ำครวญอย่างบ้าคลั่ง สายลมรุนแรงพัดขึ้นมาจากด้านล่างส่งผลให้เสื้อผ้าของฉินเย่กระพือเล็กน้อย จากนั้นขณะที่เขาวางมือลงบนราวจับ เด็กหนุ่มก็นิ่งไป
“หืม ?”
เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสัญลักษณ์บางอย่างปรากฏอยู่บนราวจับ เครื่องหมายนั้นใหม่มาก ราวกับพวกมันเพิ่งถูกสลักไว้เมื่อสิบนาทีที่แล้ว
สัญลักษณ์ของมันประกอบด้วยเครื่องหมายรูปเพชรสามอัน
“มิตซูบิชิหรือ ?” ฉินเย่งุงงงเล็กน้อย ทำไมสัญลักษณ์ของมิตซูบิชิถึงปรากฏขึ้นในที่แบบนี้ ? เขาพยายามวิเคราะห์มันและสภาพแวดล้อมโดยรอบ แล้วก็พบว่าด้านล่างของสัญลักษณ์มีข้อความสั้น ๆ ถูกสลักเอาไว้จาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น
‘ช่วยด้วย’
“ช่วยด้วย ?” หมิงชีหยินพึมพำ
“ไม่…” ฉินเย่จ้องลงไปด้านล่าง “มันหมายถึง ‘ช่วยชีวิตผมด้วย’”
“เหตุใดคนของกลุ่มมิตซูบิชิจึงต้องร้องของความช่วยเหลือกัน ?”
ฉินเย่ลูบคางของตนและดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น “ถ้าหาก… ยมทูตพวกนั้นเข้าสิงหนึ่งในผู้คุ้มกันของประธานของมิตซูบิชิเพื่อเข้าไปที่ห้องเก็บสินค้าล่ะ ?”
เขาเอ่ยต่อ “พวกเขาอาจจะรู้เรื่องนี้เข้าก็ได้ และหากเป็นเช่นนั้น เครื่องหมายและข้อความนี้ก็คงจะถูกทำขึ้นโดยประธานคนปัจจุบันของมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่น เขาจะต้องรู้เรื่องนี้แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาเพราะเป็นห่วงชีวิตของตนเอง นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะทิ้งสัญลักษณ์นี้เอาไว้เพื่อขอความช่วยเหลือก็เป็นได้”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ท่านหมิง กรุณาแสดงพลังของท่านที”
ฟึ่บ !
ผิวหน้าของกระจกโบราณเปล่งแสงสว่างจ้าจนทำให้หมอกดำที่ปกคลุมอยู่ด้านล่างไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ จากนั้น ภาพมากมายก็ปรากฏขึ้นบนหน้ากระจกจนกระทั่งหยุดลงที่ภาพซึ่งแสดงให้เห็นห้องเก็บสินค้า
คนมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น
เขาไม่รู้ว่าพวกยมทูตญี่ปุ่นใช้วิธีอะไร แต่ดูเหมือนว่าทุกคนในห้องเก็บของที่อยู่ต่ำกว่าขั้นยมทูตขาวดำจะหมดสติไปจนหมด กล่องสินค้ามากมายถูกเปิดออก และถูกหมอกหนาทึบบังเอาไว้ มันดูไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินเลยสักนิด
ตอนนี้มีคนอยู่เพียงสี่คนที่ยังยืนอยู่
หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าคนปัจจุบันของตระกูลคาโม่
ร่างของเขาถูกล้อมรอบด้วยชิกิงามิในรูปร่างของสัตว์กระดาษสีขาวที่กำลังต้านทานพลังหยินที่ถาโถมเข้าหา เด็กหนุ่มสามารถบอกได้ว่ามันยังมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนตัวอยู่ภายในหมอกที่อยู่รอบ ๆ ที่คอยพุ่งเข้าหาคนของทาดายูกิบ้างเป็นบางครั้ง ส่งผลให้ชิกิงามของเขาถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงนรกสีเขียวหยกทันที แต่ถึงกระนั้น คุณค่าโม่ก็ยังอัญเชิญชิกิงามิตนอื่นขึ้นมาแทนตัวที่เขาสูญเสียไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวลงเรื่อย ๆ และเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ส่วนคนที่สองและสามที่ยังคงยืนอยู่คือชายในชุดสูทสีดำสองคน พวกเขาตัวสูงและร่างใหญ่ และมันยังมีไม้อักขระที่ยังคงเปล่งแสงสีทองโอบรอบทุกคนในห้องเอาไว้ อักษรสันสกฤตจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศก่อนจากหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกลุ่มควันสีขาวที่ก่อตัวเป็นรูปดอกบัว แต่บาเรียที่ปกป้องพวกเขาอยู่กลับกระเพื่อมอยู่เป็นพัก ๆ ตอบสนองต่อเปลวไฟนรกสีเขียวหยกที่พุ่งออกมาจากหมอกดำและกระแทกเข้ากับบาเรียอย่างไม่หยุดยั้ง ชายทั้งสองเองก็มีใบหน้าซีดเผือดและอ่อนแรงเช่นกัน
ขั้นยมทูตขาวดำ !
แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นขณะที่เขาเลื่อนสายตาไปดูทาดายูกิ อีกฝ่ายสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นองเมียวจิที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่สามารถต่อต้านการโจมตีจากขั้นยมทูตขาวดำทั้งสองได้ มันเป็นเรื่องดีที่คนพวกนี้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นห้องเก็บของทั้งหมดคงเป็นสถานที่นองเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
“พุธตันตระ” หมิงชีหยินเอ่ย “และพวกเขายังเป็นผู้ที่มีความสามารถที่สุดในนิกายอีกด้วย พระญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องโกนผม การฝึกฝนของพวกเขาแตกต่างกับของเขาค่อนข้างมาก พวกเขาไม่ละเว้นจากเนื้อวัวและยังคงดื่มของมึนเมา นอกจานี้พวกเขายังสามารถแต่งงานได้อีกด้วย ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือการสวดมนต์ ดังนั้น ตราบใดที่พวกเขาไม่ใส่เครื่องนุ่งห่มของนิกาย มันก็แทบจะแยกไม่ได้เลยว่าพวกเขาคือพระหรือไม่”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปมองคนสุดท้ายภายในห้อง
และคนผู้นั้นก็เป็นคนที่ดูพิเศษที่สุดเช่นกัน
เขาคือชายสูงวัยหัวโล้นสวมแว่นตาที่ยืนด้วยการใช้ไม้เท้าค้ำ ร่างของเขาไม่ได้ใหญ่มาก แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ… เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา !
แต่มันดูราวกับว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการปะทะกับพลังหยินเลยสักนิด จากเท่าที่ฉินเย่รู้มา การได้รับพลังหยินจะกระตุ้นความต้องการที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในจิตใจของมนุษย์ และร่างของพวกเขาจะรู้สึกแข็งทื่อราวกับถูกโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เย็นยะเยือก ใบหน้าของชายสูงวัยผู้นี้แดงก่ำ และแม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะดูอันตรายมากเพียงใด เขาก็ไม่แสดงท่าทีวิตกกังวลออกมาเลยแม้แต่น้อย
นี่จะต้องเป็นชายที่อยู่ในจุดสูงสุดมาเป็นเวลานี้… ฉินเย่ไม่จำเป็นต้องเดาเลยสักนิด เขารู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากกุญแจดอกที่สามในการปลดล็อกกล่องเวทมนตร์ ประธานคนปัญจุบันของมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่นและหัวหน้าตระกูลอิวาซากิ !
เมื่อสังเกตเห็นประกายของความงงงันในแววตาของฉินเย่ หมิงชีหยินก็อธิบายทันที “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าพระพรแห่งคุณธรรม”
“พวกผู้บริหารระดับสูงมักจะไม่ค่อยถูกวิญญาณรบกวน อันที่จริง พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเลยสักนิด และมันก็เป็นเรื่องจริงที่บอกว่า มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างมากที่จะพบว่ามหาเศรษฐีพวกนี้จะพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือเพราะจำนวนงานการกุศลที่พวกเขาได้ทำไป พวกเขาจึงถูกห่อหุ้มด้วยพระพรแห่งคุณธรรม และนั่นก็ทำให้ยมทูตและเหล่าวิญญาณไม่กล้าเล็งเป้าไปที่พวกเขาเนื่องจากกลัวว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ”
อย่างนี้นี่เอง… ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเดินลงไปชั้นล่าง
เด็กหนุ่มมาได้ถูกเวลาพอดี
ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับคนเหล่านั้นได้รู้อีกต่อไป เพราะในตอนนี้… ผู้ที่ไม่ควรจะรู้ถึงตัวตนของเขาก็ได้หมดสติไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องลีลาไปมากกว่านี้ ฝ่ายตรงข้ามคือยมทูตญี่ปุ่น ตัวตนที่มนุษย์มองไม่เห็น หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป มนุษย์พวกนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน ฉินเย่เกลียดที่เขาจะต้องจัดการกับยมทูตญี่ปุ่นขั้นยมทูตขาวดำพวกนี้ด้วยตัวของเขาเอง แต่สิ่งที่เขาเกลียดยิ่งกว่าก็คือการปล่อยให้ยมทูตพวกนั้นมีอิสระในการทำทุกอย่างตามที่ตนปรารถนา !
ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ต้องการให้ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำทั้งสองเก่งเกินไปเช่นกัน เขาไม่แน่ใจว่าการเจรจาจะออกมาเป็นอย่างไร แต่… ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง เขาจะต้องระวังไว้ก่อน !
ใกล้… เรากำลังใกล้จะถึงแล้ว… ขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้กับจุดเกิดเหตุมากขึ้นเรื่อย ๆ จิตใจของเขาก็ยิ่งสงบลง อันที่จริง มันสงบจนนิ่งสนิท
พวกเจ้านี่เอง
เขายังจำลักษณะของพลังหยินของพวกมันได้ มันเป็นคนเดียวกันกับที่ตรวจจับได้ที่สถานีตงไห่เหนือ !
เยี่ยมมาก… วันนี้ จะมีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ! และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจด้วยว่า ‘ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง’ ที่ว่านั้นจะต้องไม่ใช่อีกฝ่าย
ฝีเท้าของเขาเริ่มเร็วขึ้น
เร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง… ครึ่งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสายลม ! พร้อมกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณจำนวนมาก เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปยังขุมพลังหยินที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า
ตู้ม !
การพุ่งของไปของเขาทำให้เกิดการกระจายของของพลังหยินราวกับที่ก้อนหินที่ตกลงไปในผิวน้ำที่นิ่งสนิท กลุ่มก้อนพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเขาเลยสักนิด เพราะตอนนี้พวกเขายังไม่ออกจากชายแดนจีน ดังนั้นยมทูตนอกอาณาเขตจึงยังไม่สามารถใช้พลังสูงสุดของตัวเองได้
ฟึ่บ ! ร่างของเด็กหนุ่มปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของพลังหยิน ทว่ามันกลับดูเหมือนจริงแต่ว่าลวงตา เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ในหู พลังหยินมากมายต่างก็แผ่ออกมาจากร่างของเขาขณะที่พุ่งตัวไปยังห้องเก็บสินค้าที่อยู่ข้างหน้า !