ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 269 มหาสมบัติพื้นฐานทั้งสาม
บทที่ 269: มหาสมบัติพื้นฐานทั้งสาม
กาแฟถ้วยหนึ่งลอยมาอยู่ในมือของอาร์ทิสขณะที่นางเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง นางยกแก้วกาแฟขึ้นและเอ่ย “ลูก ๆ โตกันหมดแล้ว… และข้าก็ได้สอนทุกอย่างเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ทำ… ข้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว…”
เดี๋ยวนะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมมันดูเหมือนฉากที่หลุดออกมาจากละครน้ำเน่าแนวครอบครัวเลยล่ะ ?
“ข้าขอขัดจังหวะสักครู่” ฉินเย่โบกมืออย่างทนไม่ไหวราวกับเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และขมวดคิ้วยุ่ง “มหาสมบัติพื้นฐานทั้งสามที่ท่านว่าคืออะไร ? เหตุใดท่านจึงไม่เคยพูดถึงพวกมันมาก่อน ?”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ความเงียบเป็นสิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวเป็นที่สุด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อาร์ทิสเพียงกะพริบตาปริบ ๆ และถามเบา ๆ “ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ ?”
“ไม่ ! ที่ผ่านมาท่านเอาแต่พูดถึงการมีอยู่ของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านไม่เคยพูดถึงมหาสมบัติพื้นฐานพวกนี้เลย !”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระแอมออกมาอย่างอาย ๆ “ช่างเถอะ… มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรอยู่แล้ว ข้าจะบอกมันให้เจ้าฟังเดี๋ยวนี้เลย ดังนั้นจงเงียบไปซะ !”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับต้องการข่มความอับอายของตัวเองและทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ ฉินเย่ทำหน้ายุ่งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับการพยายามเบี่ยงประเด็นของนาง แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังฟังอย่างตั้งใจ
อาร์ทิสเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจังและเคร่งขรึมมากกว่าเดิม “การทำงานของยมโลกนั้นขับเคลื่อนโดยพลังหยินซึ่งหลั่งไหลออกมาโดยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สาม การทำงานแรกคือน้ำพุเหลืองซึ่งไหลไปทั่วยมโลก แหล่งพลังที่อยู่ภายในเศษตราจ้าวนรก นอกจากนี้ยังมีแหล่งพลังอื่น ๆ อีกสองแหล่งซึ่งก็คือปากกาแห่งความยุติธรรมและสมุดแห่งความเป็นตาย”
“ปากกาแห่งความยุติธรรมคอยค้ำจุดพระตำหนักทั้งสิบและขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 มันแยกถูกออกจากกัน ตราบใดที่เรายังหาปากกาแห่งความยุติธรรมไม่เจอ เราก็จะไม่สามารถสร้างส่วนนี้ของยมโลกได้ ในอีกด้านหนึ่ง สมุดแห่งความเป็นตายเป็นสิ่งที่กำกุญแจแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หากปราศจากมัน เราก็จะไม่สามารถสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏ…”
“เดี๋ยวนะ !!!” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและจ้องอาร์ทิสตาโต “ท่านหมายความว่า… ข้าสามารถสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏได้แล้วหรือ ?!”
นี่มันข่าวใหญ่ชัด ๆ
สาเหตุของการก่อจลาจลในยมโลกนั้นเกิดจากการขาดเป้าหมายและสิ่งจำเป็นพื้นฐานอื่น ๆ อย่างเช่นอาหารและที่อยู่อาศัย เมื่อขาดเป้าหมายและสิ่งให้ตั้งตารอ ชีวิตในยมโลกก็จะน่าเบื่อและไร้ความหมายจนไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งเหล่าวิญญาณจากการก่อกบฏได้ !
แต่ทันทีที่กงล้อแห่งสังสารวัฏถูกสร้างขึ้น เหล่าวิญญาณในยมโลกก็จะมีงานให้ทำและมีสิ่งให้ตั้งตารอ ! เขายังสามารถเลื่อนการวางระบบเงินและอุตสาหกรรมอย่างสถานบันเทิงออกไปก่อนได้โดยไม่มีผลกระทบใด ๆ! เพราะอย่างไรแล้ว เมื่อระบบของความดีและความชั่วถูกสร้างขึ้น วิญญาณส่วนใหญ่ก็จะต้องยอมขายวิญญาณของตนเองและเป็นทาสให้นรกอย่างเต็มใจ ! และเมื่อถึงเวลานั้น ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็แค่เอ่ยปากสั่งเท่านั้น และทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทางของมันเอง ! ความคิดทำให้หัวใจของฉินเย่พองโตอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“แน่นอน เจ้าสามารถทำได้” อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างติดขี้เกียจ “แต่อันดับแรก เจ้าจะต้องตามหาวิญญาณบาปทั้งหก และจากนั้นเจ้าก็ต้องค้นหาสมบัติและวัตถุหยินอีกจำนวนมาก และสุดท้าย เจ้าก็จำเป็นต้องมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่จะช่วยเจ้าในการรักษาการทำงานของกงล้อแห่งสังสารวัฏ…”
ฉินเย่อุดหูของตนอย่างปฏิเสธ อ่าาาา…. ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ! โลกนี้มันไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ เลยจริง ๆ!
“ถ้าเช่นนั้น… วิญญาณของโนบูนางะล่ะ ?” หลังจากคร่ำครวญอยู่ภายในใจเป็นระยะเวลาหนึ่ง ว่าที่จ้าวนรกแห่งยมโลกก็หันไปให้ความสนใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาตนใหม่ล่าสุดของตน
อาร์ทิสมองฉินเย่ตาโต ริมฝีปากของนางสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เอ่ยตอบ “ไม่… อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่ได้ชั่วร้ายพอที่จะถูกนับว่าเป็นวิญญาณบาปได้… พูดถึงเรื่องนี้ ข้าต้องขอบอกเลยว่าเจ้าเป็นผู้ที่ใจดำอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าต้องขอพูดเลยว่าเจ้านั้นเจ้าเล่ห์และร้ายกาจกว่าจ้าวนรกทั้งสองรุ่นก่อนหน้านี้มาก อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่ใช่จ้าวนรกที่คิดที่จะทำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง…”
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เขาเพียงมองอาร์ทิสด้วยสายตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวที่สองแสงระยิบระยับในยามราตรี
อาร์ทิสชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ฉินเย่ที่ไม่กลัวตายรีบพยักหน้าทันที
ท่านคือคนที่ทำให้เกิดเหตุระเบิดหว่างกงฉ่าง ! หากท่านไม่เหมาะสำหรับการเป็นวิญญาณบาป ข้าก็ไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะมีผู้ใดที่เหมาะไปกว่านี้ ! เรามาหารือเรื่องนี้กันเลยดีหรือไม่ ? ข้าสามารถสั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นในกงล้อแห่งสังสารวัฏเพื่อเป็นการระลึกถึงท่านได้…
การล่วงละเมิดบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
อาร์ทิสแย้มยิ้มบาง
จากนั้น หลังจากผ่านไปหนึ่งวินาที เสียงร้องโหยหวนก็ดังไปทั่วห้อง “หยุดนะ… หยุดเดี๋ยวนี้ ! เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามโดนหน้า ? ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ !”
“ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ ! หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีก ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่แนวหน้าซะ !”
“ให้ตายเถอะ… นี่ท่านทำร้ายผู้ที่กำลังบาดเจ็บได้อย่างไรกัน ? นี่ท่านยังเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อยู่อีกหรือ ?! อ่าาา… ข้าลืมไป… ท่านไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว !”
เสียงทำร้ายร่างกายยังคงดังอย่างต่อเนื่องไปอีกกว่าสิบนาทีก่อนที่ทั้งสองจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาและเตียงอีกครั้ง อาร์ทิสที่นั่งอยู่ที่โซฟาและใช้มือพัดให้ตัวเอง “จงจำไว้ว่าอย่าได้บังอาจมีความคิดเช่นนี้อีกในอนาคต มันเป็นความคิดที่อันตรายมาก”
ฉินเย่นอนอยู่บนเตียงด้วยความไม่พอใจ ให้ตายเถอะ… ข้าจะต้องคุยกับท่านอย่างเป็นจริงเป็นจังหลังจากที่ข้าก้าวขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรกให้ได้… เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะแสดงให้ท่านได้เห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นหัวหน้า !…
“กลับเข้าประเด็นเสียดี” หญิงสาวที่อาร์ทิสสิงอยู่ในตอนนี้มีรูปร่างค่อนข้างดี และเธอก็มีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับตัวของอาร์ทิสเอง ร่างตรงหน้ายืดขาที่เรียวงามของตนเองออกมาและเตะเข้าที่อกของฉินเย่พร้อมกับเอ่ยต่อ “มันยังมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ที่อยู่รองลงมาจากมหาสมบัติพื้นฐานทั้งสามด้วย บันทึกนรก และกระจกส่องกรรมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกมันทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังหยินของยมโลก ทำให้การทำงานของยมโลกเป็นไปได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีปัญหาใดๆ ถึงแม้ว่าข้าจะบอกว่าแหล่งพลังหยินหลักนั้นมาจากตราจ้าวนรก แต่พลังหยินที่เกิดจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์อื่นเองก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน !”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย “จะว่าอย่างไรดี… ข้าจำได้ว่าที่ปรึกษาของข้าเคยบอกกับข้าว่ามันมีความแตกต่างเล็กน้อยในชนิดของพลังหยินที่ถือกำเนิดจากมหาสมบัติทั้งสาม แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างเล็กน้อยพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรู้ได้โดยปราศจากการศึกษาค้นคว้า อ่า ใช่… ลองเปรียบเทียบแบบนี้ดู รถยนต์นั้นสามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซินหรือดีเซล พลังหยินที่เกิดจากตราจ้าวนรกเป็นเหมือนกับน้ำมันเบนซิน ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายกันในแดนมนุษย์ ส่วนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชิ้นเป็นเหมือนกับน้ำมันดีเซล ซึ่งเหมาะสำหรับจุดประสงค์เฉพาะ และไม่สามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายเหมือนน้ำมันเบนซิน โดยในกรณีนี้ เจ้าจะสามารถมองหาแหล่งพลังหยินที่ออกมาจากตราจ้าวนรกเป็นรากฐานของยมโลกก็ได้”
มันเป็นคำอธิบายที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ฉินเย่ก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
“หากพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนี้ท่านกำลังบอกว่าข้าสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างพิเศษของยมโลกบางอย่างขึ้นมาได้แล้วโดยใช้สมุดแห่งความตาย ? และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยแหล่งพลังหยินที่กำเนิดจากน้ำพุเหลืองอีกต่อไป ? ข้าไม่จำเป็นต้องรวบรวมเศษตราจ้าวนนรกให้ครบก่อนถึงจะสามารถเข้าถึงแหล่งพลังของวัตถุศักดิ์สิทธิ์อื่นได้ ?” ฉินเย่ลูบคางของตนขณะเอ่ยทวนออกมา
“ถูกต้อง” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางไม่คิดเลยว่าคำอธิบายของตนจะได้ผล “ลองดูนี่”
นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ ลุกยืนขึ้นและเริ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์มากมาย ครั้งนี้สัญลักษณ์ทุกอย่างดูล้ำลึกและลึกลับเป็นอย่างมาก ภายในไม่กี่นาที หน้าผากของอาร์ทิสก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ขณะที่มือของนางเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของฉินเย่ก็กะพริบถี่ขึ้น ภายในไม่กี่วินาที ภาพติดตาที่เกิดขึ้นก็ทำให้ดูเหมือนว่าอาร์ทิมีมือสักพันมือ อันที่จริง ภาพที่น่าตกตะลึงนี้ใช้เวลาถึงห้านาทีเต็มก่อนที่นางจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน จากนั้นนางก็ประกบฝ่ามือของตนเข้าด้วยกัน และทั้งห้องก็ถูกห่อหุ้มด้วยพลังที่มองไม่เห็น พวกเขาถูกตัดขาดจากส่วนอื่น ๆ ของโลกโดยสมบูรณ์
“มหาวิถีแดนรกร้าง” ร่างของอาร์ทิสลอยขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ทุกอย่างในห้องดูเลือนรางและลวงตา สายลมที่ไหนก็ไม่รู้พัดเข้ามาภายในห้อง ส่งผลให้เส้นผมและเสื้อผ้าของนางปลิวไปมาเล็กน้อย “ข้าจะรับรู้ได้ทันทีหากมีผู้ใดพยายามจะเข้ามาในอาณาเขตนี้ และคนพวกนั้นก็จะไม่เห็นสิ่งของที่อยู่ภายในนี้แม้แต่ชิ้นเดียว เว้นแต่พวกมันจะสามารถสังหารข้าได้”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็กระดิกนิ้ว และสมุดแห่งความเป็นตายก็เปล่งประกายด้วยแสงสีดำขาวอย่างน่าพิศวง มันลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะตกลงในมือของอาร์ทิส จากนั้นนางจึงเปิดสมุดโบราณเบา ๆ ด้วยแต่ละการเคลื่อนไหวของนาง อากาศภายในห้องกระเพื่อมและเกิดการผันผวนอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยมือทั้งสองข้างที่จับสมุด นางจ้องมองมันด้วยความรู้สึกมากมายในแววตา “ไม่คิดเลย… ว่าข้าจะมีโอกาสได้แตะต้องวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้…”
“แต่สิ่งที่เจ้ากำลังเห็นอยู่นั้นไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของมัน” ร่างของนางเปล่งประกายขึ้นพร้อมกับอักขระสีทองจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าสู่สมุดแห่งความเป็นตายอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น เสียงที่เอ่ยออกมาก็ดังกึกก้องและดูห่างไกลออกไป “มันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น เจ้าควรจับตาดูรูปโฉมที่แท้จริงของสมุดแห่งความเป็นตายให้ดีเพื่อที่จะทำความเข้าใจการใช้งานมันได้อย่างถ่องแท้”
“เปิด !!”
ตู้ม !!
เสียงระเบิดดังสนั่น แทบจะเหมือนกับภูเขาทั้งลูกได้ถล่มลงมา ประกายแสงสีแดงเข้มส่องสว่างออกมาจากมือของอาร์ทิส และมันก็สว่างจ้าจนฉินเย่ต้องหลับตาลง จากนั้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็มองดูการเปลี่ยนแปลงตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
สมุดขนาดหนึ่งฝ่ามือที่อยู่เบื้องหน้าของอาร์ทิสก่อนหน้านี้ได้ขยายใหญ่จนมีขนาดกว่าหนึ่งเมตร !
มันมีหน้าปกสีดำสนิท และคำว่า ‘สมุดแห่งความเป็นตาย’ ก็ถูกเขียนด้วยตัวหนังสือที่วิจิตรงดงาม ! ฉินเย่ไม่รู้ว่าผู้เขียนตัวอักษรพวกนี้เป็นใคร แต่เพียงแค่แวบเดียวที่มองมันก็ทำให้หัวใจของเขาบีบรัดด้วยความหวาดกลัวทันที
เขาไม่แม้แต่จะสามารถมองมันตรง ๆ ได้
“มันถูกเขียนขึ้นโดยจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลก ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจ้าวนรกที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ยมโลก” อาร์ทิสอธิบายขณะที่เปิดผ่านแต่ละหน้า สมุดโบราณตรงหน้านั้นบาง แต่อากาศที่อยู่รอบ ๆ มันกลับสั่นไหวทันทีที่มันถูกเปิดออก หลังจากนั้นรายชื่อจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนอากาศเหนือสมุดที่ถูกเปิดอยู่
“ขั้นตุลาการนรกทุกตนจะได้รับหน้าที่ให้ถือสมุดแห่งความเป็นตาย” นางจ้องมองรายชื่อรอบๆตัวและเอ่ยอย่างยำเกรง “นี่คือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สมุดแห่งความเป็นตายถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน มนุษย์ สัตว์ประหลาด และสิ่งของ เจ้ารู้เรื่องของมนุษย์และสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว ในส่วนของสิ่งของนั้นจะครอบคลุมความตายของสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่น ต้นไม้ สุกร วัว และปศุสัตว์อื่น ๆ มันระบุเอาไว้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นนาทีหรือวินาที และทั้งหมดที่เจ้าต้องทำเพื่อเรียกข้อมูลพวกนี้มาดูก็แค่เอ่ยตำแหน่งของมันเท่านั้น และข้อมูลในส่วนนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาทันที”
“สมุดแห่งความเป็นตายยังมีข้อมูลพวกนี้ด้วยเช่นกัน แต่จงอย่าเหมารวมความสามารถของสมุดแห่งความตายเข้ากับการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ การทำงานของเดธโน๊ตอย่างที่เจ้าเห็นในโทรทัศน์นั้นไม่มีอยู่จริง”
นางใช้นิ้วแตะไปที่รายชื่อของใครสักคน ฉินเย่ที่เดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าข้อมูลพวกนี้มีตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ร่างกาย งานอดิเรก เพศ สาเหตุการตาย เวลาตาย สถานที่ฝัง วิธีการฝัง ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในนี้อย่างละเอียด !
“พระเจ้า…” เขาเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ มันจะต้องมีรายชื่อผู้คนมากกว่าหมื่นล้านคนที่ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ที่จีนถูกก่อตั้งขึ้น และข้อมูลของพวกเขาทุกคนก็ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดอยู่ในสมุดเพียงแค่เล่มเดียว ! มันควรค่าแก่การเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง !
“ภพเดียวที่สมุดแห่งความเป็นตายไม่ได้บันทึกไว้คือสวรรค์” ฉินเย่ยังคงทำความคุ้นชินกับสมุดแห่งความเป็นตายภายใต้คำชี้แนะของอาร์ทิส แต่ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันและถามขึ้นว่า “ทำไมชื่อของพวกเขาบางคนถึงมีสีแตกต่างกัน มีทั้งดำ แดง และทอง พวกนี้แตกต่างกันอย่างไร ?”
อาร์ทิสแตะที่รายชื่อสีดำและอธิบาย “นั่นง่ายมาก รายชื่อสีดำหมายถึงบุคคลธรรมดา ประมาณ 95% ของรายชื่อทั้งหมดในสมุดเล่มนี้ถูกเขียนด้วยสีดำ สีแดงหมายถึงผู้ที่มีพรสวรรค์ กู่ชิงเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ พวกเขามีอยู่ประมาณ 4.9% ของรายชื่อทั้งหมด”
จากนั้นนางก็ดีดนิ้ว และหน้ากระดาษก็พลิกผ่านไปหลายสิบหน้าก่อนจะหยุดลงในหน้าที่มีรายชื่อสีทองรายชื่อแรกปรากฏอยู่
“เจียงช่าง มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายของราชวงศ์ซางและราชวงศ์โจวตอนต้น สกุลเดิม: เจียง สกุล: หลวี่ นามเดิม: ซั่ง ชื่อทางการ: ซั่งฟู่และจื่อหยา บรรพบุรุษได้ช่วยเหลือพระเจ้าอวี่ [1] ในการควบคุมเหตุน้ำท่วมและได้รับพระราชทานชื่อสกุลหลวี่ให้เป็นของรางวัล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ได้ใช้ชื่อตระกูลว่าหลวี่มาโดยตลอด และยังเป็นที่รู้จักในนามหลวี่ซั่งอีกด้วย” [2]
เสียงของนางเคร่งขรึมกว่าเดิม “ทุกรายชื่อที่ถูกเขียนด้วยสีทอง… คือผู้ที่มีชื่อเสียงมีที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่จะมีเพียงรายชื่อของชาวจีนเท่านั้นที่จะปรากฏขึ้นในสมุดแห่งความเป็นตายโดยอัตโนมัติ เมื่อโอดะโนบูนางะลงทะเบียนกับทางยมโลกเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าชื่อของเขาก็อาจจะถูกเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองเช่นกัน”
“เมื่อมีสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในมือ เจ้าจะได้รับรู้ข้อมูลของทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ นายพล หรือรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน ที่สำคัญที่สุด…” นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ และสะบัดปลายนิ้วของตัวเองเบา ๆ หน้ากระดาษเริ่มพลิกอีกครั้งก่อนจะหยุดลง
เชี่ย ?! ฉินเย่มองอย่างตกตะลึง ขาของเขารู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น
“เจ้าเป็นอะไร ?” อาร์ทิสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร… เพียงแค่… ข้ารู้สึกตกตะลึงกับข้อมูลพวกนี้ก็เท่านั้น ขอเวลาข้าหายใจสักครู่…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจของตัวเอง และมองรายชื่อสีทองบนหน้ากระดาษ
“เยว่เฟย (24 มีนาคม ค.ศ. 1103 – 27 มกราคม ค.ศ. 1142) ชื่อทางการ: เผิงจู บ้านเกิด: ถังอิน เซียงโจว แม่ทัพ นักยุทธศาสตร์การทหาร นักประดิษฐ์อักษร และนักกวี”
“ท่านกำลังจะบอกว่า… ข้าสามารถเรียกวิญญาณของเหล่าผู้มีพรสวรรค์พวกนี้ผ่านสมุดแห่งความเป็นตายได้ ?!”
[1] ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เซี่ย นับเป็นราชวงศ์แรกของจีนที่มีการสืบราชบัลลังก์โดยสายโลหิต
[2] เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะยอดกุนซือในยุคสมัยของตนเอง