ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 276 จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง
บทที่ 276: จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง
ติ๊ดดดด !
เสาจับสัญญาณอันตรายเหนือศีรษะของฉินเย่ตั้งตรงขึ้นทันที เสียงที่เอ่ยออกมาหลังจากนั้นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน “ขะ ขะ เขา นะ น่ากลัวเพียงใด ? ทะ เท่า ฮนดะ ทาดาคัตสึหรือไม่ ?”
อาร์ทิสแทบอดไม่ไหวที่จะจัดการกับว่าที่จ้าวนรกผู้ขี้ขลาดตรงหน้า นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองเด็กหนุ่มอย่างไม่พอใจโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
“หืม ? แววตาของท่านสื่อความหมายหลายอย่างมากนะ… หรือว่าท่านกำลังคิดหาคำตอบอยู่เพราะกลัวว่าข้าจะเลือกที่จะหนีมากกว่าการต่อสู้ ? ข้าจะบอกอะไรให้นะ หลังจากที่ได้ต่อสู้กับฮนดะ ทาดาคัตสึ พิคาชูตัวนี้ได้วิวัฒนาการเป็นไรชูแล้ว ท่านไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ข้าสามารถยืนประจันหน้ากับขั้นยมทูตขาวดำสามตนได้อย่างกล้าหาญโดยไม่แสดงให้เห็นถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย ?” ฉินเย่รีบเอ่ยออกมาทันที
อาร์ทิสเงยหน้ามองฟ้าด้วยแววตานิ่งเรียบ “หากนี่เป็นเมื่อปีที่แล้ว ข้าก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของคำพูดอันแปลกประหลาดของเจ้า แต่หลังจากได้ดำดิ่งสู่โลกแห่งโปเกมอน ข้าก็ได้รู้… ว่าการวิวัฒนาการมันไม่มีอะไรให้น่าอวดอ้างเลยสักนิด ! เจ้าคิดว่าข้าจะมาต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหามากมายขนาดนี้หรืออย่างไรหากไม่ใช่เพราะประวัติที่แสนแย่ของเจ้า ?!”
โอเค
ดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเขาก็ไม่สามารถหลอกนางได้อีกต่อไป… ฉินเย่ลอบถอนหายใจออกมาในใจ อาร์ทิสเริ่มพูดเหมือนกับพวกเด็กยุค 90 มากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ที่นางกระโดดเข้าสู่โลกแห่งอินเทอร์เน็ต ช่างเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเลยจริง ๆ…
โดยไม่สนใจพฤติกรรมอันน่าโมโหของว่าที่จ้าวนรก อาร์ทิสครุ่นคิดคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับนางกำลังชั่งน้ำหนักของความชั่วร้ายระหว่างปีศาจทั้งสอง และสุดท้ายนางก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะถามว่า “บอกมา เจ้าคิดว่าแม่ทัพที่กล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคือใคร ?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ “ลิโป้ ? จูล่ง ?”
อาร์ทิสส่ายศีรษะด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นลองเปลี่ยนคำถามใหม่ เจ้าคิดว่า… สำหรับแม่ทัพที่แข็งแกร่งแล้ว อะไรคือคำชมสูงสุดสำหรับพวกเขา ?”
ฉินเย่จึงตอบออกไปอย่างไม่ลังเล “อยู่ยงคงกระพัน” [1]
อาร์ทิสถอนหายใจออกมาและจ้องไปยังคนกระดาษที่กำลังตัวสั่นเทาขณะที่เอ่ยต่อ “ถูกต้อง แต่ผู้ที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพผู้อยู่ยงคงกระพันนั้นมีให้เห็นเฉพาะในหนังหรือการแสดงเท่านั้น อีกนัยหนึ่งก็คือ มันเป็นเพียงนิยามของผู้เขียนบท…”
“ไม่ว่ากวนอู จูล่ง ลิโป้ หรือราชันย์วิญญาณตนอื่น ๆ พวกเขาไม่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะของแม่ทัพผู้อยู่ยงคงกระพันเลยแม้แต่น้อย”
ฉินเย่พยักหน้าอย่างสนใจ อยากรู้ว่าเหตุใดอาร์ทิสจึงต้องเอ่ยเรื่องพวกนี้ออกมา
อาร์ทิสสบตาเด็กหนุ่มนั่ง “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในประวัติศาสตร์ของจีนจะไม่เคยมีผู้ใดถูกบันทึกในฐานะของแม่ทัพผู้ไร้พ่ายอยู่จริง ๆ มันก็แค่ไม่ค่อยมีใครสนใจบันทึกเหล่านี้เท่านั้น บันทึกดังกล่าวมีชื่อว่าจือจื้อทงเจี้ยน [2] และมันก็ได้บันทึกชื่อของชายผู้เดียวที่เคยได้รับขนานนามว่า ‘อยู่ยงคงกระพัน’!”
ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลและเผลอก้าวถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเสแสร้ง “อย่าบอกนะว่าชายผู้นั้น… ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น…”
“จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง” อาร์ทิสทิ้งระเบิด “ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หลิวซ่งในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ เขาได้รวบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว สังหารจักรพรรด์หกองค์ และเป็นเพียงผู้เดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า ‘อยู่ยงคงกระพัน’ ในบันทึกนี้” [3]
เงียบ….
ความเงียบเป็นสิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวที่สุด
“อ่า… แค่ก แค่ก… ข้าเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองต้มข้าวต้มอยู่ที่บ้าน ฝ่ายการเงินที่แสนจะยากจนของยมโลกไม่มีทางจ่ายค่าเสียหายใด ๆ ได้แน่หากเกิดไฟไหม้ในแดนมนุษย์… เพราะฉะนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“หยุดอยู่ตรงนั้น ! ข้าจำได้ว่ามีใครบางคนบอกว่าตัวเองวิวัฒนาการแล้วไม่ใช่หรือ ? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่เพิ่งบอกว่าตัวเองสามารถสู้กับขั้นยมทูตขาวดำสามตนได้โดยที่ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว ?!!”
“ท่านคงจะหูฝาดไปเพราะเสียงลมเป็นแน่ อย่างไรก็เถอะ… เราไปกันได้แล้ว Bye~~!”
น่าเศร้า หลังจากที่เขาเดินออกมาได้ไม่ถึงสองก้าว ลิ้นที่ยาวเหยียดของอาร์ทิสก็พุ่งมาพันรอบเอวของเขาและลากเขากลับไปขณะที่นางตะโกนเสียงดัง “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็คือว่าที่จ้าวนรกองค์ถัดไป ! เพราะฉะนั้นเจ้าช่วยมีศักดิ์ศรีสักนิดไม่ได้เลยหรือ ?!”
ฉินเย่กลอกตา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีมันคืออะไร ! มันกินได้หรือไง ? มันสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองอย่างนั้นเหรอ ?!
อยู่ยงคงกระพัน ! นี่อีกฝ่ายเข้าใจถึงความหมายของมันหรือเปล่า ?! และมันถูกบันทึกไว้ในจือจื้อทงเจี้ยนอีกด้วย ! ให้ตายเถอะ ได้โปรด ปล่อยเขาไปสักที ! อย่ามาเล่นกับหัวใจของคนอื่นแบบนี้ นี่เขาถูกเหวี่ยงไปมาจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว !
แถมนางยังจะมาโทษเขาอีกเนี่ยนะ ? เขาคือว่าที่จ้าวนรก แต่กลับไม่มีศาสตร์ที่ทรงพลังอย่าง ‘ดวงใจจักรพรรดิ’ หรือ ‘วิชาเก้าหยางศักดิ์สิทธิ์’ ให้ใช้บ้างเลยสักนิด ! แบบนี้จะเรียกว่าคุยกันอย่างเท่าเทียมได้อย่างไร ?!
อาร์ทิสไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก นางไม่อาจทนมองจ้าวนรกผู้อ่อนแอตรงหน้านานกว่านี้ได้ ดังนั้นนางจึงหันไประบายความโกรธของตนกับคนกระดาษทั้งสามทันที “ไปซะ ! และบอกจักรพรรดิของพวกเจ้าว่าตราบใดที่ยมโลกยังคงอยู่ เขาจะไม่มีทางได้รับอนุญาติให้ย่างเท้าเข้ามาที่นี่อีก ! ยอมจำนนแต่โดยดีหรือกลายเป็นกบฏ !”
“นายหญิง…” เสียงอันสั่นเทาดังขึ้นทันทีที่นางเอ่ยจบ อัครมหาเสนาบดีลำดับหนึ่ง ก้มศีรษะแนบพื้นอย่างเคารพและเอ่ย “พระองค์ทรงมิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด นอกจากนี้… นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงตรัสอีกว่าหากยมโลกไม่ยอมไว้หน้ากัน เช่นนั้น… เช่นนั้น…”
จู่ ๆ ผู้พูดก็เงียบไป
จิตสังหารที่รุนแรงปะทุออกจากร่างของอาร์ทิสในทันที สีหน้าของนางอ่อนลงขณะที่ถามว่า “เช่นนั้นจะทำไม ?”
“เช่นนั้น…” อัครมหาเสนาบดีลำดับหนึ่ง ลอบกลืนน้ำลายอย่างร้อนรน และก้มศีรษะมากกว่าเดิมขณะที่เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “เช่นนั้น… ฮันยาง… ก็จะประกาศอิสรภาพ….”
“บังอาจนัก !!!” เสียงตะโกนของอาร์ทิสดังกึกก้อง “เป็นเพียงข้าราชการของรัฐบริวารแต่กลับกล้ามาถกเรื่องนโยบายภายใน ! จะมากเกินไปแล้ว…”
และทันใดนั้น อาร์ทิสก็หันไปเห็นฉินเย่ที่ส่ายนิ้วไปมาเป็นเชิงห้ามและก้าวมาข้างหน้า
“ท่านอาจจะแข็งแกร่งราวกับเมก้าวาลคีรีหรืออาวุธมนุษย์… แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่ท่านจะเข้ามามีส่วนร่วมในการอภิปรายภายใน…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาขณะที่ปัดผมที่ตกลงมาปกคลุมใบหน้า อ่าา… นายยังหล่อเหมือนเดิม…
“หมายความว่าอย่างไรกัน ?” อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยสายตาเย็นชา
“อย่าเพิ่งโกรธไป ข้าเพียงพูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น ท่านกำลังประเมินชายที่ชื่อว่าจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งต่ำเกินไป” ฉินเย่ไขว้มือข้างหนึ่งไว้ที่หลังในขณะที่คลึงขมับของตัวเองเบา ๆ ด้วยมืออีกข้าง “ในเวลานี้ เหตุผลที่เขาถูกเนรเทศไปที่ฮันยางนั้นไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นยมทูตมิใช่หรือ ? และหากเป็นเช่นนั้น ท่านคิดจริง ๆ น่ะหรือว่าเขาจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลก ?”
“การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าหมายความว่าระบบยมทูตเก่านั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป เขาเองก็คงจะตระหนักได้ดีที่สุดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตนไม่ได้เป็นยมทูตอีกต่อไป และมันก็ทำให้เขาไม่ต่างอะไรกับวิญญาณร้ายทั่วไปเลยแม้แต่น้อย สิ่งใดกันที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ ? ต่อให้เขาจะไม่รับรู้ถึงสาเหตุและผลของการล่มสลายของยมโลก แต่ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าเขาจะไม่ส่งใครมาตรวจสอบเลย ?”
เขาสบตากับอาร์ทิสและเอ่ยต่อ “อย่าลืมว่าพวกเรายังไม่ได้กลับไปที่ยมโลกแห่งเก่าอีกเลยหลังจากครั้งสุดท้าย… มันผ่านมาสักพักใหญ่แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นบ้างก็ไม่รู้ ในฐานะของอดีตยมทูต เขาจำเป็นจะต้องของอนุญาตและสิทธิ์ในการตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยมโลกด้วยหรือ ?”
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะออกมาขณะที่เหลือบไปมองคนกระดาษที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น “ท่านคิดว่าเขาพยายามจะคุกคามท่านอย่างนั้นหรือ ? ผิดแล้ว นี่คือการตัดสินใจของเขา และเขาก็เพียงแจ้งให้เรารู้อย่างมีมารยาทเท่านั้น เพราะฉะนั้นการสนใจพวกคนส่งสารจะมีประโยชน์อะไร ? เก็บแรงเอาไว้ ราชาแห่งฮันยางผู้นี้ไม่ได้สนใจพวกเราเลยสักนิด”
“จะเป็นไปได้อย่างไร…” อาร์ทิสกัดฟันกรอด ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็อ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้มาก “ในอดีตไม่เคยมีรัฐบริวารแห่งใดกล้าท้าทายอำนาจของรัฐที่มีอำนาจเหนือกว่า…”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ฉินเย่ตอบนิ่ง ๆ “ท่านคิดว่าการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะนั้นดึงความสนใจจากฝ่ายต่าง ๆ ได้มากเพียงใด ? แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการต่อสู้ตั้งแต่แรก แต่ผู้ที่สัมผัสได้ถึงการสำแดงอำนาจของท่านเปาจะต้องจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นแน่ ที่สำคัญที่สุด พวกเขาจะต้องสังเกตเห็นถึงการปรากฏตัวของสมุดแห่งความเป็นตายที่ช่องแคบสึชิมะ ผู้คนภายนอกอาจจะไม่รับรู้ถึงความสำคัญของมันที่มีต่อยมโลก แต่ท่านคิดหรือว่าราชาแห่งฮันยางผู้นี้จะไม่รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ ?”
“เราสามารถคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะรู้ถึงความจริงที่ว่าสมุดแห่งความเป็นตายได้ตกไปอยู่นอกพรมแดนของจีน นอกจากนี้เขาคงจะแอบกลับไปตรวจสอบถึงสถานะในปัจจุบันของยมโลกแห่งเก่ามาแล้ว หากเขาไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับยมโลก เขาก็คงไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าจักรพรรดิอีกต่อไป เรากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์ด้านนอกของยมโลกเอาไว้เพื่อป้องกันโลกใต้พิภพอื่น ๆ แต่จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งผู้นี้กลับมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนราวกับมองผ่านผืนน้ำบริสุทธิ์ ด้วยพื้นฐานนี้ มันทำให้ข้าเกิดคำถามต่อว่า เหตุใดเขาจึงไม่กล้าประกาศตัวเป็นอิสระจากเรา ?”
เงียบ…
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อาร์ทิสก็เอ่ยออกมาอย่างลังเล “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าลองบอกข้ามาว่าเหตุใดเขาจึงไม่กลับไปที่ยมโลก ?”
“เพราะว่าเขาไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น !” ฉินเย่ตอบอย่างมั่นใจ “เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็น่าจะสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของขั้นตุลาการนรกและขั้นยมทูตขาวดำ และยังกระจกส่องกรรม ตลอดจนการสำแดงอำนาจของท่านเปา และที่สำคัญที่สุด เขาจะต้องรู้แล้วว่าพวกเราสามารถแย่งสมุดแห่งความเป็นตายกลับมาได้สำเร็จ ดังนั้นเขาจะกล้าก่อกบฏได้อย่างไร ? ข้าพนันเลยว่าคำเชิญของเขาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเราแต่อย่างใด”
“แล้วเขาพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่ ?”
“แน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นเจรจาผลประโยชน์ที่เท่าเทียม” ฉินเย่กวาดสายตามองคนกระดาษทั้งสามอย่างเย็นชา “สิ่งแรกที่รัฐที่ต้องการประกาศอิสรภาพก็คือการบอกกับชาติอื่น ๆ ถึงการมีอยู่ของตน เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และด้วยสิ่งนั้น จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งไม่ได้ต้องการให้เราจดจำเขาในฐานะของยมทูตอีกต่อไป แต่เป็นในฐานะของจักรพรรดิแห่งยมโลกที่ใหม่เอี่ยมของฮันหยาง !”
อาร์ทิสอ้าปากค้าง
มันไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่นางเพียงไม่อยากยอมรับมัน พยายามทุกอย่างเพื่อที่ละทิ้งความคิดเหล่านี้ หวังว่ามันจะค่อย ๆ จางหายไปจากใจ แต่ความตรงไปตรงมาของฉินเย่กลับทำลายความคิดทั้งหมด บังคับให้นางเผชิญหน้ากับความกลัวที่เลวร้ายที่สุด และยังส่งความเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลังของนางอีกด้วย !
โลกใต้พิภพไม่เคยสงบสุข
อันที่จริง ราชาแห่งฮันหยางได้ถูกส่งตัวจากจีนไปที่ฮันหยางก็เพื่อที่จะรักษาสมดุลระหว่างอำนาจ ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงเรื่องพวกนี้ แต่อาร์ทิสรู้ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ราชาแห่งฮันหยางผู้นี้ก็มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งตะวันออก และชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าราชันย์วิญญาณทั้งหกเลยด้วยซ้ำ !
ทันทีที่อีกฝ่ายประกาศอสิรภาพของโลกใต้พิภพของตนเอง นั่นมันก็จะไม่ต่างอะไรกับการประกาศให้พญายมราช เทพแห่งความตายของศาสนาฮินดู และอิซานามิ เทพแห่งความตายของญี่ปุ่นได้รู้ว่ายมโลกของจีนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป !
นี่คือการประกาศที่อันตรายเกินไป ! มันอาจจะยังไม่ส่งผลกับความปลอดภัยของยมโลกของจีนในตอนนี้ แต่… มันจะทำให้ระยะเวลาที่ฉินเย่มีในการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ลดลงอย่างมาก !
แต่พวกนางจะทำอย่างไรอีก ?
อาร์ทิสไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างอะไรกับสถานการณ์เช่นนี้
นาง… ไม่สามารถสู้กับจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งผู้อยู่ยงคงกระพันได้จริง ๆ นางรู้ถึงความน่ากลัวของชายผู้นี้ดีเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว อีกฝ่ายก็เคยได้ชื่อว่าเป็นวิญญาณเพียงคนเดียวที่สามารถสู้กับยมทูตที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกันได้ นี่คือสิ่งที่แม้แต่ราชาผีทั้งหกก็ไม่สามารถทำได้ ! หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจะเป็นเหมือนหนามที่ฉินเย่ไม่สามารถจัดการได้แม้ว่าเด็กหนุ่มจะก้าวขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรกแล้วก็ตาม !
นาง… จะต้องเปิดเผยความลับทั้งหมดของยมโลกกับเด็กคนนี้ตอนนี้เลยอย่างนั้นหรือ ? ด้วยไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของเขา ฉินเย่อาจจะสามารถพอเดาอะไรได้บ้างแล้วก็ได้… นางเหลือบตามองคนตรงหน้า ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมาย
จากนั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงดังกล่าวดังมาจากเรือโบราณที่จอดเกยอยู่
“สมแล้วที่เป็นว่าที่พระยม… สามารถเดาสิ่งต่าง ๆ ได้จากการพูดคุยเพียงสั้น ๆ เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าอดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกสมเพชของเล่นที่ข้ามี”
วินาทีต่อมา เรือลำดังกล่าวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นคลื่นพลังหยินที่เย็นยะเยือกก็ปะทุออกมา !
แข็งแกร่ง
แข็งแกร่งมาก !
แต่มันกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์เลยสักนิด อันที่จริง มันยังค่อนข้าง… น่ายกย่อง ?
ฉินเย่แทบจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเพิ่งประสบ มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของขั้นตุลาการนรก แต่มันแค่ไม่มีขั้นตุลาการนรกตนไหน ไม่ว่าจะวิญญาณหรือมนุษย์ ที่ให้ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เช่นนี้มาก่อน
มันรู้สึกสูงส่ง สบายใจ ชอบธรรม และยิ่งใหญ่ และมันยังเจือไปด้วยความน่ายกย่องราวกับเขาควรโค้งคำนับและบูชาอีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงแค่ขั้นตุลาการนรก แต่พลังหยินที่หนาแน่นของเขานั้นทรงพลังกว่าของอาร์ทิสเสียอีก ! อันที่จริง มันหนาแน่นจนสามารถมองเห็นเป็นคลื่นพลังหยินที่ถาโถมเข้ามาบนฝั่งเลยด้วย !
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยเตร็ดเตร่ไปมาท่ามกลางสายน้ำพลังหยินนี้ แต่มันกลับไม่มีวิญญาณตนใดเลยที่กรีดร้องหรือตะโกนออกมา พวกเขาเพียงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ ราวกับเป็นข้ารับใช้ผู้ที่ซื่อสัตย์ที่รอคอยคำสั่งจากราชาของตน
มันเหมือนกับว่าทุกอย่างที่อยู่ใต้ท้องฟ้าเป็นของเขา และทุกผู้ทุกตนที่อยู่บนฝั่งเองก็เป็นข้ารับใช้ของเขาเช่นกัน !
“จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง ?” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “จะ จะ เจ้า… เจ้า… เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ?! เจ้าไม่ควรจะกลับมาที่นี่หากไม่มีพระราชกฤษฎีกา ! เจ้าไม่กลัวที่จะถูกต้องโทษเพราะความผิดเลยหรืออย่างไร ?!”
เงียบ…
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงหัวเราะเย้ยหยันก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากตัวเรือ “เหตุใดข้าจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้ ? พระราชกฤษฎีกาอย่างนั้นหรือ ?”
“มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่กล้าลงโทษข้า !!”
“เจ้าหรือ ?” เขาแย้มยิ้มชั่วร้าย “หรือจะเป็นว่าที่พระยมที่มีเพียงเศษเสี้ยวของตราจ้าวนรกอยู่ในครอบครอง ?”
“ลองบอกข้ามา… หากข้าสังหารเจ้าทั้งสอง ตรงนี้ ตอนนี้… นั่นก็หมายความว่าข้าจะได้เป็นผู้ครอบครองชะตากรรมของยมโลกด้วยสองมือของตัวเองหรอกหรือ ?”
[1] คำที่ใช้ในภาษาจีนคือ 一骑当千 (อี๋ชี่ตังเชียน) ซึ่งแปลแล้วหมายถึงหนึ่งปะทะพัน
[2] บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1084 ระหว่างราชวงศ์ซ่งในรูปแบบของพงศาวดาร ผู้เขียนคือนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ซือหม่ากวง
[3] อ้างอิงถึงตอนที่หลิวอวี้ (จักรพรริหวู่แห่งซ่ง) เข้าร่วมกองทัพของหลิวเหลาจื่อในปีค.ศ. 399 ครั้งหนึ่ง เขาได้นำทหารสิบกว่านายไปปฏิบัติภารกิจสอดแนม และพบเข้ากับทหารของฝ่ายศัตรูที่มีกันหลายพัน ทหารทั้งหมดของหลิวอวี้ถูกสังหาร และเขาก็ตกลงไปในแม่น้ำ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงสังหารทหารของฝ่ายตรงข้ามต่อไป ในขณะเดียวกัน บุตรชายของหลิวเหลาจื่อ หลิวจิงซวน ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเมื่อหลิวอวี้หายตัวไปจากค่ายเป็นเวลานานเกินไปจึงออกตามหาและก็พบว่าเขาต่อสู้กับกองทัพของศัตรูเพียงลำพัง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับชื่อว่าหนึ่งปะทะพัน (อี๋ชี่ตังเชียน)