ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 288 ราชาแมลงแห่งหายนะ (2)
บทที่ 288: ราชาแมลงแห่งหายนะ (2)
วิญญาณทั้งหมดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงสามารถสัมผัสได้ถึงการปะทุที่รุนแรงของพลังหยินอันทรงพลัง
“ฝ่ายหนึ่งคืออาร์ทิส… แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือใครกัน ?” ฉินเย่มองไปยังซากปรักหักพังของศาลาแห่งการรู้แจ้งและมองไปยังทิศทางต้นเสียง จุดที่เขาเห็นคือพื้นดินกระเพื่อมออกมาหลายสิบกิโลเมตร ราวกับแผ่นดินไหวที่รุนแรง เสียงคำรามดังกล่าวทำให้เกิดม่านน้ำกระเพื่อมออกมาจากแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไป
“ฉิบหาย…” ฉินเย่อ้าปากค้างขณะที่มองภาพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บินขึ้นฟ้าพร้อมกับเสียงอื้ออึง สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีความสูงมากกว่า 50 เมตร และมันก็ดูไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการที่บินได้เลยแม้แต่น้อย
ทั่วร่างของมันเป็นสีดำสนิทและมันดูเหมือนกับพวกแมลงแห่งหายนะที่เขาสู้ด้วยก่อนหน้านี้ทุกประการ เปลวไฟนรกสีเขียวหยกลุกโชนภายใต้กระดองเงาวับ ในขณะที่ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างน่าขนลุก ภายใต้ปีกขนาดใหญ่มีใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่ง นางดูราวกับกำลังร้องไห้และครวญครางด้วยความเจ็บปวด ตรงกลางท้องของแมลงยักษ์มีดวงตาสีแดงเข้มอีกดวงหนึ่ง แต่ดวงตานี้ดูแตกต่างจากดวงตาดวงอื่นๆ มันจ้องมองลงมาด้านล่างราวกับมันคืออสูรที่ตั้งใจที่จะสร้างหายนะให้กับยมโลกแห่งเก่าที่พังทลาย
ฟึ่บ ! เสียงที่ให้ความรู้สึกไม่ดีนักดังมาพร้อมกับการสยายปีของมัน หลังจากนั้น ในทุกครั้งที่ปีกขนาดใหญ่กระพือขึ้นลง มันได้สร้างความกดดันมหาศาลในอากาศจนคลื่นกระแทกที่ปล่อยออกมานั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อากาศโดยรอบแปรปรวน ในขณะที่ต้นไม้บริเวณใกล้เคียงโอนเอนอย่างรุนแรง หากพูดกันตามตรง ต้นไม้บางต้นถึงขนาดโค่นลงและถูกพัดออกไปพร้อมกับเศษหินและดินด้วยซ้ำ สายลมกระโชกแรงก่อตัวขึ้น ส่งผลให้เศษฝุ่นฟุ้งกระจายไปโดยรอบทันที
ตำแหน่งของมันในตอนนี้ส่งผลให้มันได้เปรียบเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น ดวงตาของมันทั้งหมดกลับยังคงจับจ้องไปที่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตน เสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังสนั่นออกมาจากร่างของมัน
มันจ้องมองไปยังร่างที่มีสีสันสดใสซึ่งลอยอยู่ห่างออกไป 50 เมตร ร่างสีสันสดใสดังกล่าวผมเผ้าสยายไปในอากาศราวกับงูพิษ ร่างนั้นถูกห่อหุ้มด้วยพลังหยิน ปะทะกับอสูรตัวใหญ่อย่างทรงพลัง ทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีกันไปมา ผมของอาร์ทิสมีรอยไหม้เล็กน้อยขณะที่ปีกขนาดใหญ่ของแมลงแห่งหายนะนั้นหักในบางส่วน
อึก… ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายร้อนรน จากนั้น ด้วยการไตร่ตรองที่ละเอียดรอบคอบ… เขามองหาที่ซ่อนทันที ชะโงกหน้าออกมาจากที่กำบังของตนอย่างระมัดระวังขณะที่มองการต่อสู้ของขั้นตุลาการนรกทั้งสอง
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว การโจมตีบ้านั่นมันอะไรกัน ?
แมลงแห่งหายนะตัวอื่น ๆ นั้นมีขนาดเล็กน่ารัก และมันทำให้เขานึกถึงวันที่ไล่จับแมลงเต่าทอง แต่การเปลี่ยนขนาดอย่างกะทันหันนี่มันอะไรกัน ?!
“ไม่คิดเลยว่าราชาแมลงแห่งหายนะจะปรากฏตัวขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี… หรือข้าควรจะบอกว่านี่คือการแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์แห่งยมโลกแห่งเก่ากันแน่ ?” อาร์ทิสแสยะยิ้มออกมาขณะที่มองไปยังอสูรยักษ์ตรงหน้า เส้นผมของนางสยายออกราวกับกระแสน้ำที่รุนแรง “เจ้าควรจะเป็นเด็กดีและอยู่เงียบ ๆ …ข้าเพียงต้องการจะดูว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำให้เจ้าเชื่อง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ชอบความคิดนั้นสักเท่าไหร่…”
ฟึ่บ ! ราวกับดอกปี่อั้นสีดำที่เบ่งบานอย่างเต็มที่ เส้นผมของนางหลอมรวมเป็นก้อนพลังหยินที่ก่อตัวกันเป็นวิญญาณจำนวนมาก ภายในวินาทีต่อมา พวกมันกลายเป็นเหมือนกับคลื่นสึนามิของเหล่าวิญญาณที่ร้องโหยหวนออกมาด้วยความแค้นและความเจ็บปวดขณะที่พุ่งเข้าหาราชาแมลงแห่งหายนะอย่างรวดเร็ว !
สึนามิวิญญาณนั้นกว้างใหญ่ราวมหาสมุทรและสูงราวกับภูเขาลูกใหญ่ แซ่กกกก !!! ราชาแมลงแห่งหายนะส่งเสียงร้องออกมาและกางปีกออก ปล่อยแมลงแห่งหายนะจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากปีของมัน ราวกับกลุ่มก้อนมีสีดำสนิท พวกมันปะทะกับคลื่นวิญญาณอย่างรุนแรง ไม่มีฝ่ายใดยอมอ่อนข้อให้จนกว่าอีกฝ่ายจะล้มลง
ตู้ม !!!
ผลกระทบจากการปะทะนี้รุนแรงจนทำให้สวรรค์และโลกสั่นไหวอย่างรุนแรง วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฉีกกระชากและทำลายไปโดยกลุ่มแมลงแห่งหายนะ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สำหรับพวกมันแล้ว คลื่นวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรกับแหล่งอาหารขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังหยิน แต่ทันใดนั้นเอง เหล่าวิญญาณที่ถูกกำจัดจากการปะทะกลับเปลี่ยนเป็นเปลวไฟนรกที่ลุกโชนขึ้น ด้วยการจากไปของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน แมลงแห่งหายนะทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟนรกที่แพร่กระจายตัวไปอย่างรวดเร็วจนถึงตัวของราชาแมลงแห่งหายนะในเวลาไม่นาน
มันคือวัฏจักรแห่งความตายและการเน่าสลาย การเกิดและการปราบปราม แมลงแห่งหายนะจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหารไปในเปลวไฟนรก ในเวลานี้ พวกมันไม่ต่างอะไรกับเชื้อเพลิงที่ช่วยสนับสนุนการลุกโชนของเปลวไฟสีเขียวหยกเลยแม้แต่น้อย ภายในชั่วพริบตา ท้องฟ้าที่ดำมืดในตอนแรกสว่างขึ้นด้วยแสงสีทอง แดง เขียว ขาว และดำที่สวยงาม
นี่คือการต่อสู้อันทรงพลังระหว่างตุลาการนรก
แต่ละฝ่ายต่างทรงพลังจนสามารถสั่นสะเทือนสวรรค์และเปลี่ยนแปลงปฐพี ความรุนแรงของการปะทะทำให้เกิดภาพที่น่าสะพรึงกลัว เปลวไฟนรกลุกโชนอย่างโชติช่วง ในขณะที่พลังหยินหลั่งไหลออกมาจากรอบด้านราวกับทุ่งหญ้าแห่งการทำลายล้าง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ภาพที่น่าเหลือเชื่อนี้ก็ได้สร้างความหวาดกลัวและความยำเกรงจากเหล่าผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ
ฟึ่บ… คลื่นแมลงแห่งหายนะลูกใหม่พุ่งเข้าสู่สนามพบก่อนที่จะถูกทำให้กลายเป็นผุยผงไปโดยเปลวไฟนรก มุไร ซาดาคัตสึที่ยังคงยืนอยู่หน้ารูปปั้นขนาดใหญ่อ้าปากค้างด้วยความหวั่นสะพรึง “นี่คือความแข็งแกร่งของขั้นตุลาการนรกของยมโลก… ช่างเป็นระดับพลังที่แตกต่างจากตุลาการนรกของญี่ปุ่นอย่าสิ้นเชิง…”
ตู้ม ! เปลวไฟนรกลามไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่แมลงแห่งหายนะกระจัดกระจายไป ทางช้างเผือกบนท้องฟ้ายามค่ำคืนฉายแสงระยิบระยับเหนือศีรษะของโนบูนางะ เขาเงยหน้าขึ้นมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาในที่สุด “บางที… การสวามิภักดิ์กับพวกเขาก็อาจจะไม่ได้เสียหายอะไร”
“พวกเรากำลังพูดถึงมรดกของยมโลกที่ได้สั่งสมมาตลอดหลายพันปี นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง การพิชิตญี่ปุ่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถทำได้เพียงลำพัง… สิ่งที่ข้าต้องการก็คือการสนับสนุนจากกองกำลังที่แข็งแกร่งและมั่นคง !”
ไฟนรกที่เกิดจากวิญญาณและแมลงแห่งหายนะที่ลุกโชนขึ้นเป็นเหมือนกับเสาเปลวเพลิงที่สูงหลายพันเมตร หมุนตัวเข้าหาราชาแมลงแห่งหายนะอย่างบ้าคลั่ง บดขยี้และเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
วี๊ดดดดด !!! ราชาแมลงแห่งหายนะเงยหัวและกรีดร้องออกมาด้วยเสียงแหลมบาดหู ในวินาทีนั้น แมลงทั้งหมดที่ยังคงปะทะเข้ากับวิญญาณก็พองตัวออกราวกับอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้า จากนั้นพวกมันก็เริ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัว ฉินเย่มองภาพทุกอย่างด้วยลมหายใจที่ขาดห้วง แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมา แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความกดดันจากการโจมตีต่อไปของราชาแมลงแห่งหายนะได้
และในเสี้ยววินาทีต่อมา เหล่าแมลงแห่งหายนะที่พองตัวก็กระเบิดออกพร้อมกัน !
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตามมาด้วยคลื่นกระแทกอันรุนแรงที่สาดซัดไปทั่วทุกที่ แม้แต่ท้องฟ้าก็ดูราวกับจะถล่มลงมาจากพลังทำลายล้างนี้ แม้แต่ฉินเย่ ผู้ที่อยู่ห่างออกไปมาก เมื่อได้ยินเสียงคำรามนั้นก็รู้สึกราวกับตนอยู่ท่ามกลางจุดเกิดแผ่นดินไหว และทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาในหัว “เจ้าเก็บทุกอย่างมาครบแล้วใช่หรือไม่ ?”
“อาร์–…” เด็กหนุ่มกำลังจะตอบออกไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อาร์ทิสก็เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ “เจ้าเก็บทุกอย่างมาครบแล้วใช่หรือไม่ ?! หากใช่ เราจะต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ !”
“ราชาแมลงแห่งหายนะอยู่ขั้นตุลาการนรกระดับสูง และมันก็กำลังอยู่ในช่วงคอขวดของการทะลุเป็นขั้นฝู่จวิน ! ข้าไม่สามารถสู้มันได้… ให้ตายเถอะ… ข้าไม่สนว่าเจ้าจะนำทุกสิ่งมาได้ครบหรือไม่ ! เราจะออกไปจากที่นี่ภายในสิบวินาที !”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่พอใจนักก่อนจะหันไปมองยมโลกแห่งเก่าอย่างไม่เต็มใจ
ยมโลกนั้นกว้างใหญ่เพียงใด ? แม้จะมีการปะทะกันระหว่างขั้นตุลาการนรกบนท้องฟ้า คลื่นกระแทกที่พวกเขาส่งออกมาก็ไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมพื้นที่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของยมโลกได้
เขาอยากรู้ว่ามันยังมีมรดกอะไรอีกบ้างที่ถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกของนครเฟิงตู…
แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่อาร์ทิสพูดจบ เสาเปลวเพลิงก็ระเบิดออก เปลวไฟกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าที่อยู่เหนือนรกแห่งเก่า
ตุลาการนรกปะทะตุลาการนรก นี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่เหลือช่องว่างให้ผู้อื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบรบกวน
“ได้เวลาแล้ว !!” พวกเราจะช้าไปกว่านี้อีกไม่ได้… อาร์ทิสประกบมือของนางเข้าด้วยกันและตะโกนออกมาสุดเสียง เปลวไฟที่กระจายตัวอยู่ทั่วท้องฟ้าพุ่งมาบรรจบกันอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่างมายาของอรากษสสาวที่มีความสูงหลายสิบเมตร ร่างดังกล่าวพุ่งออกไปและกัดเข้าที่ร่างของราชาแมลงแห่งหายนะเป็นอย่างแรก
วินาทีนั้น คนทั้งหมดรู้สึกเหมือนกับว่าร่างของพวกเขาบินขึ้นไปบนอากาศและพุ่งเข้าหาอาร์ทิสด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า แทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาถูกดึงด้วยเชือกที่มองไม่เห็นไม่มีผิด
พวกเขาข้ามผ่านระยะกว่าพันเมตรได้ภายในชั่วพริบตา หลังจากนั้นไม่นาน ราชาแมลงแห่งหายนะก็ระเบิดเปลวไฟสีแดงก่ำออกมาราวกับระเบิดนิวเคลียร์ เสียงคำรามอันดุเดือดของมันดังก้องไปทั่วเมืองเฟิงตู เปลวไฟดังกล่าวยังคงลุกโชนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสิบนาที เมื่อกลุ่มควันและเปลวไฟสลายหายไป ร่างของราชาแมลงแห่งหายนะมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับถูกปกคลุมด้วยความเงียบ มันไม่สามารถระบุตำแหน่งของศัตรูก่อนหน้านี้ของตัวเองได้อีกต่อไป
วี๊ดดดดดดดดด !!! หลังจากหันไปมาอยู่หลายครั้ง มันก็กลับไปยังส่วนลึกของทะเลสาบด้วยความไม่พอใจและขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมากในท้ายที่สุด
…
อาร์ทิสคว้าร่างของคนทั้งหมดด้วยผมสีดำสนิทของตนและพุ่งข้ามท้องฟ้าราวกับอุกกาบาต ทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบผ่านไปด้วยความเร็วสูง หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที พวกเขาก็พบว่าตัวเองมาถึงที่จุดเริ่มต้นของทางหวงเฉวียนอีกครั้ง
ฉินเย่ปาดเหงื่อเย็นที่เกาะอยู่บริเวณหน้าผากของตน การเดินทางในยมโลกแห่งเก่าของพวกเขานั่นน่าตื่นเต้นและอันตรายกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
เด็กหนุ่มมองไปยังเงารางที่อยู่ที่ปลายขอบฟ้าและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ช่างน่าเสียดาย…”
“ฉินคุง” โนบูนางะเอ่ยแทรกขึ้น “ในเมื่อมันจบลงแล้ว มันก็จบลงแล้ว ที่นี่เป็นเพียงสนามเด็กเล่นของแมลงแห่งหายนะเท่านั้น พวกมันรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา ดังนั้นเราก็จะไม่สามารถทำอย่างอื่นได้แม้ว่าจะอยู่ต่อนานกว่านี้ก็ตาม ในทางกลับกัน เรายังเสี่ยงที่จะถูกล้อมรอบโดยพวกมันอีกด้วย แม้ว่าจะมีท่านอรากษสอยู่ มันก็ไม่มีสิ่งรับประกันว่าเราจะสามารถออกมาได้โดยมีชีวิต นอกจากนี้…”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ เราอาจจะได้อะไรมามากกว่าที่เจ้าคาดเอาไว้ก็ได้”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ตระหนักได้ดีว่าตัวควรจะสงวนท่าทีของตนกับคนภายนอก สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นนิ่งเฉย จากนั้นเมื่อตอบออกไป โดยไม่เอ่ยอะไรถึงการแสดงความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “ท่านโนบูนางะ ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร ?”
มุไร ซาดาคัตสึมองผู้เป็นหัวหน้าของตนก่อนจะถอยกลับไปยืนยังที่ของตน เขาเป็นผู้ติดตามของโนบูนางะ ดังนั้นเขาจึงเพียงก้มหน้าและยืนอยู่ด้านหลังอย่างถ่อมตัว
เช่นเดียวกัน อาร์ทิสเหลือบมองโนบูนางะ รอฟังคำตอบของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ
สายตาของโนบูนางะนั้นนิ่งสงบและไม่สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ แต่ถึงกระนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประสานมือและโค้งคารวะให้ฉินเย่ด้วยความเคารพดังเช่นผู้ติดตามทั่วไปปฏิบัติต่อผู้เป็นนาย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายแต่กลับชักดาบคาตานะของตนออกมา “เจ้ารู้จักดาบเล่มนี้หรือไม่ ?”
ฉินเย่มองดาบตรงหน้า เขาสามารถบอกได้ว่ามันคือดาบอันเลื่องชื่อ ถูกสร้างมาอย่างดีและสมส่วน นอกจากนี้เขายังเห็นรูปดอกเบญจมาศสลักอยู่บนใบมีดของดาบอีกด้วย
“คิคุ อิจิมอนจิ[1]” โนบูนางะกวัดแกว่งมันเบา ๆ “หนึ่งในดาบที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคเซ็งโงกุ หลังจากการตายของข้า มันได้ถูกฟูมฟักด้วยพลังหยินมากมาย และความแข็งแกร่งของมันก็ก้าวข้ามวัตถุหยินที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำทั่วไปมาก แต่ถึงกระนั้น แม้จะมีดาบเล่มนี้อยู่ในมือ ข้ากลับไม่สามารถตัดผ่านกระดองที่แข็งแกร่งของแมลงแห่งหายนะได้”
โดยไม่เว้นช่วง เขาเอ่ยต่อ “เจ้าไม่ได้สังเกตอย่างนั้นหรือ ?”
“หลังจากที่แมลงแห่งหายนะพวกนั้นถูกกำจัดไป ร่างของพวกมันกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยิน… แต่กระดองของพวกมันกลับยังคงอยู่”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า…” ดวงตาของอาร์ทิสเป็นประกายขึ้น “ให้ใช้กระดองของพวกมันเป็นชุดเกราะเช่นนั้นหรือ ?!”
ช่างเป็นความคิดที่แปลกใหม่มาก !
มันไม่ใช่ว่ายมโลกแห่งเก่าไม่เคยคิดเกี่ยวกับอะไรแบบนั้น แต่มัน… เป็นเพียงเพราะพวกนางไม่เคยเห็นการปรากฏตัวของแมลงแห่งหายนะจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ! ทว่าด้วยจำนวนของพวกมันในตอนนี้… มันเพียงพอที่จะสร้างชุดเกราะให้กับทหารวิญญาณทั้งกองทัพ !
ไม่… อันที่จริง มันน่าจะมีมากเกินพอด้วยซ้ำ !
เพราะอย่างไรแล้ว ประชากรวิญญาณในยมโลกแห่งใหม่ตอนนี้เพิ่งมีเพียงแสนตนเท่านั้น และมันก็ถือว่าโชคดีมากแล้วหากพวกนางสามารถสร้างกองกำลังที่มีทหารหมื่นนายขึ้นมาได้ ในขณะที่ภายในนครเฟิงตูมีแมลงแห่งหายนะมากกว่า 3 แสนตัว !
“ไม่เพียงเท่านั้น” ครั้งนี้เป็นฉินเย่เองที่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขณะที่มองคนทั้งหมด “อรากษส สิ่งที่ท่านโนบูนางะต้องการจะพูดก็คือ… เราสามารถใช้ชุดเกราะพวกนั้นทำการคุ้มกันทหารของเรา จากนั้นก็กลับมาที่นี่เพื่อสู้กับแมลงแห่งหายนะตัวอื่น ๆ และแย่งยมโลกแห่งเก่ากลับคืนมา”
อาร์ทิสอ้าปากค้าง
ช่างเป็นความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่… แต่หากสำเร็จ พวกนางก็อาจจะสามารถกลับมาเก็บมรดกอื่น ๆ ที่ยังหลงเหลือได้อีก ! นอกจากนี้…
การฝึกฝน !
การก่อตั้งยมโลกแห่งใหม่และการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะได้ดึงดูดสายตาจากหลายฝ่าย และมันก็เห็นได้ชัดว่าเหล่าข้าราชการศักดินาบางตนได้เริ่มมีความคิดที่จะก่อกบฏ จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งนั้นเป็นเพียงรายแรก หรือบางที เขาอาจจะถูกรับเลือกสำหรับต่อกรกับยมโลกโดยฝีมือของข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ ที่ค่อยจับตามองจีนอย่างใกล้ชิดก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่ยมโลกแห่งใหม่ต้องการที่สุดในเวลานี้ก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สามารถยืนหยัดรับการต่อสู้จากศัตรูที่รุกรานเข้ามาได้ !
ฉินเย่ได้ให้คำมั่นที่จะจัดการประชุมราชสำนักขึ้นภายในปลายปี หากเหล่าข้าราชการศักดินาตนอื่นๆมาเห็นว่ายมโลกแห่งใหม่นั้นไม่มีทหารแม้แต่ตนเดียว บางที… แม้แต่ข้าราชการที่ซื่อสัตย์ที่สุดก็อาจจะเริ่มเปลี่ยนใจตามคำยั่วยุได้
หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ กองกำลังชั้นยอดคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับสื่อสารกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ว่าพวกเขาควรรู้ถึงจุดยืนของตัวเองแม้ว่ายมโลกแห่งเก่าจะล่มสลายไปแล้วก็ตาม !
[1] ดาบที่มีชื่อเสียงซึ่งถูกตีขึ้นโดย 13 นักตีดาบตามพระราชประสงค์ของพระจักรพรรดิโก โทบะในปีค.ศ. 1208