ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 289 การประกาศสัตย์ปฏิญาณสวามิภักดิ์ของโนบูนางะ
บทที่ 289: การประกาศสัตย์ปฏิญาณสวามิภักดิ์ของโนบูนางะ
อาร์ทิสถอนหายใจออกมาเบา ๆ และมองไปที่ฉินเย่
ไม่ผิดแน่… นิสัยขี้ขลาดที่มักจะโผล่ออกมายามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาได้ลดลงไปอย่างมาก นางก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลอยู่ เพราะอย่างไรแล้ว ยมทูตก็ต้องรับมือกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเรื่องไหนที่พวกนางสามารถหลบหนีได้ นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แม้แต่ผู้ที่ขี้ขลาดที่สุดก็ต้องเข้าใจถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะวิ่งหนีหรือหลบซ่อนตัวอีกต่อไป
และสิ่งนี้ก็จะกลายเป็นธรรมชาติที่สองไปโดยปริยาย
อันที่จริง มันมีเพียงตอนที่ฉินเย่รับรู้แล้วว่าตนไม่มีทางให้หนีอีกต่อไปเท่านั้นที่เขาจะเริ่มเปล่งประกายออกมาเหมือนกับอัญมณีล้ำค่า เศษสิ่งสกปรกที่เคลือบอยู่ด้านนอกค่อย ๆ หลุดออกไป เผยให้เห็นความเปล่งประกายที่อยู่ภายใน
ความสามารถในการตอบสนองอย่างทันท่วงทีและความเข้าใจในจิตใจของมนุษย์คือคุณสมบัติสองอย่างที่นักการเมืองระดับสูงพึงมี
ยายเมิ่ง… ผู้ที่ท่านเลือกมานั้นมีพรสวรรค์ซ่อนอยู่อย่างแท้จริง… อาร์ทิสถอนหายใจออกมาและเงียบไป
ดวงตาของโนบูนางะเป็นประกายขึ้น ความคิดแรกของเขาคือสร้างชุดเกราะให้กับกองกำลังของตนเองเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว นี่คือทางเดียวที่เขาจะสามารถพัฒนากองกำลังของตัวเองให้เทียบเท่ากับกองกำลังของโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นได้ หรือหากจะให้พูดอีกอย่างก็คือ การใช้ยมโลกแห่งเก่าเป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย !
กองกำลังวิญญาณติดอาวุธที่สวมกระดองของแมลงแห่งหายะถูกใช้เพื่อกำจัดแมลงแห่งหายนะ นี่มันสวรรค์ชัด ๆ! พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ… ระยะเวลาแค่สองเดือนก็เพียงพอที่จะสร้างกองพันทหารชั้นยอดได้ !
“และมันยังไม่เพียงเท่านั้น” ฉินเย่ไพล่มือไว้ด้านหลังและเอ่ยด้วยท่าทีที่สมกับเป็นว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไป เขาแย้มยิ้มบาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าเรียกวิญญาณธรรมดาที่สวมชุดเกราะกระดองของแมลงแห่งหายนะครบชุดว่าอย่างไร ?”
อาร์ทิสคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “สกิน ?” [1]
จากนั้น นางก็เหมือนกับได้ยินเสียงลั่นของกระดูกข้อนิ้วดังมาจากมือของฉินเย่ ตามมาด้วยสายตาที่ดุดัน
มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?
ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองเพิ่งเอ่ยอะไรออกมา ? หืม? รู้หรือไม่ ? หากไม่ ท่านก็ช่วยสงบเสงี่ยมและเงียบไปได้หรือเปล่า ? แค่ไม่พูดออกมามันจะทำให้ตายหรืออย่างไร ?!
“แค่ก ๆ …ขออภัย …มันเป็นนิสัยน่ะ …เชิญพูดต่อเถอะ” อาร์ทิสกระแอมออกมาเสียงแห้ง
ฉินเย่ละสายตาจากอีกฝ่ายและเอ่ยด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “มันเรียกว่าการก่อตั้งอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งประดิษฐ์หยิน !”
ทันทีที่เด็กหนุ่มเอ่ยจบ ดวงตาของอาร์ทิสและโนบูนางะก็เป็นประกายขึ้นทันที
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นผู้ปกครองเมืองมาแล้วทั้งสิ้น และพวกเขาย่อมรู้ดีว่าการก่อตั้งอุตสาหกรรมแห่งใหม่จะเป็นประโยชน์ต่อยมโลกที่เพิ่งเกิดใหม่อย่างไร ! มันจะสร้างงานให้พวกเขาได้มากมายแค่ไหน ?
“ด้วยแมลงแห่งหายนะที่มากมายขนาดนี้…” ดวงตาของโนบูนางะลุกโชนขึ้นขณะที่เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองไปยังนครเฟิงตูที่อยู่ห่างออกไป “หากเราสามารถจัดตั้งกองกำลังกองแรกได้เร็วพอ… พวกเราอาจจะได้ชิ้นส่วนกระดองสักล้าน… ไม่ อาจจะสิบล้านเลยก็ได้ ! แล้วอุตสาหกรรมนี้ก็จะสามารถดำเนินไปได้อีกหลายปี !”
“ไม่ ๆๆ มันมากกว่านั้น มากกว่านั้นมาก” ฉินเย่ส่ายนิ้วไปมาขณะที่เอ่ยต่อ “ที่สำคัญที่สุด สิ่งนี่สามารถถูกใช้เป็นสินค้าของยมโลก เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ?”
เขามองไปยังอาร์ทิส นางสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“เจ้า… จะขายสกินอย่างนั้นหรือ ?” เสียงที่เอ่ยออกมาดังขึ้นเรื่อย ๆ “นี่จะเป็นสกินชุดแรกที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยยมโลกแห่งใหม่ ! มันจะต้องสมบูรณ์แบบ และจะต้องประณีตอย่างมาก ! เราอาจจะใช้ประโยชน์จากมัน… แค่ก แค่ก… ข้าหมายถึงเราสามารถใช้มันในฐานะไพ่ตายเพื่อต่อรองกับเหล่าข้าราชการศักดินาตนอื่น ๆ ในการประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีได้ !”
ฉินเย่จ้องมองอาร์ทิสด้วยสายตาดุดัน ในที่สุดอีกฝ่ายก็ข่มความเป็นเกมเมอร์ในตัวลงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมาะสม
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็สามารถขจัดความขุ่นมัวและความเสียดายในใจของตัวเองไปได้บ้าง
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คืออะไรน่ะหรือ ?
มันก็คือการตายไปโดยที่ยังไม่ได้เพลิดเพลินกับความร่ำรวยที่หามาได้น่ะสิ
แล้วสิ่งที่น่าเศร้าไปกว่านี่ล่ะ ?
มันก็คือตอนที่เงินไม่สามารถถูกใช้สอย และบุตรในสายเลือดไม่สามารถรับมรดกพวกนี้ได้ไงล่ะ !
และอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น ?
มันก็คือตอนที่ลูกได้รับสิทธิ์ที่จะรับมรดกของผู้เป็นพ่อ แต่กลับพบว่าพ่อของตนทิ้งมรดกไว้ให้เขาไม่ถึง 100 หยวนไงล่ะ !
จะไม่ให้อะไรกับเขาเลยหรือไม่ก็ให้ทุกอย่างที่มี ! นั่นจะไม่น่าเกลียดไปหน่อยหรืออย่างไรหากจะให้เขาเพียง 100 หยวนจากมูลค่าทั้งหมดกว่าร้อยล้าน ?!
น่าเสียดายที่ฉินเย่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นกับยมโลกแห่งเก่าในตอนนี้
เพราะอย่างไรแล้ว มรดกของยมโลกก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงที่สถานที่ที่พวกเขาเพิ่งไปมาเท่านั้น พวกเขาเพิ่งสามารถเก็บมาได้แค่ไหนเอง ? หนึ่งในประสบการณ์ที่เจ็บปวดและโศกเศร้าที่สุดในชีวิตก็คือการเห็นผลไม้ที่น่ารับประทานห้อยต่ำลงมาแต่ไม่สามารถเอื้อมไปเก็บมากินได้ ! แต่หลังจากที่ได้มองอีกที เขาก็พบว่ามันยังมีวิธีอีกมากมายที่สามารถใช้ในการเก็บมันมาได้
“มันไม่มีหรอก วีรบุรุษคนใดที่ใช้วิธีสกปรก มีแต่ผู้เล่นเท่านั้นที่ใช้วิธีสกปรก” เขาพึมพำคำพูดที่มักถูกเอ่ยถึงออกมาด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขณะที่ปรายตามองผ่านอาร์ทิสไปอย่างหยิ่งยโส เห็นได้ชัดว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้การกระทำดังกล่าวนั้นคืออะไร อ่อนหัด จงดูว่าคนฉลาดเขาจะจัดการกับการตั้งค่าความยากลำบากของยมโลกอย่างไร ตลอดระยะเวลาพันปีที่ผ่านมามีโลกใต้พิภพแห่งไหนคิดที่จะเริ่มเกมแบบนี้บ้าง ? ข้าคิดว่าไม่มีนะ ดูและจำ จำและนำไปใช้
อาร์ทิสเข้าใจความหมายในสายตาของอีกฝ่ายได้ทันที นางกลอกตาและพยายามข่มจิตสังหารที่พลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ อดทน… ต้อง… อดทน… มันจะไม่มีใครดูแลการก่อสร้างของยมโลกหากข้าฆ่าเขา… ข้าแค่ต้องทนไปอีกไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น… จะว่าไป เหตุใดจ้าวนรกองค์ที่สามจึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากจ้าวนรกทั้งสององค์ก่อน ? แนวคิดหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ร่วมด้วยช่วยกัน
“ถ้าเช่นนั้น ท่านจ้าวนรกผู้สูงศักดิ์ ข้าควรเริ่มเตรียมการเลยดีหรือไม่ ?” น้ำเสียงสงบนิ่งดังขึ้นขัดความคิดของฉินเย่ ทำให้เขาหลุดพ้นจากจินตนาการอันเพ้อฝันของตัวเอง เด็กหนุ่มให้ไปมองผู้พูด และใบหน้าเยาว์วัยก็เปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นเคร่งขรึม “ท่านโนบูนางะ ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ?”
“เมื่อลงเรือลำนี้แล้ว ท่านจะไม่สามารถหันหลังกลับลงไปได้อีก”
ใช่แล้ว… นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ !
เขาสามารถสร้างเส้นทางของตัวเองได้แม้ว่าจะไม่มีมรดกของยมโลกก็ตาม ยมโลกแห่งใหม่จะสามารถพัฒนาความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาได้ดังเช่นยมโลกแห่งเก่าเมื่อเวลาผ่านไป และมันก็จะมีความพิเศษในตัวเอง นอกจากนี้การมีแม่ทัพผู้เก่งกล้ามาช่วยเขาในจุดเริ่มต้นของเกมที่ยากลำบากนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับมรดกทั้งหมดของยมโลกแล้ว
โอดะโนบูนางะ… ได้ยื่นเจตจำนงที่จะประกาศสัตย์ปฏิญาณสวามิภักดิ์ในที่สุด
ตั้งแต่ที่พวกเขาเดินทางมาที่ยมโลกแห่งเก่า โนบูนางะก็เงียบมาโดยตลอด เมื่อใดก็ตามที่เขาพูด เขาจะพูดในฐานะของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น แต่ตอนนี้ มันเห็นได้ชัดแล้วว่าโนบูนางะนั้นมองฉินเย่ในฐานะของคัมปากุ หรือจ้าวผู้ปกครองยมโลก [2]
โนบูนางะไม่ได้ตอบออกไปทันที กลับกัน เขาเพียงมองไปยังยมโลกที่กว้างใหญ่เป็นเวลานานก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ทว่าหนักแน่น
“ดี !” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และประกายแสงสีดำสว่างวาบออกมาจากอกของเขา บันทึกนรกลอยออกมาและตกลงในมือ เด็กหนุ่มทำท่าคว้าอะไรบางอย่างในอากาศและพู่กันแท่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็เขียนลงไป
แม่ทัพแห่งเจิ้นหยวน !
แต่ขณะที่เขากำลังจะเขียนชื่อของโนบูนางะลงไป เขาก็รู้สึกราวกับมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังขัดขวางความพยายามของเขาอยู่ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถเขียนลงไปได้
“ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตอนนี้เจ้าเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้น โนบูนางะเองก็อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ เจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งเขา” อาร์ทิสพึมพำเสียงเบา “กัดปลายนิ้วของตัวเองและปาดเลือดของเจ้าลงบนฝ่ามือของข้า ข้าจะเป็นผู้เขียนมันเอง”
นี่ข้าต้องกัดปลายนิ้วของตัวเองอีกแล้วเหรอ ?
ฉินเย่มองหน้าอาร์ทิสราวกับเห็นผี ข้าบอกท่านไปตั้งหลายสิบตอนแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าอาจจะยังสามาถต่อสู้ได้หากมีมีดปักอยู่บนร่าง แต่ข้าก็ยังสามารถกรีดร้องและตะโกนราวกับเด็กผู้หญิงได้เช่นกันเมื่อนางพยาบาลมาขอเลือดของข้าขณะที่ทำการตรวจร่างกาย ? ข้าหมายถึง… ทำไมต้องขอให้ข้ากัดลิ้นหรือกัดปลายนิ้วของตัวเองตลอดเวลาด้วย ? นี่ท่านมีความแค้นอะไรเกี่ยวกับอวัยวะทั้งสองส่วนนี้หรืออย่างไร ?
เมื่อเห็นสายตาที่มองมายังตน อาร์ทิสก็เข้าใจทันทีว่าตนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับตัวตนของฉินเย่ที่นางแทบรอไม่ไหวที่จะฆ่าอีกฝ่าย โชคดีที่นางพอจะคุ้นเคยกับการรับมือกับด้านที่ไม่ทะเยอทะยานและน่าสมเพชของจ้าวนรกองค์ที่สามผู้นี้มาบ้าง ดังนั้นนางจึงคว้ามือของฉินเย่ และกรีดที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะจับนิ้วนั้นมาปาดลงบนฝ่ามือของตนเอง
ฟึ่บ… ทันทีที่วาดรูปยันต์บนฝ่ามือของตัวเองด้วยเลือดของอีกฝ่ายจนเสร็จสิ้น พื้นที่โดยรอบพวกเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย พลังหยินจำนวนมหาศาลปะทุออกจากมือขวาของอาร์ทิสและพุ่งขึ้นไปบนฟ้าราวกับไฟนรกที่ลุกโชติช่วง ผมเผ้าและเสื้อผ้าของนางเริ่มกระพืออย่างบ้าคลั่ง
“มีเพียงยมทูตที่อยู่ขั้นตุลาการนรกขึ้นไปเท่านั้นที่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานภายใต้ระบบของยมโลกแห่งเก่า” บันทึกนรกเปล่งประกายแสงสีขาวที่ตรงข้ามกับพลังหยินที่หลั่งไหลออกมาจากมือขวาของนาง “นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของบันทึกนรก ดูและจำ จำและนำไปใช้”
ทันทีที่พู่กันตวัดลงบนกระดาษ ร่างของโนบูนางะก็สั่นเทา และพื้นที่โดยรอบของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังหยินมากมายไหลเวียนอยู่รอบตัวพร้อมกับเปลวไฟนรกสีเขียวหยก
“นายท่าน…” มุไร ซาดาคัตสึร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่นานเขาก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับอีกฝ่าย
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือในวินาทีเดียวกันนั้น โนฮิเมะ คนรับใช้ที่ใกล้ชิดที่สุดของโนบูนางะ รวมถึงกองกำลังทหารม้าที่เหลืออยู่กว่าพันนายต่างก็ประสบกับสถานการณ์เดียวกัน !
สายลมกระโชกแรงพัดรอบพวกเขาราวกับพายุพลังหยิน อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นตะโกนออกมาเสียงดัง “จงอย่างต่อต้าน ! ชื่อของพวกเจ้ากำลังถูกบันทึกลงในบันทึกนรก ต่อจากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะถือว่าเป็นยมทูตที่แท้จริงของยมโลก ! และพวกเจ้าจะได้รับพลังอำนาจในการสังหารวิญญาณทุกตนภายใต้ขอบเขตอำนาจของนรก !”
ฟึ่บ ! มือที่ถือพู่กันยังคงตวัดลายเส้นต่อไป และชื่อเต็มของโนบูนางะก็ถูกเขียนลงในบันทึกนรกในเวลาไม่นาน ทันทีที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น ลูกไฟวิญญาณสีทองก็ลอยออกมาจากหน้าผากของแม่ทัพผู้เก่งกล้าและตกลงบนหน้ากระดาษ ลุกไหม้บนชื่อของเขาด้วยเปลวไฟนรกสีทองอ่อน
ตู้ม ! ในไม่กี่วินาทีถัดมา พายุนรกได้ห่อหุ้มรอบร่างของโนบูนางะอย่างแน่นหนาก่อนจะเปลี่ยนเป็นรังไหมพลังหยินที่มีความสูงสองเมตร และหมุนวนรอบร่างของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดออก โนบูนางะยืนอยู่ใจกลางของรังไหมดังกล่าว ตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง
ชุดเกราะญี่ปุ่นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และมันก็ถูกแทนที่โดยชุดเกราะจีนโบราณ แผ่นเหล็กครอบเต็มตัว ในขณะที่หัวเข็มขัดที่สวมอยู่ถูกสลักด้วยใบหน้าของอสูรสีทอง นอกจากนี้ยังถูกสวมทับด้วยกระจกทองแดงที่ด้านหน้าและด้านหลักอีกที เสื้อคลุมสีแดงปักลายถูกแทนที่ด้วยผ้ากำมะหยี่สีเขียวเข้มที่ลอดออกมาจากเกราะ ที่ข้างเอวมีป้ายชื่อแขวนอยู่ คำว่า ‘แม่ทัพแห่งเจิ้นหยวน’ ถูกสลักอยู่ด้านหน้าในขณะที่ชื่อ ‘โอดะโนบูนางะ’ ถูกสลักไว้อย่างชัดเจนที่ด้านหลัง
หากไม่ใช่เพราะพลังหยินที่หลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด รวมถึงเปลวไฟนรกที่ลุกโชนในดวงตา เขาคงจะเป็นศูนย์รวมของคำว่า ‘ความยิ่งใหญ่’ เป็นแน่
แม่ทัพตนแรกของยมโลก… ใครจะไปคิดว่าจะเป็นชาวญี่ปุ่น ? ฉินเย่หัวเราะออกมาเบา ๆ มันช่วยไม่ได้ ผู้มีพรสวรรค์คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ นี่คือสิทธิพิเศษที่เขาเต็มใจที่จะมอบให้กับแม่ทัพตนแรกของยมโลกเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ เขาก็คงจะให้พวกนั้นพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งของตัวเองอย่างแน่นอน
นี่เขาตาฝาดหรือเปล่า ? ฉินเย่รู้สึกว่าตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแห่งเจิ้นหยวน พลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากร่างของอีกฝ่ายนั้น… รุนแรงมากกว่าเดิม !
ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตามึนงงของฉินเย่ อาร์ทิสจึงอธิบาย “นี่เป็นเรื่องธรรมดา วิญญาณทุกตนล้วนต้องมีดินแดนให้ยึดติด ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน ที่ผ่านมา สาเหตุที่เขาไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของโลกใต้พิภพแห่งใดได้ก็เพราะว่าญี่ปุ่นนั้นไม่ยินยอม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพลังหยินจากร่างของเขาถึงอ่อนกว่าแต่ก่อนมาก แต่ตอนนี้… ข้าสามารถพูดได้เลยว่าความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20%”
โนบูนางะสำรวจร่างใหม่ของตนและกำหมัดแน่น ครู่ต่อมาเขาก็ประสานมือกุมกำปั้นและโค้งคำนับฉินเย่ด้วยความเคารพ “แม่ทัพแห่งเจิ้นหยวน โอดะ โนบูนางะ ขอคารวะท่านจ้าวนรก !”
มุไร ซาดาคัตสึยืนอยู่ด้านหลังของโนบูนางะในชุดเกราะจีนของตน พร้อมกับเสียงตุบ ! เขาคุกเข่าลงกับพื้นและเอ่ยประกาศออกมาสุดเสียง “นับแต่นี้ ! ชีวิตของข้าเป็นของยมโลก !!”
และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงแค่ตนเดียว ย้อนกลับไปในมิติเสมือนจริงของวัดฮนโน โนฮิเมะเองก็พบว่าตนเองกำลังสวมชุดใหม่เอี่ยมของหญิงสาวชาวจีน และนางก็รีบคุกเข่าลงและตะโกนออกมา “ข้าขอแสดงความยินดีกับท่าน ท่านโนบูนางะ ในที่สุดท่านก็หานายใหม่ได้แล้ว ! ข้า โนฮิเมะ… เต็มใจที่จะสละชีพของตนเพื่อยมโลก !”
เบื้องหลังของนาง ทหารม้ากว่าพันนายคุกเข่าลงพร้อมกันและเงยหน้าขึ้นฟ้า เอ่ยให้คำมั่นด้วยเสียงที่ดังก้อง “ชีวิตของเราเป็นของยมโลกนับแต่บัดนี้ !!”
ต่อจากนี้ พวกเขาไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนอีกต่อไป
“ดีมาก…” กลับมาที่ยมโลกแห่งเก่า ฉินเย่หลับตาลงและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่ต้องห่วง ยมโลกจะทำให้ความต้องการของท่านเป็นจริง”
“เชื่อข้า ภายในเวลา 100 ปี ท่านจะได้เดินทัพไปยังอามาโนะ อิวาโตะอย่างแน่นอน !”
[1] อ้างอิงจากการแต่งกายของตัวละครในเกม MOBA
[2] ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการสำหรับจักรพรรดิที่ทรงเจริญพระชนพรรษาแล้ว พวกเขาคือกลุ่มผู้ที่อำนาจการบริหารประเทศในยุคสมัยเฮอัง ก่อนที่อำนาจจะตกอยู่ในมือทหารและมีการปกครองโดยโชกุน
Next