ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 311 ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (3)
บทที่ 311: ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (3)
เวียง เมืองหลวงของล้านช้าง[1]
วัดและแท่นบูชามีปรากฏให้เห็นแทบจะทั่วทุกที่ในประเทศแห่งพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ส่วนอื่น ๆ ของประเทศเองก็ไม่ต่างจากเมืองทั่ว ๆ ไปของแผ่นดินจีน
ท้องถนนเต็มไปด้วยร้านค้าที่มีป้ายภาษาจีนเต็มไปหมด ภาษาจีนถูกนำมาใช้ตามสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศ น่าเสียดายที่ทรัพยากรในประเทศมีอยู่ไม่มากนัก สิ่งอำนวยความสะดวกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติล้านช้างจึงมีอยู่อย่างจำกัด
แต่มันก็ยังมีจำนวนนักเรียนจีนอยู่มากพอสมควรในพื้นที่แถบนี้ บางคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน ในขณะที่บางคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ โจวกู่เองก็เป็นหนึ่งในนักเรียนเหล่านั้น
ทุกคนที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งชาติล้านช้างรู้ดีว่าโจวกู่นั้นเป็นหนึ่งในนักเรียนมีชื่อเสียงมากที่สุดในปี เขาทั้งหน้าตาดี มีเสน่ห์ บุคลิกดีและที่สำคัญที่สุด… เขามีความสามารถทางด้านการดนตรีทุกประเภท ทั้งเปียโน เปียโนไฟฟ้า กีต้าร์ เบส และแม้แต่เครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่างพิณหรือกู่ฉิน ทุก ๆ การแสดงของทางมหาวิทยาลัยจะมีเขาร่วมด้วยเสมอ
นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักในเรื่องความแปลกประหลาดของเขา
เขาไม่ค่อยจะพูดกับใครเลยเว้นแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรี นอกจากนี้เขายังจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อที่จะได้ห้องเดี่ยว แทนที่จะร่วมห้องกับคนอื่น
ไม่เข้าสังคมและความเย่อหยิ่งคือจุดเด่นของเขา
ล้านช้างนั้นตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่เขตร้อนและอุณหภูมิบริเวณนี้ก็มักจะสูงอยู่ตลอดทั้งปี ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับยังสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ โจวกู่สวมหมวกเบสบอล หูฟัง และรองเท้าผ้าใบขณะที่เดินไปตามทางเดิน นักศึกษาหญิงหลายคนต่างมองตามเขาอย่างอดไม่ได้
“หล่อจัง…” หนึ่งในนักศึกษาผู้หญิงมองร่างที่สูง 1.8 เมตรของโจวกู่ “หากฉันได้แต่งงานกับเขา ฉันอาจจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่จีน…”
เพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา “ฝันไปเถอะ เขาไม่แม้แต่จะมองเราด้วยซ้ำ ดอกไม้ของมหาวิทยาลัยที่ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากดนตรี แม้แต่นักศึกษาคนอื่น ๆ ที่มาจากจีนก็ยังไม่สามารถชวนเขาคุยได้มากนัก”
“มีใครเคยเห็นห้องพักเขามาก่อนไหม ? มันต้องน่าโรแมนติกมากแน่ ๆ ฉันว่ามันคงมีเครื่องดนตรีหลายชนิดอยู่ข้างใน รวมถึงกู่เจิงที่เขาเล่นเมื่องานปฐมนิเทศแน่ ๆ”
“นี่เธอฝันอยู่เหรอ… ไม่มีใครเคยได้เข้าไปในห้องของเขามาก่อน แม้แต่คนที่อยู่หอเดียวกันเขาก็ไม่คุยด้วยเลย”
“ลึกลับชะมัด… แต่ฉันว่ายิ่งลึกลับก็ยิ่งน่าสนใจออก~” โจวกู่ไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองเลยแม้แต่น้อย หรือต่อให้เขาได้ยิน เขาก็ไม่คิดจะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย
เมื่อกลับมาถึงที่หอพัก เขามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังอย่างที่มักจะทำเป็นประจำก่อนจะเปิดประตูห้อง และรีบปิดประตูลงทันทีที่สอดตัวเข้าไป
ภายในห้องของเขาแตกต่างไปจากที่ทุกคนคิดอย่างสิ้นเชิง
มันไม่ได้มีเครื่องดนตรีวางอยู่ภายในห้องเลยแม้แต่เครื่องเดียว กลับกัน… มันมีแผ่นยันต์จำนวนมากติดอยู่เต็มผนัง รวมถึงโลงศพที่แขวนอยู่ทั่วทั้งห้อง !
โลงศพทั้งหมดนั้นเป็นขนาดเล็ก อันที่จริงมันอาจจะเรียกว่าโลงศพไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกมันเหมือนกับภาชนะที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกทาด้วยสีแดง นอกจากนี้ มันไม่มีเตียงนอนอยู่ภายในห้องเลยสักเตียง สิ่งเดียวที่ตั้งอยู่ภายในห้องก็คือรูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ !
ทันทีที่เขาปิดประตูลง สายลมรุนแรงก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขาและกลายเป็นทหารวิญญาณที่แต่งกายด้วยชุดเกราะจีนโบราณ ทหารวิญญาณตนนั้นคุกเข่าลงเบื้องหน้าของเขา “ท่านแม่ทัพใหญ่ มีข่าวใหม่”
แววตาของโจวกู่ในขณะนี้ดูไม่เหมือนกับแววตาของนักศึกษาธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย มันซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ แทบจะเหมือนกับว่าเขาคือชายที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว
แววตาของเขาดูเหมือนกับหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง เต็มไปด้วยปัญญา ความเฉยเมย และอารมณ์มากมายที่อ่านไม่ออก
เขาโบกมือเล็กน้อย กระดาษสีขาวที่มีไฟนรกประทับอยู่ด้านบนหัวกระดาษในมือของทหารวิญญาณก็ลอยมาอยู่ในมือของเขาทันที เขาอ่านมันเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “หลิวจี้หนูคิดว่าตนเองเป็นจักรพรรดิหรืออย่างไร ? ช่วงเวลาของเขาผ่านมานานแล้ว และตอนนี้พวกเราทั้งหมดต่างก็เป็นเพียงยมทูต… ไม่สิ อันที่จริง พวกเราไม่ใช่ยมทูตด้วยซ้ำ เมื่อปราศจากการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณและผีร้ายพวกนั้น”
ทหารวิญญาณตรงหน้ายังคงคุกเข่าเงียบโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
“เขาเชิญทั้งข้าและหยางจีเย่ให้เดินทางกลับไปที่ยมโลกแห่งเก่า ? แถมยังทำสิ่งนี้ในลักษณะของพระราชกฤษฎีกาอีกด้วย ? บนพื้นฐานของอะไรกัน ? นี่เขาไม่ตระหนักเลยหรือว่าข้านั้นเกิดก่อนเขาตั้งกี่ร้อยปี ?” โจวกู่สะบัดกระดาษคำเชิญเบา ๆ และกระดาษแผ่นนั้นก็ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกก่อนจะกลายเป็นเพียงผุยผง
และก็เป็นตอนนั้นเองที่ทหารวิญญาณตรงหน้าโค้งคำนับและถามออกมาด้วยความสุภาพ “ถ้าเช่นนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าควรจะรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านหลิวในนามของท่านหรือไม่ว่าท่านไม่ประสงค์ที่จะไป ?”
“ไม่ต้อง” โจวกู่ยกมือห้าม “มันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เขาเดินไปรอบ ๆ ห้อง แม้ว่าพื้นที่ของมันจะไม่ได้มากนัก แต่เขาก็ยังสามารถเดินไปรอบ ๆ ได้อย่างสูงส่ง ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเพดานและเอ่ยต่อ “อย่างไรเสียข้าก็คือโจวกงจิน มันจะไม่เป็นอะไรหากข้าไม่รับรู้ถึงการขึ้นครองบัลลังก์ของท่านจ้าวนรกองค์ใหม่ แต่หากข้ารู้ และยังปฏิเสธที่จะไป… มันก็อาจถูกมองว่าตั้งตนเป็นกบฏก็เป็นได้…”
ขณะที่พูด ดวงตาของเขาก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีทองที่วูบไหวไปมาอย่างรุนแรง
“ใต้เท้า….” ทหารวิญญาณเอ่ยออกมา “แต่… ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไปแล้ว พวกเราไม่ได้เป็นยมทูตอีกต่อไป ดังนั้นยมโลกแห่งใหม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรากัน ?”
โจวกงจินปรายตามองนายทหารของตนและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม… หลิวจี้หนูถึงยังไม่ต่อต้านยมโลกในตอนนี้ ?”
โดยไม่เว้นจังหวะ เขาเอ่ยต่อ “เขากำลังสร้างกองกำลังของตนเอง ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ข้าได้ส่งจดหมายหลายฉบับกลับไปที่ยมโลกแห่งเก่าในฐานะของข้าราชการศักดินา แต่ข้ากลับไม่ได้รับการตอบรับกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว ที่เราไม่สามารถกลับไปตรวจสอบยมโลกได้ในตลอด 90 ปีแรกก็เป็นเพราะว่าที่นั่นยังคงสั่นคลอนจากการล่มสลายครั้งใหญ่ โอกาสในการเดินทางกลับไปที่นั่นเพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ราคาที่ต้องจ่ายในการที่จะกลับไปที่นั่นก็สูงมาก พวกเราทุกคนต่างรู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับยมโลกแห่งเก่า ในขณะเดียวกัน หลิวจี้หนูก็ได้รวบรวมกองกำลังของตนซึ่งประกอบด้วยทหารม้าจำนวนกว่าหมื่นนายและกองกำลังอื่น ๆ เขามีกองกำลังเพียงพอที่มุ่งหน้าไปที่จีน เพราะอย่างไรแล้ว กองกำลังที่แท้จริงก็แตกต่างจากกองกำลังที่ไร้รูปแบบของพวกราชาผีที่รอดชีวิตจากการล่มสลายอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าคิดว่าทำไมเขาถึงไม่ลุกขึ้นต่อต้านยมโลกแห่งใหม่ ?”
ทหารวิญญาณชะงักไป พลังหยินยังคงไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดขณะที่เขาพยายามคิดหาคำตอบของคำถามนั้น ในที่สุด หลังไปผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกมา “ไม่ใช่ว่าท่านหลิว… เคยพูดเกี่ยวกับการตั้งตนเป็นอิสระอย่างนั้นหรือ ?”
“การตั้งตนเป็นอิสระนั้นไม่เหมือนกับการลุกขึ้นต่อต้าน” โจวอวี้ถอนหายใจออกมา [2] “สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือเขาสามารถนำกองกำลังของตัวเองมุ่งหน้าตรงไปที่ยมโลกแห่งใหม่และแย่งตำแหน่งจากผู้ปกครองคนปัจจุบัน เขามีกำลังพอที่จะทำเช่นนั้น อันที่จริง… ทั้งเขาและราชาผีทั้งสามก็ไม่ได้มีผลประโยชน์ซ้อนทับกัน ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาขัดขวางหรือต่อต้านตัวเองเลยสักนิด หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาสามารถแย่งบัลลังก์มาจากผู้ที่ปกครองยมโลกแห่งใหม่มาได้อย่างปลอดภัย แต่ทำไมเขาถึงไม่ทำเช่นนั้น ?”
ทหารวิญญาณก้มหน้าลงด้วยความสับสนก่อนจะส่ายหน้าไปมา
โจวอวี้คลึงขมับของตนด้วยความโมโหเล็กน้อย “เพราะว่าเขามองถึงภาพรวมอย่างไรเล่า”
เขาเอ่ยต่อ “เราไม่สามารถมองดูยมโลกแห่งใหม่จากจุดที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ ในหมู่ราชทูตทั้ง 12 อาจมีบางคนที่รีบปฏิญาณสวามิภักดิ์กับยมโลกแห่งใหม่ในทันที บางคนอาจจะไม่ ในขณะที่มันก็ยังมีคนอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเช่นตัวข้า แต่ต่อให้เรามองในแง่ร้ายที่สุดที่ไม่มีผู้ใดปฏิญาณสวามิภักดิ์กับยมโลกแห่งใหม่เลย เราก็ยังต้องระลึกไว้เสมอว่าโลกใต้พิภพทางฝั่งตะวันตกต่างกำลังจับตาดูแผ่นดินจีนอยู่ราวกับอสรพิษร้าย”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “โลกใต้พิภพเหล่านี้… ถือได้ว่าเป็นศัตรูที่แท้จริงในสถานการณ์ตอนนี้ ! มันคือโลกที่คนกินคนอย่างแท้จริง จะมีโลกใต้พิภพสักกี่แห่งที่ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณกาล ? และมีกี่แห่งที่ยังเหลืออยู่ ?”
“สถานะของข้าราชการศักดินาทำให้เราได้รับรู้เกี่ยวกับการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าก่อนโลกใต้พิภพอื่น ๆ ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามยังไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ แต่ผู้ใดก็ตามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของยมโลกแห่งใหม่จะต้องกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของโลกใต้พิภพอื่น ๆ ทันที ! เจ้าลองคิดดู ยมโลกแห่งเก่านั้นรุ่งโรจน์เพียงใด ? เจ้าคิดว่าโลกใต้พิภพอื่น ๆ จะสามารถต้านทานความต้องการที่จะเหยียบย่ำยมโลกของเราเมื่อมีโอกาสได้อย่างนั้นหรือ ? นี่เรายังไม่ได้พูดถึงมรดกของยมโลกแห่งเก่าที่เป็นสิ่งที่โลกใต้พิภพอื่น ๆ ต้องการมันมากที่สุดอีก !”
เสียงของเขาเบาลง “นี่คือบัลลังก์ที่ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ามันคือระเบิดเวลาที่จะระเบิดภายในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า อีกไม่นาน ยมโลกจะกลายเป็นเป้าหมายของโลกใต้พิภพอื่น ๆ นอกเหนือจากเจ้าสุนัขที่แสนซื่อสัตย์อวี๋เชียน เจ้าคิดว่าจะมีราชทูตคนใดไม่เคยพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้บ้าง ?”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากผ่านไปหลายนาที ทหารวิญญาณก็เอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนั้น พวกเรา—…”
“ไปที่นั่นดูก็ไม่เสียหายอะไร” โจวอวี้ตัดสินใจในที่สุด “การประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีจะได้เห็นการกลับมารวมตัวกันของราชทูตทั้ง 12 อีกครั้ง รวมถึงเจ้าบ้าหลิวจี้หนูด้วย… ฮ่า ๆๆ ไม่มีใครจะยอมพลาดโอกาสนี้แน่…”
จากนั้นประกายเย็นยะเยือกก็วาววาบขึ้นในดวงตาของเขา “พักเรื่องนั้นไว้ก่อน เจ้าได้ความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะบ้างหรือไม่ ?”
ทหารวิญญาณหยิบกระดาษขาวอีกแผ่นหนึ่งออกมาจากอกและจุดเปลวไฟนรกสีเขียวหยกขึ้นใกล้ ๆ เผยให้เห็นชื่อ ๆ หนึ่ง
โจวอวี้จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผากระดาษแผ่นนั้นทิ้ง “ราชาผีของพิภพอสูรประจันหน้ากับหลิวจี้หนู ? ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นสินะ ? สมุดแห่งความเป็นตาย… เรื่องเริ่มยุ่งยากเสียแล้ว…”
……
แน่นอนว่าฉินเย่ไม่รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ณ พื้นที่ที่อยูห่างออกไปหลายพันไมล์เลยแม้แต่น้อย เขากลับไปที่ยมโลกด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็พบเข้ากับอาร์ทิสที่มีสีหน้าเคร่งขรึมไม่แพ้กันกำลังเดินเตร็ดเตร่ไปมา
“ในที่สุดเจ้าก็มา…” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะที่นางมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป “ไม่จำเป็นต้องรีบ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรีบ ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ย่อมต้องทนแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เจ้าคิดว่าการที่เราสามารถนำสมุดแห่งความเป็นตายกลับมาที่นรกได้จะไม่มีความหมายอะไรแฝงอยู่เลยอย่างนั้นหรือ ?”
“แต่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมุดแห่งความเป็นตาย !” ฉินเย่ทึ้งผมของตัวเองอย่างแรง “หน่วยอัลบาทรอสเข้ามายุ่งแล้ว ! ข้าเกรงว่ามันคงจะใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่พวกเขาจะแกะรอยมาถึงเรา ! ทั้ง ๆ ที่ข้าพยายามลบร่องรอยของตัวเองแล้ว แต่… ข้อมูลของข้าก็ยังอยู่ในฐานข้อมูลของโรงประมูลเจียเต๋ออยู่ดี !”
เขาไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในแดนมนุษย์ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะสามารถกวาดสมบัติขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เสียก่อน เพราะอย่างไรแล้วมันก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขายังต้องการทรัพยากรอีกมากเพียงใดสำหรับการพัฒนายมโลกในอนาคต นอกจากนี้การสะสมสมบัติพวกนี้ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
แต่ถึงอย่างนั้น… มันเห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะอยู่นอกเหนือการควบคุม
การระเบิดของพลังหยินที่ช่องแคบสึชิมะดึงดูดความสนใจจากทั้งทวีปตะวันออก ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกค่อย ๆ ทำงาน… และมันก็จะกลายเป็นพายุทอร์นาโดที่น่าสะพรึงกลัวในท้ายที่สุด
โชคดีที่ยมโลกแห่งเก่านั้นใหญ่มากจนวิญญาณที่ตรวจจับได้ถึงความผันผวนของพลังหยินทั้งหมดล้วนเป็น ‘คนกันเอง’ ทั้งสิ้น
หลังจากได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างโลกใต้พิภพ ฉินเย่ก็ไม่กล้าที่จะคิดเลยว่าหากข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ถูกแพร่ออกไปสู่ตะวันออกกลาง หรืออาจจะยุโรป หรืออูโซเนียมันจะเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าจะต้องระวังตัวให้ดี” อาร์ทิสตอบ ในขณะที่ฉินเย่เด้งตัวขึ้นราวกับมีใครเหยียบหาง “ท่านหมายความว่าอย่างไร ? จะมีคนทำอะไรข้าอย่างนั้นหรือ ? จะมีใครกล้าลงมือกับจ้าวนรก? พวกเขาจะส่งยมทูตของตนมาทำร้ายพวกเราอย่างนั้นหรือ ? ไม่สิ… พวกเขาไม่สามารถทำได้ ! และพวกเขาก็จะไม่ทำด้วย ! ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรกับวิญญาณทั่วไป หากพวกเขารุกรานยมโลกแห่งใหม่ พวกเขาก็จะถูกโจวเซียนหลงตรวจจับได้ในทันที และความพยายามทั้งหมดของพวกเขาก็จะสูญเปล่า ! เพราะอย่างไรแล้วพวกเราก็ยังอยู่ในเมืองเป่าอัน !”
อาร์ทิสก้มหน้าลง แววตาของนางล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม “เจ้าเคยสงสัยหรือไม่… ว่าทำไมจู่ ๆ มณฑลทางตะวันออกทั้งสามถึงตกอยู่ในความโกลาหลเช่นนี้ ?”
โดยไม่เว้นช่วง นางเอ่ยต่อ “เจ้าคงไม่สงสัย เพราะเจ้าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์เหล่านั้น… ไม่เหมือนกับข้า ข้าเคยเห็นขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 กงล้อแห่งสังสารวัฏ และการที่ดวงวิญญาณบาปถูกลงโทษให้ต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์…”
นางหันหลังกับมาและสบตากับเด็กหนุ่ม “ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีทางเข้าใจว่าวิญญาณพวกนี้น่ากลัวเพียงใดต่อยมโลกแห่งใหม่ในเวลานี้”
“ข้าไม่กังวลเรื่องราชทูตทั้ง 12 เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ข้ากังวลก็คือการที่ผู้ซึ่งตรวจจับได้ถึงการปรากฏขึ้นของสมุดแห่งความเป็นตายจะพยายามตามหายมโลกแห่งใหม่ราวกับวิญญาณร้ายที่บ้าคลั่ง ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกวิญญาณอันตรายที่สามารถหลบหนีจากการทรมานของนรกไปได้ ! พวกมันเป็นหนึ่งในพวกที่กระหายเลือดเนื้อและปกปิดตัวตนอยู่ในร่างใหม่ เหล่าราชาผีที่อยู่ที่สามมณฑลทางตะวันออกนั้นหวาดกลัวนรกจนแทบจะยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าใกล้ใจกลางแผ่นดินจีนและหาตำแหน่งของยมโลกแห่งใหม่ ! และมันก็ไม่ใช่แค่พวกมันเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ บางที… การเข้ามามีส่วนร่วมของราชทูตทั้ง 12 อาจเป็นเกราะกำบังให้เราก็ได้”
ฉินเงียบไป ดวงตาของเขาวูบไหว
ตอนนี้เขากำลังทบทวนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างราชทูตทั้ง 12 ยมโลกแห่งเก่าและยมโลกแห่งใหม่อยู่
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองอาจจะมองเรื่องทั้งหมดนี้ง่ายเกินไป ภาพรวมของมันไม่ต่างอะไรกับกระดานหมากรุก การก้าวผิดพลาดเพียงหนึ่งครั้งอาจหมายถึงการรุกฆาต
“ไม่ว่าจะในกรณีใด วิธีที่ดีที่สุดในการก้าวไปข้างหน้าก็คืออยู่แต่ในเมือง” อาร์ทิสเอ่ยเตือน “อย่าออกจากเมืองเป่าอันเด็ดขาด ไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ ก็ตาม อย่างน้อยก็จนกว่าการประชุมราชสำนักในปลายปีจะถูกจัดขึ้น ! ด้วยโจวเซียนหลงและสำนักฝึกตนแห่งแรกอยู่รอบ ๆ เจ้าจะปลอดภัยภายใต้เกราะกำบังของเมืองเป่าอัน !”
[1] เวียงจันทร์
[2] อีกชื่อหนึ่งของโจวกงจิน