ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 315 ความฝันและความเป็นจริง (2)
บทที่ 315: ความฝันและความเป็นจริง (2)
รถทั้งสามคันยังคงขับตรงไปที่แหล่งแสงสว่างตรงหน้า จากนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นจริงที่รอพวกเขาอยู่ก็ดับไฟแห่งความตื่นเต้นภายในใจของคนทั้งหมด แม้แต่ฉินเย่ก็ไม่สามารถหยุดหางตาของตนไม่ให้กระตุกได้
แหล่งกำเนิดแสงนั้นมาจากกระท่อมที่สร้างขึ้นอย่างลวก ๆ หลายหลัง
พวกมันไม่ต่างอะไรกับกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นเป็นบ้านพักชั่วคราวของเหล่าคนงานในพื้นที่ก่อสร้างเลยสักนิด
ทุกอย่างชัดเจนทันที นี่คือที่พักชั่วคราวของเหล่าผู้อพยพที่อพยพมาจากสามมณฑลตะวันออก ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถเดาได้ทันทีว่าสิ่งที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของเมืองที่ทำขึ้นจากกระท่อมนั้นคืออะไร
ค่ายทหาร
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะตั้งอยู่ที่ใจกลางเมือง การมีอยู่ของพวกเขามีจุดประสงค์สองประการ ประการแรก พวกเขาจำเป็นจะต้องรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบของพื้นที่โดยรอบ ประการที่สอง วิญญาณร้ายจะถูกขับไล่โดยการมีอยู่ของกองทัพ หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เพื่อบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวของเหล่าผู้ลี้ภัย
แต่ในขณะที่พวกเขาขับรถผ่านกระท่อมพวกนี้ แม้ว่าแสงไฟโดยรอบจะถูกจุดจนสว่างจ้า แต่มันก็ไม่มีใครกล้าชะโงกหน้าออกมามองเลยสักคน หลังจากได้ประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดในสามมณฑลตะวันออก ไม่มีประชาชนคนไหนกล้ายื่นหน้าออกมาจากบ้านในตอนกลางคืนเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อมองจากไกล ๆ เมืองกระท่อมแห่งนี้ดูไม่เหมือนกับที่พักพิงชั่วคราวของผู้ลี้ภัยเลยสักนิด แต่มันดูเหมือนกับสุสานที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระเบียบมากกว่า
ในที่สุดคนทั้งหมดก็นั่งรถมาถึงประตูทางเข้าหลัก และนั่นก็เป็นจุดแรกที่พวกเขาเห็นสัญญาณของสิ่งมีชีวิตหลังจากที่เดินทางมานานขนาดนี้ ทหารกลุ่มหนึ่งยืนคุมอยู่ที่ทางเข้าหลัก แต่ละคนสวมหมวกที่มีคำว่า ‘หน่วย 43151’ ปักเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีแดง อีกฝ่ายรอการมาถึงของพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
หัวหน้าของคนทั้งหมดเป็นนายตำรวจสูงอายุคนหนึ่ง อีกฝ่ายอยู่ในวัยประมาณ 50 ปี และมีตำแหน่งค่อนข้างสูง ใบหน้าของเขาดูอ่อนล้าและเศร้าสร้อย แต่มันยังมีเจ้าหน้าที่อีกสองคนยืนอยู่ด้านหลัง ทันทีที่พวกเขาเห็นฉินเย่และหลี่จีสี่ แววตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นก่อนที่พวกเขาจะรีบกระซิบบางอย่างกับนายตำรวจที่ยืนอยู่ด้านหน้าของพวกตน
ฉินเย่สามารถบอกได้ว่าชายทั้งสองนั้นเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมเทพเท่านั้น ตามรายงานที่เขาได้มาก มณฑลคังเว่ยนั้นมีระดับค่าพลังหยินที่ต่ำมากมาตลอด และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นเขตไล่ล่าขนาดใหญ่ถือกำเนิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นกองกำลังรักษาความปลอดภัยในพื้นที่นี้จึงไม่จำเป็นต้องมีระดับการบ่มเพาะที่สูงมากนัก
อันที่จริง ฉินเย่และหลี่จีสี่อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้ ชายทั้งสองเองก็คงจะกระซิบกับนายตำรวจสูงวัยเกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะของเด็กหนุ่มและหลี่จีสี่เป็นแน่
แววตาของตำรวจสูงอายุเป็นประกายขึ้น เขารีบเดินมาทักทายคนทั้งหมดอย่างกระตือรือร้น “สวัสดีครับ อาจารย์ผู้สอนและนักเรียนทุกคน ผมชื่อเกาหัว เป็นอธิบดีของเมืองซินคังให่ มันคงจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานและยากลำบากสำหรับพวกคุณที่จะเดินทางมาที่นี่ พวกเราได้เตรียมอาหารเย็นและจัดเตรียมที่พักของพวกคุณไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ให้ผมพาไปที่นั่นเลยไหมครับ ? แล้วพรุ่งนี้เช้า ผมจะอธิบายสถานการณ์คร่าว ๆ เกี่ยวกับเขตไล่ล่า D-72 ให้พวกคุณฟัง”
ฉินเย่หันไปมองหลี่จีสี่ที่ผายมือให้เขาอยู่ก่อนแล้ว
ฉินเย่ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินไปจับมืออันอบอุ่นของเกาหัวด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบในครั้งนี้ ฉินเย่ ส่วนท่านนี้คือศาสตราจารย์หลี่จีสี่ ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ”
“ไม่เลยครับ ไม่เลย” เกาหัวเขย่ามือของเด็กหนุ่มอย่างอบอุ่นและเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เจือไปด้วยอารมณ์ “พวกเรากำลังพูดถึงความปลอดภัยของผู้คนนับแสน… ทางเมืองเยียนจิงและนครเทียนจินต่างก็เต็มกำลังแล้ว และผมก็คาดว่าพวกเขาจะต้องรองรับผู้อพยพมากกว่าที่นี่สิบเท่า พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งคำร้องไปถึงหน่วยสอบสวนพิเศษ และพวกเราก็ขอขอบคุณจากใจจริงที่พวกคุณตอบรับคำขอของเรา… ขอบคุณ… ขอบคุณจริง ๆ…”
ฉินเย่เอ่ยอะไรไม่ออก
เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากน้ำเสียงของคนตรงหน้า มือที่กำแน่นและน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย รายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้บ่งบอกว่าเกาหัวนั้นเฝ้ารอการมาถึงของผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง
วินาทีนั้น ภายในใจของฉินเย่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง หากการพัฒนาของยมโลกสามารถเร็วกว่านี้ได้… เราก็อาจจะยุติหายนะครั้งใหญ่นี้ได้เร็วยิ่งขึ้น
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดเกาหัวปล่อยก็มือจากฉินเย่ ก่อนจะได้ยินคำตอบที่น่าประหลาดใจ “เราไปทานอาหารกันก่อนเถอะครับ ผมรบกวนหัวหน้าเกาช่วยหาคนมาขนของพวกผมไปไว้ที่ที่พักหน่อยได้หรือเปล่าครับ ? และถ้าหากมีเวลา พวกเราอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองซินคังใหม่คืนนี้เลย”
“ได้เลยครับ !” ชายสูงวัยดีใจเป็นอย่างมาก
มันเป็นอาหารธรรมดา เนื้อแกะย่างรสชาติธรรมดา ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ ทว่าในเวลานี้ไม่มีใครมีใจที่จะดื่มด่ำกับอาหารที่พวกตนได้รับ พวกเขาทานมันไปเงียบ ๆ แม้แต่พวกนักเรียนเองก็ไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ตนได้พบเห็นมาในวันนี้ หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เกาหัวก็นำคนทั้งหมดไปยังห้องประชุมที่อยู่ไม่ไกลนัก
พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าห้องประชุมนี้ถูกใช้งานอยู่เป็นประจำ มันมีเศษขยะเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ในขณะที่บนโต๊ะยังคงมีที่เขี่ยบุหรี่วางอยู่และเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ เกาหัวหัวเราะเล็กน้อย “ขออภัยในความรกนะครับ พอดีเพิ่งมีการประชุมก่อนที่พวกคุณจะมาถึง…”
ฉินเย่เหลือบมองเกาหัว และพบว่าดวงตาของอีกฝ่ายแดงก่ำ เด็กหนุ่มอ้าปากจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป แต่เขาก็พูดไม่ออก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะความประมาทของยมโลก !
มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาได้เดินออกมาจากสวรรค์และเข้ามาสู่แดนมนุษย์ ที่ซึ่งพวกเขาถูกโจมตีด้วยความเป็นจริงที่น่าเศร้าของมนุษยชาติและดินแดนที่ถูกทำลาย ทุกสิ่งที่เห็นทำให้เขานึกถึงการละเลยหน้าที่ของยมโลก
หากไม่ใช่เพราะความประมาทของยมโลก ผู้คนเหล่านี้จะต้องกลายเป็นคนไร้บ้านภายในชั่วข้ามคืนหรือไม่ ?
หากไม่ใช่เพราะความประมาทของยมโลก ทำไมท่านอธิบดีจะต้องทนอยู่ที่ทำงานต่อหลังจากที่ประชุมยาวมาตลอดทั้งวัน แถมยังต้องต้อนรับแขกที่ไม่รู้จักด้วยท่าทีซาบซึ้งใจแบบนั้น ?
มันเป็นเรื่องแปลกที่หัวใจของมนุษย์คนหนึ่งสามารถถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดายด้วยหัวใจของมนุษย์อีกคนหนึ่ง
ในฐานะของว่าที่จ้าวนรกองค์ถัดไป ผลที่ตามมาจากความผิดพลาดของยมโลกคือสิ่งที่เขาจะต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
และแบกรับมัน ! หากนี่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นเขาคนเก่า เขาก็คงจะกลอกตาและด่าตัวเองว่าบ้าไปแล้ว
“หัวหน้าเกา เราเริ่มกันเลยดีไหมครับ ?” ฉินเย่นั่งลงและทำตามแรงกระตุ้นในการทำสิ่งที่ถูกต้องของตัวเอง ยมโลกยังอยู่อีกไกล แต่อย่างน้อยที่สุดตัวเขาก็ยังสามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้
“แน่นอนครับ” เกาหัวนั่งลงที่หัวโต๊ะและเปิดหน้าจอ LED ทันใดนั้น ภาพและข้อความมากมายก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ทุกท่าน มีเหตุการณ์ที่ไม่อาจทราบได้เกิดขึ้นในสามมณฑลทางตะวันออก เหล่าผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นต่างต้องอพยพไปยังมณฑลใกล้เคียง เมืองซินคังใหม่ของเรารับผู้ลี้ภัยมาทั้งสิ้น 84,000 คน และตอนนี้มันก็ถึงขีดจำกัดของเราแล้ว”
ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป ในขณะที่เกาหัวหยิบพอยน์เตอร์ออกมาและกดไปที่หน้าจอ “ตอนนี้ผู้ลี้ภัยทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่นี่ สำนักงานตำรวจและศาลากลางเองก็ถูกย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ศูนย์กลางทางการเมืองของเมืองซินคังใหม่ ก่อนที่พวกคุณจะมาถึง มีเจ้าหน้าที่จากทางหน่วยสอบสวนพิเศษ 347 คนมาที่นี่ และพวกเขาก็ประจำการอยู่ที่จุดต่างๆของเมืองกระท่อมรวมกับกองกำลังติดอาวุธที่เหลือตลอดทั้งคืน”
“แต่… นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เราสามารถทำได้” ชายสูงวัยถอนหายใจออกมาและเอ่ยต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ “จำนวนประชากรในเมืองซินคังใหม่มีอยู่ทั้งสิ้น 7.2 แสนคน กองกำลังทหารส่วนใหญ่จะรวมตัวกันอยู่ที่นี้ ดังนั้นมันจึงทำให้พวกเราไม่สามารถดูแลความปลอดภัยของผู้คนในเมืองได้อย่างทั่วถึง และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา จำนวนเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นในเมืองซินคังใหม่ก็สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
เขากดพอยน์เตอร์ไปที่หน้าจอและภาพก็เปลี่ยนเป็นแผนที่ภูมิประเทศของเมือง สามมณฑลตะวันออก รวมไปถึงเมืองเยียนจิงและนครเทียนจิน
“มณฑลคังเว่ยนั้นตั้งอยู่ส่วน ‘กระดูกสันหลัง’ ของจีน ในขณะที่เมืองซินคังใหม่ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของมณฑล อีกนัยหนึ่งก็คือ ที่นี่อยู่ติดกับเขตพื้นที่ของสามมณฑลตะวันออก เมืองเยียนจิงและนครเทียนจิน ทุกท่าน โปรดดู…”
แสงภายในห้องประชุมหรี่ลง จากนั้น… ภาพการไหลของพลังหยินที่พวกเขาทุกคนต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ !
ในเวลานี้ สามมณฑลตะวันออกนั้นกลายเป็นสีแดงเข้มจนแทบจะดูเหมือนกับสีดำ เมืองเยียนจิงและนครเทียนจินได้เปิดใช้เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพลังหยินที่หนาแน่นพวกนั้นก็ไม่สามารถผ่านทะลุกำแพงเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม… ภาพบนหน้าจอแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพลังหยินสีส้มได้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในเมืองซินคังใหม่แทน
มณฑลคังเว่ยนั้นใหญ่มาก และเมืองซินคังใหม่เองก็ไม่ได้เล็กเช่นกัน ดังนั้นมันจึงพื้นที่คาบเกี่ยวกับสามมณฑลทางตะวันออกโดยบังเอิญ เดิมที เมืองแห่งนี้เป็นเพียงสีเหลืองเท่านั้น แต่ตอนนี้มันได้ถูกย้อมจนเป็นสีส้มเนื่องจากการแพร่ระบาดในสามมณฑลทางตะวันออกไปแล้ว และสิ่งที่ทำให้เรื่องเลวร้ายลงกว่าเดิมก็คือ มันเริ่มมีร่องรอยสีแดงเข้มค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาทางเมืองแล้วด้วย !
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
แม้แต่เหล่านักเรียนเองก็จ้องมองหน้าจอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว… อาจทำให้เมืองซินคังใหม่มีจุดจบเหมือนกับเมืองเฟิ่งเทียน
เกาหัวกดที่แล็ปท็อปของตนและนำรูปอีกรูปหนึ่งขึ้นมา ครั้งนี้ มันคือไฟล์คดี
เสียงของเขาสั่นไหวเล็กน้อย “เมื่อห้าวันก่อน เกิดเหตุฆาตกรรมที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นที่ชุมชนปี่หยุนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง คนงานชายคนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ภายในห้องเนื่องจากความตื่นตระหนก บนร่างของเขาไม่มีร่องรอยของบาดแผลใด ๆ รายงานการชันสูตรยืนยันว่าเขาเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน มีความเป็นไปได้ว่าเป็นผลมาจากการหวาดกลัวอย่างรุนแรง”
“หากมันมีเพียงเท่านั้นมันก็คงถูกเขียนสรุปไปแล้ว แต่เป็นทางเราเองที่ประมาท… แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น พวกเราได้จัดเตรียมทุกอย่างและจะเผาร่างของเขาหลังจากผ่านไปสามวัน แต่แล้ว…”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ย “นี่คือภาพวิดีโอจากห้องเก็บศพ ทุกท่าน… เชิญดูด้วยตาของพวกคุณเอง…”
วิดีโอปรากฏขึ้น มันเป็นภาพของห้องเก็บศพห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยตู้โลหะเย็นซึ่งมีร่างไร้ชีวิตนอนอยู่ด้านใน มันมีแม้กระทั่งศพที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาวนอนอยู่บนเตียงรอบ ๆ
ภาพในวิดีโอยังเผยให้เห็นนาฬิกาที่ถูกแขวนอยู่บนผนัง
มันเป็นเวลา 23.59 น.
ติ๊ก… ติ๊ก… ติ๊ก… มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาสามารถได้ยินเสียงของเข็มวินาทีดังขึ้น และทันใดนั้น เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน เสียงครวญครางของบางอย่างก็ดังขึ้นภายในห้องเก็บศพที่ไร้คน !
“ฮืออ… ฮืออ… ฮืออ !” มันเป็นเสียงครวญครางที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เมื่อบวกกับภาพของห้องเก็บศพที่เงียบสงัด มันสามารถสร้างความเสียวสันหลังให้กับผู้ที่พบเห็นได้อย่างง่ายดาย !
จานนั้น… ผ้าสีขาวที่ใช้คลุมร่างก็ถูกดึงออก
“มันคือคนงานคนนั้น” แม้ว่าจะเคยดูวิดีโอนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เกาหัวก็ยังสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ “อยู่ ๆ เขา…. ก็ลุกขึ้นมา…”
ภาพบนหน้าจอยังคงฉายให้เห็นว่าร่างดังกล่าวยกผ้าสีขาวขึ้นอย่างแข็งทื่อก่อนที่จะยืนขึ้นราวหุ่นยนต์ เหมือนกับกำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับร่างใหม่ หลังจากนั้น เขาก็เริ่มเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด
การยึดครองร่างของวิญญาณ…
ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
วิดีโอสิ้นสุดลงที่ตรงนั้น เกาหัวกดเข้าไปที่ไฟล์คดีต่อไปที่ปรากฏขึ้นมา และมันก็เผยให้เห็นรายละเอียดของคดีที่แสนจะพิสดารและโชกเลือด !
“เมื่อสี่วันก่อน มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเธอกลับบ้านมืดและได้เดินผ่านอาคารร้างในเวลา 19.00 น. และเลยเวลาประกาศของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไปแล้ว ในวินาทีนั้น เธอรู้สึกราวกับมีคน… กำลังแอบมองเธออยู่จากในเงามืดของตึกร้างนั้น…”
“อยากที่พวกคุณเห็นจากภาพของกล้องวงจรปิด มันมีกลุ่มหมอกดำที่หนาแน่นจนแทบจะก่อรูปร่างให้เห็น ! และไม่กี่วินาทีต่อมา กลุ่มหมอกดำกลุ่มนั้นก็ลากเธอเข้าไปในตึกร้าง… เช้าวันต่อมา เธอถูกพบว่าเสียชีวิตอยู่บนดาดฟ้าโดยที่อกถูกผ่าออก แต่บนใบหน้าของเธอกลับมีรอยยิ้มประหลาดปรากฏอยู่”
“เมื่อสามวันก่อน คู่สามีภรรยาสูงอายุได้เสียชีวิตลงภายในบ้านของตัวเอง ไม่มีข้าวของชิ้นใดถูกขยับออกจากจากที่ แต่ข้อต่อของพวกเขากลับบิดเบี้ยวไปหมด ทั้งประตูและหน้าต่างถูกล็อกอย่างแน่นหนา”
“และเมื่อสามวันก่อนอีกเช่นนั้น อาจารย์ผู้ชายคนหนึ่งถูกรายงานว่าเสียชีวิตจากความตื่นตระหนกภายในเขตชุมชนเดียวกัน”
รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วถูกเปิดขึ้นมาทีละคดีติดต่อกัน และมันก็มีทั้งสิ้นกว่า 20 คดี !
และทั้งหมดนี้ก็กระจุกตัวอยู่ที่ทางฝั่งตะวันออกของเมือง !
“จากรายงานที่พวกเราได้รับเมื่อ 18.00 น.ที่ผ่านมา ตอนนี้ทางฝั่งตะวันออกของเมืองมีเขตไล่ล่าอยู่ทั้งสิ้น 34 เขต” เสียงของเกาหัวเบาลง “และนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้าวันที่ผ่านมาเท่านั้น ! เจ้าหน้าที่ขั้นยมเทพทั้งหมดจากหน่วยสอบสวนพิเศษได้ไปประจำการอยู่ที่นั่นหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น… ผมเพิ่งได้รับรายงานเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพวกเขาเมื่อวานนี้ นอกจากนี้พวกเขายังมีการยืนยันว่าตรวจพบวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอยู่ที่นั่นด้วย ! และคุณทั้งสองคน… ก็คือผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณกลุ่มแรกที่มาที่นี่ !”
ชายสูงวัยโค้งให้กับคนทั้งหมดและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ตลอดระยะเวลา 37 ปีที่รับใช้ชาติมา ผมไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น…”
“ได้โปรดช่วงพวกเราด้วย !”
หลี่จีสี่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตัดสินใจที่จะเอ่ยออกไปด้วยความตั้งใจของตัวเอง “ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา”
“ระวังตัวไว้ให้ดีไอ้พวกวิญญาณร้าย ! กำลังเสริมมาถึงแล้ว แล้วเรามาดูกันว่าพวกมันจะยังกล้าสร้างความวุ่นวายขึ้นที่นี่อีกหรือเปล่า” เย่ซิงเฉินเอ่ยออกมาก่อนจะตระหนักได้ว่าตนเผลอพูดออกไปเสียงดัง แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ยังหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาคาดหวัง
อ่าา… ความมุ่งมั่นของเหล่าหนุ่มสาว…
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน แววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปพยักหน้าให้เกาหัวก่อนจะหันไปหาเหล่านักเรียน “นักเรียนทุกคน”
“คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่และเตรียมสิ่งประดิษฐ์ที่พวกคุณจะใช้ไว้ให้พร้อม”
“พรุ่งนี้ โดยมีผมเป็นคนนำ พวกเราจะไปกำจัดเขตไล่ล่าทั้งหมดภายในเมืองซินคังใหม่ด้วยกัน !”
“รับทราบ !!!”