ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 317 เคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณ
บทที่ 317: เคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณ
ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงแผนการที่หลี่จีสี่ได้วางเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ในเวลานี้ เขากำลังเดินไปตามถนนที่เงียบสงัดของเมือง
เด็กหนุ่มหลบเลี่ยงการเดินลาดตระเวนโดยรอบอย่างชำนาญ นอกจากนี้ มันไม่สำคัญด้วยว่าภาพของเขาจะถูกกล้องวงจรปิดในพื้นที่จำได้หรือไม่ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็สามารถบอกไปว่าตนต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ให้มากขึ้นได้ ในแดนมนุษย์ เขาคือขั้นนักล่าวิญญาณ เขามีสิทธิ์เต็มที่ในการจะทำเช่นนั้น
แต่ถึงกระนั้น ดวงตาของเขาตอนนี้กลายเป็นสีดำและขาว และเขาก็สามารถมองเห็นวิญญาณที่อยู่โดยรอบได้ทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน วิญญาณพวกนั้นก็จะกรีดร้องและถอยหนี ไม่กล้าเข้ามาใกล้เขาเลยสักนิด
“วิญญาณพวกนี้อ่อนแอเกินไปสำหรับจุดมุ่งหมายของเรา…” เขาส่ายหน้า เคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณห้ามใช้กับวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป เงื่อนไขเบื้องต้นคือต้องเป้าหมายจะต้องเป็นวิญญาณที่มีความแค้นใจในระดับหนึ่ง นั่นเป็นทางเดียวที่จะรับประกันได้ว่าวิญญาณพวกนั้นจะอยู่กับเขาได้นาน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปลี่ยนเป้าหมายและเริ่มเดินไปทางโรงเก็บศพแทน
ราวกับที่โมเสสแยกทะเลแดง วิญญาณที่อยู่โดยรอบเปิดทางให้เขาทันทีในทุกที่ที่ไปจนกระทั่งเด็กหนุ่มเดินมาถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด
โรงเก็บศพแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่มีใครกล้าเดินมาแถวนี้เลยแม้แต่คนเดียว ต่อให้มันจะเป็นเวลากลางวันก็ตาม ทุกคนเลือกที่จะส่งร่างไปที่เตาเผาศพโดยตรงแทน แต่นี่ก็ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่มีความเข้มข้นของพลังหยินสูงที่สุด
และเพราะเหตุนั้น มันจึงใช้เวลาไม่นานเลยที่ฉินเย่จะหาเป้าหมายแรกของเขาเจอ
ผู้หญิง
ไม่สิ ผีผู้หญิง
นางสวมชุดกระโปรงสีดำและรองเท้าส้นสูงสีแดง ในขณะที่ร่างของนางเปื้อนไปด้วยเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิงและค่อนข้างไม่เป็นทรง และมันก็ดูเหมือนว่านางกำลังเต้นรำอย่างสนุกสนานอยู่กลางโรงเก็บศพ ใบไม้ที่อยู่โดยรอบขยับไปมาโดยปราศจากสายลม หมุนเป็นวงกลมอย่างน่าขนลุกบนพื้น
การเต้นรำที่โดดเดี่ยวภายใต้แสงจันทร์ ภาพที่คงจะถือว่าโรแมนติกหากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าศีรษะของวิญญาณตรงหน้าบิดตัว 180 องศา
นอกเหนือจากผีผู้หญิงตนนี้ วิญญาณตนอื่นได้หลบหนีไปด้วยความกลัวจนหมดแล้ว “อะแฮ่ม” ฉินเย่ส่งเสียงออกเบาและวิญญาณผู้หญิงก็หันกลับมามองด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็คุกเข่าลงและโค้งคำนับให้กับฉินเย่ “ขะ ขะ ขออภัย… ท่านคือ…”
ความกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ผุดขึ้นมาในใจ สัญชาตญาณของนางบอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นแตกต่างไปจากผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ มาก
อีกฝ่ายเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความปรารถนาที่จะกินเลือดเนื้อของเขาเลยสักนิด กลับกัน นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างท่วมท้นจนอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงและทำความเคารพคนตรงหน้า
มันคือการตอบสนองโดยสัญชาตญาณแรก
“เจ้าเคยได้ยินถ้อยคำที่ว่า ‘ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น’ หรือไม่ ?” ฉินเย่ถาม
วิญญาณผู้หญิงที่ได้ยินเช่นนั้นสั่นเทาไปทั้งร่าง การที่นางยังมีสตินึกคิดอยู่นั่นหมายความว่ามันเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่นางจะกลายเป็นวิญญาณอาฆาต และนางก็ยังมีความทรงจำของชาติที่ผ่านมาของตัวเอง นรก… นางตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อนึกถึงคำ ๆ นี้
“ท่านผู้ทรงอำนาจ ท่านคือยมทูตอย่างนั้นหรือ ?” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางเบาหวิว “ทะ ทะ ท่านช่วยทำเป็นไม่เห็นถึงการมีอยู่ของข้าที่นี่ไม่ได้หรือ ?”
“มากับข้า” ฉินเย่หมุนตัวกลับ “พาข้าไปหาวิญญาณอีกสี่ตนที่คล้ายกับตัวเจ้า เจ้าโชคดีมากแล้วที่เจอข้า”
วิญญาณผู้หญิงรีบเดินตามหลังเด็กหนุ่มไปทันที
ไม่นาน ด้วยความช่วยเหลือของนาง ฉินเย่ก็สามารถรวบรวมวิญญาณที่แตกต่างกันห้าตนได้ครบถ้วน หญิงชรา ชายวัยกลางคน ผู้หญิงในชุดกระโปรง เด็ก และชายหนุ่ม
เขาเลือกหาจุดที่ปราศจากกล้องวงจรปิดทั้งหมด จากนั้นจึงหันไปหาวิญญาณทั้งห้าตน “ข้ามีข้อเสนอให้พวกเจ้า”
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะทำบาปชนิดใดมาในชาติภพที่แล้ว แต่ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าจะต้องยอมจำนนต่อข้าและอยู่กับข้า อย่าต่อต้านพันธะของศาสตร์ที่ข้ากำลังจะใช้ และข้าจะรับประกันว่าพวกเจ้าจะได้เดินทางไปยังยมโลก”
ขณะที่พูด คลื่นพลังหยินบริสุทธิ์ของขั้นยมทูตขาวดำก็หลั่งไหลออกมาจากร่างของเขาราวกับสึนามิ วิญญาณทั้งห้าอ้าปากค้างและรีบพยักศีรษะตกลงทันที
“ฉลาดมาก นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่พวกเจ้าจะได้เข้าสู่ยมโลกโดยที่ไม่ต้องรับบทลงโทษใด ๆ ก่อน” ฉินเย่แย้มยิ้มและเริ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์มากมาย ในเวลาเดียวกัน พลังหยินที่อยู่โดยรอบก็เริ่มหนาแน่นขึ้น และจากนั้น เขาก็ตะโกนออกมา “ฮ่า !!!” พื้นที่โดยรอบสั่นไหว…
และจากนั้น… มันล้มเหลว
เขามองเหล่าวิญญาณที่ยังคงไม่เปลี่ยนไป จากนั้นจึงมองมือของตนด้วยความตกใจ อักขระสีแดงเลือดปรากฏขึ้นมาบนมือแล้ว กลุ่มก้อนพลังหยินก็หลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขาและก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินแล้ว
แล้ว… ทำไมมันถึงยังไม่ได้ผล ?
นี่เขาทำมือผิดหรือ ?
“นายท่าน… นี่ใช่… คาถาสัมภเวสีคืนชีพหรือไม่ ?!” ชายหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้น
สัมภเวสีบ้าอะไรเล่า ! นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นโอโรจิมารุหรืออย่างไร ?[1]
ฉินเย่แทบจะพุงไปตบหน้าอีกฝ่าย สิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าควรทำเมื่อหัวหน้าของตัวเองทำพลาดก็คือหุบปากไปซะ ! กล้าดีอย่างไรถึงก้าวมาข้างหน้าและแทงมีดอีกเล่มหนึ่งเข้ามาในใจของข้าแบบนี้ !
เขายังคงล้มเหลวอยู่อีกหลายครั้งและวิญญาณทั้งหมดก็เริ่มหาวออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ท้ายที่สุด ในความพยายามครั้งที่แปด พร้อมกับเสียงร้องที่หมดหวังของฉินเย่ พื้นที่โดยรอบสั่นไหวอีกครั้ง และดวงไฟวิญญาณขนาดเล็กก็ลุกโชนที่บนหน้าผากของวิญญาณทั้งหมด จากนั้น ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เปล่งเสียออกมาด้วยความตกใจ พลังหยินโดยรอบพลันหลั่งไหลเข้ามาราวกับคลื่นน้ำขนาดใหญ่ ห่อหุ้มพวกเขาทั้งหมดไว้ภายในชั่วพริบตา
ฟึ่บ… พลังหยินห่อหุ้มวิญญาณทั้งห้าราวกับรังไหมสีดำขนาดใหญ่ห้ารัง ราวกับพวกมันคือพายุหมุนห้าลูกที่ทำให้ใบไม้โดยรอบปลิวกระจัดกระจายไปหมด หลังจากผ่านไปสามนาที ทุกอย่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และกระแสน้ำวนทั้งห้าก็สลายไปอย่างเงียบงัน เหลือไว้เพียงวิญญาณทั้งห้าที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารจีนโบราณ พวกเขายืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับสีหน้าที่ฉายชัดถึงความตกตะลึง
“นี่มัน…” วิญญาณผู้หญิงมองเสื้อผ้าของตนด้วยความตกใจ ตอนนี้นางสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มและหมวกทรงสูงแบบโบราณ ตราประจำตัวที่มีคำว่า ‘ฝึกหัด’ สลักอยู่ห้อยลงมาจากเข็มขัดสีดำที่พันอยู่รอบเอว มันยังมีแม้กระทั่งโซ่เส้นยาวและตะขอเกี่ยวตรงปลายสุดห้อยอยู่ที่เอวของนางอีกด้วย
“พวกเรา… เป็นยมทูตแล้วอย่างนั้นหรือ ?” ชายวัยกลางคนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ยมทูต ?! นี่เป็นสิ่งที่มีให้เห็นเฉพาะในหนังและโทรทัศน์เท่านั้น ! ได้เป็นข้าราชการของยมโลกโดยสุจริต ! พวกเขาจะไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนไร้ที่อยู่อีกต่อไป ! และพวกเขาสามารถกำจัดวิญญาณร้ายออกจากแดนมนุษย์ได้ด้วย !
“ยัง” ฉินเย่มองปลายนิ้วของตนด้วยความสนใจ ครึ่งล่างของวิญญาณทั้งห้ายังคงก่อตัวด้วยกลุ่มก้อนพลังหยินที่เชื่อมมาที่ปลายนิ้วของเขาราวกับเส้นด้ายยาวห้าเส้น
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเตร็ดเตร่อยู่ในแดนมนุษย์อีกต่อไป ทำงานนี้ให้สำเร็จ และพวกเจ้าก็อาจจะได้รับโอกาสในการเลื่อนขั้นเป็นยมทูตอย่างเต็มตัว”
ทันทีที่เอ่ยจบ เขาก็หลับตาลงและเริ่มสัมผัสถึงผลของเคล็ดวิชาที่ตนเพิ่งใช้ !
…มันแปลกมาก ราวกับว่าทัศนวิสัยของวิญญาณทั้งห้าฉายขึ้นภายในหัวของเขา และเขาก็สามารถมองผ่านสายตาของวิญญาณทั้งหมดได้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในหัวของวิญญาณแต่ละตนถูกส่งตรงมาที่เขาทันที มันเป็นวิชาที่ดีกว่าคาถาอัญเชิญวิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้าที่ไร้ประโยชน์นั่นมาก
แต่เขาก็ไม่สามารถไขความคิดทั้งหมดของอีกฝ่ายได้ ยกตัวอย่างเช่น วิญญาณทั้งหมดนั้นรู้สึกซาบซึ้ง จะเว้นก็แต่หญิงสูงวัย นางยังคงนิ่งเฉย
หมายความว่าเขาสามารถรับรู้ถึงอารมณ์โดยทั่วไปภายในใจของวิญญาณเหล่านี้ได้ แต่ไม่รู้อะไรมากกว่านั้นสินะ… ฉินเย่พยักหน้า มันก็ยังดี อย่างน้อยที่สุด เคล็ดวิชานี้ก็เหมือนกับการมีตาเพิ่มขึ้นมาอีกห้าคู่
“ฟังนะ” เขาลืมตาขึ้นและสั่ง “จากนี้ไป ข้าอยากให้พวกเจ้ากระจายตัวออกไปในทุกทิศทางและอยู่ภายในรัศมีห้าร้อยเมตรรอบตัวข้า หากเจอวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าขั้นนักล่าวิญญาณให้รีบรายงานข้าทันที !”
“รับทราบ !”
จากนั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่จึงหันไปหาหญิงชราและพยักหน้า “ข้าอยากให้เจ้าติดตามมนุษย์ผู้ชายที่พักอยู่ถัดจากห้องของข้า อย่าเคลื่อนไหวโดยพลการเด็ดขาด เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณ ดังนั้นเจ้าไม่มีทางสามารถปกปิดตัวตนของเจ้าจากเขาได้ รักษาระยะห่างจากเขาไว้ประมาณ 200 เมตร รายงานข้าทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งน่าสงสัย”
“รับทราบ”
หลังจากสั่งการทุกอย่างเรียบร้อย ฉินเย่ก็เดินกลับไปที่โรงแรม
เมื่อเขาเดินผ่านห้องของหลี่จีสี่ เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปมองมัน และดวงตาของเขาก็เป็นประกายเย็นยะเยือก
อีกฝ่ายออกไปข้างนอก…
เขารีบหันไปมองการ์ดที่วางอยู่บนมือจับประตูห้องของตัวเอง มันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขารูดบัตรและเปิดประตูออกเล็กน้อย …แค่แง้มออกเล็ก ๆ เท่านั้น
เส้นด้ายสีดำที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าถูกขึงไว้ด้านในของประตูเหนือระดับสายตาเล็กน้อย เขาลูบนิ้วผ่านมันเล็กน้อยและมันก็ขาดออกในทันที
การ์ดหน้าห้องเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น กับดักที่แท้จริงคือด้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในยามราตรี
หากมีผู้ใดเข้ามาในห้อง ด้ายนี้จะขาดทันที นอกจากนี้ สีของมันยังเหมือนกับสีของพรมห้อง และเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บุกรุกจะสังเกตเห็น เพราะอีกฝ่ายคงไม่มีทางเปิดไฟในห้องและดึงดูดความสนใจของผู้อื่นแน่นอน
บังเอิญอย่างนั้นหรือ ? เขาเหลือบมองไปยังการ์ดที่ถูกทิ้งไป แต่ทำไมถึงเป็นตอนนี้ล่ะ ? เขาชอบความเงียบในยามค่ำคืนหรืออย่างไรกัน ?
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขาหลับตาเพื่อพักผ่อนในทันที
เด็กหนุ่มนอนผ่านช่วงอาหารเช้าและตื่นขึ้นอีกครั้งในเวลา 11 โมงตรง หลังจากทานอาหารเที่ยง เขาก็นัดเจอกับนักเรียนทั้งหมดและเริ่มอ่านรายงานของกองทหารรักษาการณ์ในท้องที่
จุดประสงค์ของพวกเขาในครั้งนี้ก็คือปัดเป่าเขตไล่ล่าทั้งหมด 12 เขต มันเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับนักเรียนที่ยังไร้ประสบการณ์ และที่แย่กว่าเดิมก็คือพวกเขามีเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของห้องประชุมเพิ่งอ่านรายงานเกี่ยวกับเขตไล่ล่าเขตแรกเสร็จและแยกตัวไปเพื่อพักดื่มน้ำ หลี่จีสี่อาศัยจังหวะนี้เคาะโต๊ะและเรียกนักเรียนทั้งหมด “นักเรียนทุกคน”
คนทั้งหมดหันมามอง
“ผมหวังว่าพวกคุณจะจำมันเอาไว้” หลี่จีสี่เอ่ยต่อ “พวกคุณทุกคนเพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะ และไม่มีใครในพวกคุณที่สามารถถือได้ว่าแข็งแกร่ง มันเป็นเรื่องของเขตไล่ล่า ข้อได้เปรียบที่คุณสามารถสร้างขึ้นได้ก็คือการเตรียมตัวให้พร้อม”
“ลักษณะที่วิญญาณแสดงออกและกระทำนั้นเชื่อมโยงกับความคับแค้นภายในใจขณะที่ตนยังมีชีวิต ความเป็นไปได้ก็คือ พวกคุณจะพบเจอวิญญาณเหล่านี้ได้ในสถานที่หรือสิ่งของที่พวกเขาเคยยึดติดในตอนที่ยังมีชีวิต การเตรียมตัวที่ไม่เพียงพอก่อนเข้าสู่เขตไล่ล่าจะเพิ่มความเสี่ยงให้พวกคุณอย่างมาก”
“แต่…” เขากวาดตามองนักเรียนทั้งหมดและเผยจุดเปลี่ยนที่ตนได้เตรียมเอาไว้ “ผมเกรงว่ามันอาจจะมีนักเรียนบางคนที่ไม่สนใจคำพูดของพวกเรานัก แม้ว่าเราจะพูดย้ำขนาดไหนก็ตาม ดังนั้น…”
เขาแย้มยิ้มบาง จากนั้นจึงเหลือบตาไปมองฉินเย่ “ผมจึงตัดสินใจว่าคืนนี้ แต่ละกลุ่มจะต้องมีนักเรียนเพียงคนเดียวเท่านั้น และพวกคุณทั้งหมดก็เข้าไปในเขตไล่ล่าพร้อมกัน พวกคุณจะได้รับอุปกรณ์สื่อสารติดตัวไปด้วย อาจารย์ฉินและผมจะรออยู่ด้านนอก เขตไล่ล่าทั้ง 12 เขตที่เราจะต้องจัดการนั้นตั้งอยู่ในชุมชน 12 แห่งที่มีความกว้างไม่เกินห้ากิโลเมตร เพื่อที่พวกเราทั้งคู่จะตรวจจับได้ทันทีหากมีพวกคุณคนใดตกอยู่ในอันตราย”
ฉินเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศาสตราจารย์หลี่ นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีนักนะครับ พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นมือใหม่ และส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถึงขั้นยมเทพด้วยซ้ำ ผมเกรงว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะป้องกันตัวหากประสบกับอันตราย”
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทางสถาบันถึงมอบยันต์และสิ่งประดิษฐ์เวทย์ให้ทุกคนก่อนที่เราจะออกเดินทางมา” หลี่จีสี่จิบน้ำชาในถ้วยของตนและเอ่ยต่อด้วยท่าทีนิ่งเฉย “ด้วยสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ในมือ พวกเขาจะสามารถทนได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง อาจารย์ฉิน คุณคือยอดพรสวรรค์ที่สามารถบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้ด้วยวัยที่ยังไม่ถึง 20 ปี คุณน่าจะรู้ดีกว่าใครในที่นี้ว่ามีเพียงการเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยตนเองเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ว่าสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ในความมืดนั้นคืออะไร”
“นักเรียนทุกคน นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกคุณสามารถมองเห็น สัมผัส หรือสังหารได้อย่างคู่ต่อสู้ทั่วไป”
“พวกมันคือตัวตนที่น่าสยดสยองที่มองไม่เห็นและไม่สามารถสัมผัสได้ พวกมันจะปรากฏตัวขึ้นและหายไปอย่างไร้ร่องรอย” เสียงของเขาจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ “หากพวกคุณไม่รีบทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกคุณจะถูกพวกมันฆ่าตาย พวกคุณมั่นใจในตัวเองไหม ?”
“มั่นใจครับ !!” นักเรียนทั้งสิบคนตอบกลับด้วยความกระตือรือร้น
ไร้เดียงสาเสียจริง…
ฉินเย่ส่ายศีรษะและไม่เอ่ยอะไรอีก
ในเมื่อศาสตราจารย์ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบได้พูดออกไปแล้ว ดังนั้นมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องพูดอีก ?
น่าเสียดาย… ลูกวัวแรกเกิดอย่างพวกนายเข้าใจจริง ๆ หรือเปล่าว่าวิญญาณพวกนี้คืออะไร ?
มันไม่ใช่แค่คำ ๆ หนึ่งในหนังสือ มันคือดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจและความแค้น ผลพลอยได้จากชีวิตมนุษย์ที่สูญเสียไปโดยไม่ยุติธรรม พวกมัน… ไม่สามารถเรียกได้ว่ามนุษย์อีกต่อไป… คนเป็นไม่ต่างอะไรกับภาชนะ เครื่องมือและอาหารของพวกมัน !
“ดีมาก” หลี่จีสี่กวาดสายตาผ่านฉินเย่ก่อนจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ทานอาหารเย็นตอน 17.30 น. เราจะไปรวมกันที่ด้านนอกของเขตไล่ล่า D-72 ในตอน 18.30 น. จากนั้นเราจะเริ่มปฏิบัติการในตอนหนึ่งทุ่มตรง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทุกคนจะต้องกลับมาที่จุดนัดพบของเราในเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกคน… รักษาตัวให้ดี”
สายตาของเขาหยุดลงที่หวังเฉิงห่าวครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความนัย “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมจะยังได้เห็นพวกคุณทุกคนกลับมายืนอยู่ตรงหน้าของผมในวันพรุ่งนี้… ไม่ใช่ในห้องเก็บศพ”
[1] อ้างอิงมาจากเรื่องนารูโตะ โอโรจิมารุคือตัวร้ายในเรื่อง ในขณะที่คาถาสัมภเวสีคืนชีพคือหนึ่งในคาถาที่ทรงพลังที่สุดที่เขาใช้ในการดึงวิญญาณของคนตายมาใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้