ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 320 เขตไล่ล่า D-69 (3)
บทที่ 320: เขตไล่ล่า D-69 (3)
เขาถูกพบแล้ว
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาภายในหัวของฉินเย่ทันที ราชาผีสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขาแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ นี่เป็นคำอธิบายเดียวสำหรับการส่งมัจฉุราชแห่งยมโลกมาสังหารเขา !
แต่… วิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณระดับสูงนี้มาจากไหนกัน ?
แล้วทำไมมันถึงเล็งเป้าไปที่ชุมชนหลานเทียน ? ที่นั่นมีแค่หวังเฉิงห่าวอยู่คนเดียวเท่านั้น !
ทำไมกัน ?
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยสักนิด ในขณะเดียวกัน วินาทีแห่งความลังเลก็ผุดขึ้นภายในใจ
เขาควรจะทำอย่างไรดี ?
ไปช่วย ?
ถ้าเขายังลังเลอยู่แบบนี้ หวังเฉิงห่าวทนไม่ได้ถึง 10 นาทีแน่ ! แต่ถ้าเขาลงมือตอนนี้มันก็ยังพอมีเวลา
แต่หากเขาไม่รออีกนิด อย่างนั้น… เขาก็อาจจะต้องเปิดเผยระดับพลังที่แท้จริงของตัวเองถึงจะสามารถช่วยอีกฝ่ายได้
“เกิดอะไรขึ้นครับ ? อาจารย์ฉิน ?” ในขณะนั้นเองหลี่จีสี่ก็หันมามองด้วยความเป็นห่วง “สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”
ฉินเย่ข่มความคิดมากมายในหัวของตนและตอบกลับไปเรียบ ๆ “ศาสตราจารย์หลี่ดูเหมือนจะเป็นห่วงผมจังเลยนะครับ ?”
“การเป็นห่วงอาจารย์ในสาขาของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เหรอครับ ?”
“ไม่ใช่ว่าคุณควรจะเป็นห่วงพวกนักเรียนมากกว่าหรือครับ ?” ฉินเย่แสร้งทำเป็นไม่สนใจและมองไปที่มอนิเตอร์ “พวกเขาทั้งหมดต่างกำลังตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตราย ในขณะที่พวกเรานั่งอยู่ในห้องเฝ้าระวังอย่างปลอดภัย ทำไมพวกเราไม่ไปที่เขตไล่ล่าและให้คำชี้แนะพวกเขาไปด้วยล่ะครับ ?”
“นั่นไม่จำเป็นเลยครับ” หลี่จีสี่ยิ้ม เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และจุดบุหรี่ขึ้นสูบ “ผู้ฝึกตนอย่างเราจะเติบโตได้อย่างไรหากไม่เสียเลือดเสียบ้าง ? หรือว่าคุณเรียนรู้วิธีสู้กับวิญญาณจากการอ่านหนังสือกันครับ ? พวกเราได้เตรียมใจสำหรับการบาดเจ็บล้มตายในทุกการฝึกฝนต่อสู้จริงที่จัดขึ้น มันคงจะเป็นการไร้ความรับผิดชอบหากเราเข้าไปแทรกแซงก่อนถึงเวลาที่เหมาะสม”
ฉินเย่พยักหน้าและลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่ รบกวนศาสตราจารย์หลี่ช่วยดูมอนิเตอร์ในขณะที่ผมไม่อยู่ทีนะครับ”
“ผมเองก็อยากไปเข้าห้องน้ำเหมือนกัน ทำไมเราไม่ไปพร้อมกันเลยล่ะ ?” หลี่จีสี่เองก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ชายทั้งสองเดินไปที่ห้องน้ำด้วยกัน และทั้งคู่ก็แยกกันไปทำธุระของตน หลังจากนั้น เมื่อพวกเขากำลังล้างมือ หลี่จีสี่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาว่า “โชคดีจริง ๆ…”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเลิ่กคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“ผมหมายถึงนักเรียนของเราน่ะ” มือของหลี่จีสี่นั้นยาวเรียว เขาล้างมืออย่างพิถีพิถัน “พวกเราไม่เคยได้รับอุปกรณ์ช่วยเหลือพวกนี้เลยในตอนที่ผมอยู่ที่หน่วยอัลบาทรอส… ตายคือตาย ทางสำนักเอาอกเอาใจพวกเขาเกินไป”
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม “คุณเคยอยู่หน่วยอัลบาทรอสมาก่อนหรือครับ ?”
“ใช่ ๆ ไม่ใช่ว่าผมเคยพูดไปแล้วเหรอ ?” หลี่จีสี่แย้มยิ้มขณะที่หยิบผ้าเช็ดมือออกมาเพื่อเช็ดมือให้แห้ง “แต่นั่นก็นานมาแล้วน่ะ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวคนอื่นอยู่แล้ว”
ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ ฉินเย่รู้สึกได้ว่าคำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาลดความระมัดระวังลงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็รีบบังคับให้ตัวเองระวังคนตรงหน้ามากกว่าเดิม
ชายคนนี้… มีอะไรมากกว่าที่เห็น !
พวกเขากลับมาอยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์อีกครั้ง แต่ความระมัดระวังของเขาในตอนนี้พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด มันคงไม่เป็นอะไรหากบทสนทนาเมื่อครู่เป็นบทสนทนาธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความหมายแฝงอะไร แต่หากอีกฝ่ายตั้งใจพูดมันออกมา ชายผู้นี้… ก็จะต้องเชี่ยวชาญในเรื่องการควบคุมความคิดของผู้อื่นเป็นแน่ !
ข้อเท็จจริงที่ว่าหลี่จีสี่เผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อนหมายความว่าตนตรงหน้ารู้แล้วว่าเขากำลังระแวงอีกฝ่ายอยู่ ! เพราะอย่างไรแล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามลดการป้องกันลงก็คือการลดความน่าสงสัยของตัวเองลง
คนธรรมอาจคิดว่า อ๋อ อย่างนี้นี่เอง และเชื่อมโยงลักษณะนิสัยที่แปลกประหลาดของเขาเข้ากับงานที่เคยทำก่อนหน้า จากนั้นพวกเขาก็จะลดการระมัดระวังลง แต่ฉินเย่จะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
ฉินเย่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับจิตวิทยามนุษย์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ชีวิตคือครูที่ดีที่สุด
…มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ !
แต่ขณะที่เขากำลังจะเจาะลึกเข้าไปในความคิดเหล่านี้ ภาพภายในหัวของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะหายไป
“อ๊ากกกก !!” เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังขึ้นภายในหัว เมื่อเด็กหนุ่มมองไปยังทิศทางของต้นเสียง เขาก็พบว่ามันมาจากทิศทางเดียวกันกับมัจจุราชแห่งยมโลก !
มัจจุราชแห่งยมโลกได้พุ่งเข้ามาในรัศมี 500 เมตรและฆ่าหนึ่งในวิญญาณทั้งห้าซึ่งคอยระมัดระวังให้เขาอยู่ !
เขาหลับตาลงขณะที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วง จากนั้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาของฉินเย่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับว่าตัวเองได้ตัดสินใจที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง “ศาสตราจารย์หลี่ รีบยุติการปฏิบัติการในครั้งนี้เดี๋ยวนี้เลยครับ !”
“ทำไมครับ ?” หลี่จีสี่ตอบกลับเสียงนิ่ง “ปฏิบัติการนี้จะจบลงในเวลาเที่ยงคืนตรง และเราก็เพิ่งเริ่มมาไม่ถึง 40 นาทีเลยด้วยซ้ำ อาจารย์ฉิน อย่างให้ความเป็นห่วงในตัวนักเรียนของคุณบดบังความสามารถในการตัดสินใจ…”
ปั้ง ! ฉินเย่ทุบโต๊ะและเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ “ตอนนี้มีวิญญาณที่น่ากลัวมากกำลังพุ่งมาทางนี้ ! ถ้าเราไม่รีบถอยในตอนนี้ ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงถึงชีวิต !”
หลี่จีสี่ไม่ตอบออกไปในทันที กลับกัน เขาจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าเขม็ง บรรยากาศตึงเครียดเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง
“ผู้ฝึกตนจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณที่อ่อนแอกว่าตน นี่คือเงื่อนไขพื้นฐานในการเอาชีวิตรอด พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงต่อตัวตนที่อาจคุกคามตัวเอง ผมยังไม่สัมผัสถึงอะไรเลยสักนิด แล้วทำไมคุณ ขั้นนักล่าวิญญาณ ถึงสัมผัสภัยคุกคามนั้นได้ ?”
“มันเป็นวิชาที่ผมฝึกฝนมา” ฉินเย่ตอบเสียงเรียบ แต่เห็นได้ชัดว่าสายตาของเขานั้นล้ำลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ “นอกจากนี้ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าภัยคุกคามที่ว่านั่นไม่ได้แข็งแกร่งกว่าคุณ ?”
ผู้ชายคนนี้กำลังปกปิดอะไรบางอย่าง !
ทั้งคู่ต่างมั่นใจว่าต่างฝ่ายต่างกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสามารถทำให้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดก็สามารถเผยข้อบกพร่องของตัวเองออกมาได้ ฉินเย่ไม่สามารถอธิบายได้ให้ว่าทำไมเขาถึงมองเห็นวิญญาณร้ายที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาจากจุดที่ห่างไกล ในขณะที่หลี่จีสี่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงมั่นใจนักว่าวิญญาณดังกล่าวถึงอ่อนแอกว่าขั้นยมทูตขาวดำ
“ผมก็แค่พูดไปเฉย ๆ เพราะอย่างไรแล้ว ผมก็ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้เลย” หลี่จีสี่ลุกขึ้นและเอ่ยเสริม “อาจารย์ฉิน ขอผมพูดอีกครั้ง ผมเป็นคนรับผิดชอบการปฏิบัติการในครั้งนี้ อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตัวเอง ในฐานะของศาสตราจารย์ ผมขอสั่งให้คุณนั่งลง เราจะยังอิงตามแผนการเดิมและยุติการปฏิบัติการของเราในตอนเที่ยงคืนตรง”
“นี่เป็นเพียงคำเตือนด้วยความหวังดีจากผมในอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา” ฉินเย่นั่งลงตามเดิม “ในเมื่อคุณไม่เชื่อ คุณก็ถือเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน อ้อ ! แล้วผมจะบอกให้นะ วิญญาณที่กำลังพุ่งมาทางนี้อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ หากคุณไม่รีบแจ้งไปที่เมืองซินคังใหม่ล่ะก็ คืนนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ๆ”
หวังเฉิงห่าว… ฉันหวังว่าโชคด้านผู้หญิงของนายคงจะช่วยนายได้นะ…
แทนที่จะเสี่ยงเปิดเผยตัวเอง ฉินเย่เลือกที่จะพนันกับโชคของอีกฝ่ายมากกว่า… เพราะอย่างไรแล้ว ฉันก็ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ไปแล้ว
ขั้นยมทูตขาวดำ ? หลี่จีสี่นั่งลงเงียบ ๆ เป็นไปไม่ได้ เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติยังไม่เห็นมีสัญญาณเตือนดังขึ้นเลยสักนิด นอกจากนี้… วิญญาณที่ถูกปล่อยออกมาในคืนนี้ก็ไม่ได้อยู่ขั้นยมทูตขาวดำด้วย
นี่อีกฝ่ายแค่พยายามจะพูดให้มันดูใหญ่โตเกินไปหรือเปล่า ?
เอาเถอะ… เรามาดูกันว่าหัวใจของคุณมันจะเย็นชาเหมือนกับท่าทางที่คุณแสดงออกมาหรือเปล่า
……………………………………………….
ชุมชนหลานเทียน ชั้นที่ 12 หวังเฉิงห่าวยืนอยู่ที่ประตู ส่ายหน้าไปมาและปาดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนเองออก มันแปลกมาก ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ที่ใจกลางของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแท้ ๆ แต่เขากลับสัมผัสถึงพลังหยินไม่ได้เลยสักนิด ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?” ตอนนี้ในมือของเขามียันต์อยู่สี่แผ่นขณะที่เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง
ไม่… มีบางอย่างไม่ถูกต้อง !
วินาทีนั้น ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจก็คือรีบออกไปจากที่นี่… เดี๋ยวนี้ ! น่าเสียดาย เท้าของเขาไม่ยอมขยับ
นี่เป็นโอกาสแรกที่เขาจะได้กำจัดวิญญาณร้ายด้วยตัวเอง… เพราะฉะนั้นเขาจะยอมถอยเร็วแบบนี้ได้อย่างไร ? หากเพื่อนคนอื่น ๆ สามารถทำภารกิจสำเร็จล่ะ ? เขาจะไม่เป็นเพียงคนเดียวที่ล้มเหลวหรอกหรือ ? เขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกสำหรับทุกคนหรอกหรือ ?
ฟิ้ว~… ทันใดนั้นเอง สายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาก็ถูกซัดเข้ามาในห้องโดยสายลมที่รุนแรง มันแทบจะเหมือนกับว่าความมืดมิดและความเงียบภายในห้องกำลังถูกก่อกวนด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็น
หวังเฉิงห่าวตัวสั่นไปทั้งร่าง พรึ่บ… หลอดไฟภายในห้องดับลง ในขณะเดียวกัน ทั้งฉินเย่และหลี่จีสี่ก็ต่างก็จ้องไปที่มอนิเตอร์ตัวกลางเขม็ง
มาแล้ว…
มันมาแล้ว !
วิญญาณร้ายมาแล้ว !
พวกเขามองเห็นจากภาพของกล้องวงจรปิดว่าที่ด้านนอกของตัวอาคาร… มีเงาของชายคนหนึ่งที่เปียกโชกไปด้วยเลือด
เขาดูเหมือนจะขาหักและไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เงาดังกล่าวก็ยังสามารถเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่าง ๆ เมื่อครู่นี้เขายืนอยู่ด้านนอกของอาคาร แต่ตอนนี้เขากลับมาปรากฏตัวขึ้นที่ชั้นบนสุดของอาคารได้ภายในชั่วพริบตา
ครื้น !! เสียงฟ้าร้องดังลั่น และประกายจากฟ้าร้องก็เผยให้เห็นว่าชายคนดังกล่าว… ไม่มีเงา !
พรึ่บ… เขาวางมือลงบนประตูกระจกและผลักมันเบา ๆ เหลือทิ้งไว้เพียงลายมือที่เปื้อนเลือด
ในขณะเดียวกัน ทันใดที่ไฟดับลง หวังเฉิงห่าวก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของฝ่ายตรงข้ามได้ในทันที ความรู้สึกเย็นยะเยือกไหลไปตามกระดูกสันหลัง !
ไม่เหมือนกัน… วิญญาณตนนี้คนละระดับกับวิญญาณที่เขาเคยเผชิญหน้ามาอย่างสิ้นเชิง !
เขาสามารถบอกได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าวิญญาณทั่วไปมาก และมันก็ดุร้าย กระหายเลือด เคียดแค้นและความเกลียดชังที่มีต่อโลกของมันก็รุนแรงมากกว่าวิญญาณที่เขาเคยเจอมา !
วิ่ง !
หนีไป !
เขารีบหันหลังและพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์ทันที !
ปั้ง ปั้ง ปั้ง !!! ทันทีที่เขาพุ่งตัวออกมา ประตูที่ทรุดโทรมตามแนวทางเดินก็ปิดลงอย่างแรง ! นอกจากนี้ ตัวเลขบนหน้าปัดของลิฟต์เอกก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว… 13… 12… 7… 6… 1… ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในสามวินาที !
จากนั้น… มันก็ยังลดลงเรื่อย ๆ!
-1… -4… -9… -18 !
“วิญญาณตนนี้กำลังคลานขึ้นมาจากขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 อย่างนั้นเหรอ ?!” หวังเฉิงห่าวอ้าปากค้าง นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?! นี่มันเกินขอบเขตที่เขาจะสามารถรับมือได้แล้ว ! อันที่จริง แม้แต่อาจารย์ของเขาก็อาจจะรับมือไม่ได้ด้วยซ้ำ !
“เวรเอ้ย !” เขาทุบลิฟต์อย่างแรงและรีบวิ่งไปที่บันได
แต่ก่อนที่เขาจะวิ่งลงไปได้มากกว่าสองชั้น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงไอที่แหบแห้งดังมาจากด้านล่าง
“แค่ก… แค่ก…” เสียงไอที่แหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับเสียงโอดครวญที่น่าขนลุก มันแทบจะเหมือนกับว่าบันไดพวกนี้กำลังนำเขาลงไปสู่ส่วนลึกของนรกไม่มีผิด
“ใครอยู่ตรงนั้น… ใคร… ใครก็ได้…” เสียงที่ไร้วิญญาณของชายคนหนึ่งดังขึ้น “ช่วยด้วย… ช่วยด้วย… ยังไม่อยากตาย… เจ็บ… เจ็บเหลือเกิน !!”
เสียงของเขาแหลมขึ้นในประโยคสุดท้าย และบันไดก็ดังก้องไปด้วยเสียงกรีดร้องแหลมหูของอีกฝ่าย ในเวลานี้ ใบหน้าของหวังเฉิงห่าวซีดเผือด และเขาก็เริ่มถอยห่างออกมา แต่เด็กหนุ่มก็ต้องพบว่าทุกอย่างโดยรอบนั้น… เงียบผิดปกติ
มันไม่มีทั้งเสียงฝนหรือเสียงลม นอกจากนี้ มันยังไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด
สิ่งเดียวที่เขาได้ยินในตอนนี้ก็คือเสียงกรีดร้องที่ไม่รู้จบของผู้ชายคนนั้น
ตุบ… ขาของเด็กหนุ่มไร้เรี่ยวแรงและร่างของเขาก็ทรุดลงกับพื้นทันที ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ความกลัวที่เข้าครอบงำจิตใจก็ทำให้เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่เมื่อเขาหันกลับไป…
ปั้ง !
บานประตูฉุกเฉินที่เขาเพิ่งเดินเข้ามาปิดลงอย่างแรง
และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชั้น 12 เท่านั้น เพราะไม่นาน ประตูของชั้นที่เหลืออยู่ก็ปิดลงติดต่อกันท่ามกลางเสียงกรีดร้องและคร่ำครวญของชายที่อยู่ด้านล่าง หวังเฉิงห่าวรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะกระเด็นออกมาจากอกอยู่รอมร่อ
นี่… หมายความว่าประตูที่นำไปสู่ทางออกทั้งหมด… ถูกปิดลงแล้ว…
เขากำลังติดอยู่ในบันไดฉุกเฉินที่ถูกปิดตายกับวิญญาณร้าย !!
เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และที่ทำให้เรื่องแย่ลงไปอีกก็คือชายคนดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะกำลังเดินขึ้นมาข้างบน เข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ
“นี่สินะผีร้ายที่แท้จริง…” เขากัดฟันแน่นและหยิบสิ่งประดิษฐ์เวทย์ออกมา
มันคือน้ำเต้าไม้แกะสลัก
เขากรีดปลายนิ้วตัวเองก่อนจะหยดเลือดของตนลงไปหนึ่งหยด เขานึกถึงประโยชน์ของมัน วัตถุชิ้นนี้จะช่วยกลบลมหายใจของสิ่งมีชีวิตได้เป็นเวลา 30 นาที ในขณะเดียวกันมันก็จะป้องกันพลังหยินทั้งหมดและส่งสัญญาณให้พวกอาจารย์
เพราะอย่างไรแล้ว อุปกรณ์สื่อสารทั่วไปก็ไม่สามารถใช้งานได้ในสถานที่ซึ่งมีกลุ่มก้อนพลังหยินหนาแน่นแบบนี้
แต่ทว่า… ทันทีที่เลือดของเขาหยดลงไปบนน้ำเต้า พลังที่ระเบิดออกมาจากมันกลับไม่ใช่พลังปราณ แต่มันคือ… พลังหยิน !
ในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องที่ดังก้องอยู่ภายในบริเวณนั้นก็เย็นยะเยือกและรุนแรงมากกว่าเดิม ในขณะที่เสียงฝีเท้าดังเร็วขึ้น พลังหยินบริสุทธิ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณมากกว่าเลือดและเนื้อของมนุษย์เสียอีก !
มันเป็นของปลอม…
ขวดน้ำเต้าร่วงลงกับพื้นเสียงดัง และหวังเฉิงห่าวก็จ้องมองมือของตัวเองด้วยสายตาตกตะลึง
ทางสำนักมอบสิ่งประดิษฐ์เวทย์ปลอมให้พวกเขา…
พรึ่บ ! กลับมาที่ห้องเฝ้าระวัง ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่หลี่จีสี่ด้วยความเหลือเชื่อ “นั่นคือสิ่งที่คุณเรียกว่าสิ่งประดิษฐ์เวทย์ของสำนักเหรอครับ ?!”
“ศาสตราจารย์หลี่ คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองทำอะไรลงไป ?!”