ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 325 การกลับมาเจอกันอีกครั้งในยมโลก
บทที่ 325: การกลับมาเจอกันอีกครั้งในยมโลก
ฟึ่บ… กลุ่มก้อนพลังหยินจำนวนมากก่อตัวเป็นวังวนของอีกาจำนวนมากเหนือศีรษะของพวกเขา และร่าง ๆ หนึ่งก็ก้าวขึ้นไปบนมันและค่อย ๆ ลงมาจากฟ้า
ช่างเป็นพลังหยินที่ทรงพลังจริง ๆ …ผู้ฝึกตนกว่า 300 คนหยิบสิ่งประดิษฐ์เวทย์ของตนออกมาและอาบมันด้วยพลังปราณของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ ในหมู่พวกเขาไม่มีทั้งขั้นยมทูตขาวดำหรือขั้นนักล่าวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจะไปรู้จักผู้ที่มีพลังหยินที่หนาแน่นและบริสุทธิ์เช่นนั้นได้อย่างไร ?
เม็ดเหงื่อเย็นไหลลงมาข้างแก้มของกวนเกิน ยมทูตขาวดำ… นี่คือขั้นยมทูตขาวดำคนแรกที่เขาเคยเจอ… แต่อีกฝ่ายเป็นมิตร… หรือศัตรูกัน ?
ตามหลักการแล้ว ตัวตนที่แผ่พลังหยินออกมานั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นศัตรูมากกว่ามิตร แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่โจมตีพวกเขา ? ทำไมถึงทำท่าราวกับต้องการจะคุยอะไรบางอย่าง ?
ตัวตนที่ไม่รู้จักเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ …กวนเกินลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล หัวใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด จากนั้น ท่ามกลางความลังเลของเขา ฝูงอีกาจำนวนมากก็หดตัวเข้าหากันก่อนจะสลายไป ในวินาทีนั้นเอง แสงไฟจากสปอตไลต์ แสงอินฟราเรด ปืน สิ่งประดิษฐ์เวทย์ทั้งหมดต่างเล็งไปที่ตัวตนดังกล่าว หากอีกฝ่ายเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว เขาจะถูกยิงทันที
ทว่าในเสี้ยววินาทีถัดมา คนทั้งหมดก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เมื่อกลุ่มก้อนพลังหยินสลายไป เผยให้เห็นชายในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวที่สวมหมวกทรงสูงที่มีคำว่า ‘ความสงบสุขของโลก’ ปักอยู่ เส้นผมของเขาเป็นสีเขียวหยก รูม่านตาสีขาวราวหิมะ และลิ้นที่ยาวกว่าสามฟุตห้อยออกมาด้านนอก…
“ยมทูตขาวดำ ?” กวนเกินจ้องมองชายตรงหน้า มือที่ถือปืนของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง “ยมทูตขาวดำ… ยมทูตขาวดำเหรอ ?! ยมทูตตัวเป็น ๆ เนี่ยนะ ?!”
และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่ทุกคน… ทั้งคนธรรมดาและผู้ฝึกตน ทั้งหมดต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
พวกเขาสัมผัสได้ว่าพลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของชายผู้นี้นั้นแตกต่างจากพลังหยินที่พวกเขาเคยประสบ มันไม่ได้ชั่วร้ายและเย็นยะเยือก และไม่มีกลิ่นคาวเลือดและเจตนาที่ชั่วร้าย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นยมทูตขาวดำในตำนาน !
เทพไป๋อู่ฉาง ? หรือเทพเฮยอู่ฉางกัน ?
ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันที
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กวนเกินก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ เขาก้าวเท้าออกไปได้หน้า ประสานกำปั้นและโค้งคำนับอีกฝ่าย “ไม่ทราบว่าท่านผู้ทรงเกียรติคือผู้ใดกัน ?”
ฉินเย่ตอบอย่างตรงประเด็ก เขาแตะนิ้วไปที่ข้างเอวของตัวเองและลำแสงสีทองก็พุ่งไปที่กวนเกิน จากนั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเตรียมที่จะลั่นไก กวนเกินก็ยกมือขึ้นห้ามก่อนจะดูสิ่งที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งของตนตอนนี้
มันคือตราประจำตัว
ด้านหนึ่งของตราเป็นสีเข้ม คำว่า ‘ยมทูตขาวดำ’ ถูกสลักเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีแดงโดดเด่น อีกด้านหนึ่งถูกสลักเป็นคำว่า ‘ยมทูต’ เปลวไฟนรกสีเขียวหยกลุกโชนอย่างโชติช่วง
ยมทูตขาวดำ… เขาคือยมทูตขาวดำจริง ๆ? ยมทูตขาวดำตัวเป็น ๆ เสียด้วย !!
ตรรกะของเขาบอกเขาว่าเขาไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่ความเป็นจริงกลับดูเหมือนจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็ประสานกำปั้นด้วยความเคารพอีกครั้ง “ท่านยมทูตขาวดำ โปรดมากับเราด้วยเถิด”
“ไม่” ฉินเย่ตอบเสียงเรียบ “ข้าจำเป็นต้องไปแล้ว”
“กรุณารอก่อนเถิด” กวนเกินเอ่ยต่ออย่างร้อนรน “ได้โปรด ท่านผู้ทรงอำนาจ ท่านช่วยบอกพวกเราทีได้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ?”
“ข้ามาทีนี่เพียงเพื่อไล่ล่าดวงวิญญาณที่หลบหนีมาจากสามมณฑลทางตะวันออก ไม่ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่” ฉินเย่เอ่ยตอบเสียงเรียบ “ข้าคิดว่าเจ้าควรไปถามคนของตนเองจะดีกว่า”
“คนของเรา…” กวนเกินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเรียบเอ่ยต่อ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? หลี่จีสี่อยู่ที่ใด ? เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?”
“พวกเขาตายหมดแล้ว” ร่างของฉินเย่เริ่มหายเข้าไปในกระแสน้ำวนพลังหยินอีกครั้ง “อ้อ ยังมีเด็กคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่… แต่หากเจ้าไม่รีบ ข้าเกรงว่าเขาก็อาจจะไม่รอดเช่นกัน…”
ไม่มีใครกล้าขัดขวางการจากไปของยมทูตขาวดำ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
คนทั้งหมดมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก การได้พูดคุยกับยมทูตขาวดำในตำนานนั้นน่าเหลือเชื่อเกินไป และมันก็ไม่มีใครรู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดจะจดจำวันนี้ไปชั่วชีวิตของตัวเองในฐานะของวันที่พวกเขาได้พบกับยมทูตขาวดำตัวจริงจากยมโลก !
ผู้ฝึกตนทั้งหมดเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ยมโลกเคลื่อนไหวแล้ว… หลังจากเงียบหายไปกว่าร้อยปี ในที่สุดยมโลกก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ! ความหมายที่แท้จริงของการเผชิญหน้าในครั้งนี้ลึกซึ้งเกินไปสำหรับพวกเขา
“หัวหน้า…” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาได้สติในที่สุด เขารีบหันไปมองกวนเกินเพื่อขอคำสั่ง อีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นจึงกัดฟันแน่นขณะที่หยิบวิทยุสื่อสารของตนขึ้นมา “ทุกคน ฟังคำสั่งจากผม”
“ปิดกั้นที่เกิดเหตุทันที ห้ามใครเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผม ห้ามพูดคุยหรือคาดเดาใด ๆ ทั้งสิ้น รีบรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของหน่วยสอบสวนพิเศษทันที ผู้บังคับกองร้อย ผู้บัญชาการกองพัน อาจารย์และครูฝึกทั้งหมดมาหาผมเพื่อประชุมด่วนทันที รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห้ามรั่วไหลออกไปโดยเด็ดขาด ! ผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตาม… จะถูกลงโทษสถานหนัก !”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็รีบเดินไปที่รถทันที
แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในรถ เขาก็หันไปกระชับกับผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านข้างของตน “เหล่าจี ผมอยากให้คุณพาคนของคุณไปปิดล้อมเขตไล่ล่า D-69 นอกจากนี้ผมอยากให้คุณไปบันทึกสภาพของสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเองและรายงานไปที่ศูนย์วิจัย SRC ทันที แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยก็ห้ามพลาดเด็ดขาด !”
“รับทราบ !”
หลังจากนั้นกวนเกินก็จากไป เหล่าจีข่มความรู้สึกที่พลุ่งพล่านภายในใจของตนและนำผู้ฝึกตนสามคนของเขามุ่งหน้าไปยังชั้นดาดฟ้าของอาคารทันที
“พระเจ้าช่วย…” คนทั้งหมดต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อพวกเขาไปถึง
นี่มันทะเลเลือดชัด ๆ
ไม่สิ… มันมีแม้กระทั่งพลังหยินจำนวนมากที่ยังหลงเหลืออยู่
ตัวตนขั้นยมทูตขาวดำสามตนต่อสู้กันที่ชั้นดาดฟ้าและทำลายสถานที่ทั้งหมด หวังเฉิงห่าวนอนอยู่จุดกึ่งกลางของดาดฟ้า เลือดไหลจนหมดตัว ในขณะที่ฉินเย่นอนหมดสติอยู่ภายในอาคาร
“เร็วเข้า ! รีบตามหน่วยแพทย์ของหน่วยสอบสวนพิเศษมาที่นี่เดี๋ยวนี้ ! ตรวจหาผู้รอดชีวิต !” เมื่อสั่งคนของตนเสร็จ เหล่าจีก็หยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาและกดโทรออก “หัวหน้ากวน… ตอนนี้… คุณฉินยังหายใจอยู่ แต่ลมหายใจของเขาอ่อนมา ส่วนนักเรียนหวังเฉิงห่าว… เสียชีวิตในหน้าที่ครับ”
……
ฉินเย่สัมผัสได้ว่าเขาถูกพาตัวไปที่โรงพยาบาล แน่นอน บาดแผลทั้งหมดบนร่างกายของเขาเป็นเพียงการตบตาเท่านั้น ตอนนี้ร่างกายของเขากำลังอยู่ในสภาวะโคม่า ส่งผลให้จิตวิญญาณหลุดออกจากร่าง หัวใจของเขายังคงเต้นอยู่ แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คนใดสามารถระบุได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างของเขา รวมไปถึงการปลุกให้เขาตื่นหรือเรียกจิตวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง
ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปทำ
หลังจากการแสดงที่ยิ่งใหญ่ด้านล่าง เขาก็ต้องรีบกลับขึ้นมาบนดาดฟ้าในขณะที่ปกปิดร่างด้วยความสามารถทางการล่องหนที่มาพร้อมกับสถานะยมทูตของตัวเอง ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกด้านในอาคารก็เพราะว่ามันไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่ด้านใน
ไม่เช่นนั้น ด้วยเครือข่ายกล้องวงจรปิดของจีน คนพวกนี้จะต้องสามารถตรวจจับการปรากฏตัวขึ้นของคนที่หมดสติอย่างกะทันหันได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงเวลาที่แน่นอนในตอนที่มันเกิดขึ้นอีกด้วย
จิตวิญญาณของเขาลอยไปมาในอากาศ ล่องหนจากสายตาของผู้ที่อยู่โดยรอบ เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ โรงพยาบาลอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะหายตัวไปจากแดนมนุษย์
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉินเย่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มีผู้ตรวจสอบอดีตกรรมประมาณร้อยตนประจำการอยู่ที่ประตูนรก ซูตงเซวี่ยไม่ปรากฏให้เห็นในธารสายตา
ยมโลกกำลังพัฒนาไปอย่างดี และมันก็เริ่มแสดงสัญญาณของความเจริญรุ่งเรืองและการเจริญเติบโตให้เห็นอย่างชัดเจน เครื่องจักรจำนวนมากกำลังทำงาน ในขณะที่ที่ดินขนาดใหญ่ได้รับการจัดสรรให้เป็นพื้นที่ก่อสร้าง เขามองเห็นวิญญาณจำนวนมากลอยไปมาอย่างเร่งรีบในขณะที่ไปจัดการกับธุระของตัวเอง และไม่นาน ฉินเย่ก็พบว่าเขา… ถูกเมินอย่างสิ้นเชิง…
ไม่ใช่ว่าวิญญาณพวกนี้มักจะกรูกันมาหาเขาในทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นในยมโลกหรอกหรือ ? แถมมันยังมักจะมีเหล่าวิญญาณที่มองมาที่ประตูนรกอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าฉินเย่จะนำข่าวอะไรมากอีก แต่ตอนนี้… วิญญาณพวกนี้กลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอาล่ะ ข้าบันทึกไว้แล้ว สมาคมวรรณกรรมเฟิงตูใช่หรือไม่ ? ยื่นคำร้องเพื่อขอทุนตั้งต้น 500,000 หยวน ? นั่นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ข้อเสนอที่ว่าจะกลับไปยังแดนมนุษย์เพื่อรวบรวมวัสดุนั่นไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยมโลกยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะสนับสนุนในการจะทำเช่นนั้น…” ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมจดรายละเอียดทุกอย่างลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะเขียนเสร็จ วิญญาณที่สวมหมวกก่อสร้างก็ลอยมาและรายงานเสียงดัง “ท่านเฉิน โรงงานผลิตในล็อตที่ 2 วัตถุดิบในการผลิตหมดแล้ว ท่านช่วย–… นายท่าน… ฉิน… นายท่านฉิน…”
เสียงของเขาไม่ได้ดังมานัก แต่ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมทั้งหมดกลับหูตั้งและรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับเขาด้วยความเคารพทันที “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฉินเย่พยักหน้าก่อนจะกดมือลงเพื่อบอกให้อีกฝ่ายนั่งลงตามเดิม เขามองไปยังผู้ตรวจสอบอดีตกรรมตนอื่น ๆ ที่ได้ยินว่าเขามาถึง เจ้าหน้าที่ทั้งหมดทำท่าจะลุกขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถปลีกตัวมาทำความเคารพเขาได้
นี่เป็นสัญญาณที่ดี…
เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นตอนที่คนทั้งหมดจมอยู่กับงานของตัวเองเท่านั้นที่พวกเขาจะหลงลืมความเป็นทางการทั้งหมดไป ฉินเย่ต้องการให้คนพวกนี้ลุกขึ้นและทำความเคารพเขาอย่างเป็นทางการอย่างนั้นหรือ ?
ไม่เลยสักนิด !
เขาต้องการให้ทุกคนหมกมุ่นอยู่กับงานของตัวเองมากกว่าที่จะมานั่งคอยการมาถึงของเขาอย่างที่ยมโลกเคยเป็นในอดีต ! ยมโลกกำลังเจริญเติบโต และมันก็มีอะไรมากมายให้ต้องทำ แทนที่จะมีเสียเวลากับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันคงดีกว่าที่ทุกคนจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับหน้าที่ของตัวเอง อันที่จริง เขาคงจะจัดการกับพวกที่ละทิ้งความรับผิดชอบของตัวเองอย่างรุนแรงด้วยซ้ำ
เพราะสุดท้ายแล้ว ใครก็ตามที่ต้องการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งล้วนต้องพิสูจน์ความสามารถของตนเองทั้งสิ้น
“มาแล้วอย่างนั้นหรือ ?” อาร์ทิสเดินออกมาจากโถงเสริม
“มีบางอย่างกำลังจะมา ไปที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณกับข้าที” ฉินเย่เดินไปพร้อม ๆ กับอาร์ทิสและถาม “ทุกอย่างเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ยุ่ง” อาร์ทิสตอบเสียงเรียบ “ยุ่งกว่าตอนที่ข้าขึ้นเป็นตุลาการนรกใหม่ ๆ เสียอีก อันที่จริง เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ามีบางอย่างจะต้องบอกเจ้า… เรามีสิ่งก่อสร้างพิเศษหลายแห่งที่ต้องใช้หินวิญญาณเพื่อวางรากฐาน และเจ้าก็ต้องหาทางให้ได้หินวิญญาณมามากกว่านี้ คำสั่งของเจ้าคือเราจะต้องมีอาคารพิเศษของยมโลกให้เห็นบ้างแล้วภายในปลายปี เพื่อที่จะสามารถแสดงความสามารถในการพัฒนาให้กับพวกข้าราชการศักดินาได้เห็นในงานประชุมราชสำนัก ซึ่งพวกเราจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้หากเราไม่มีจำนวนหินวิญญาณเพียงพอ”
ฉินเย่พยักหน้า
นั่นไม่ใช่เรื่องยาก หากเป็นกรณีที่แย่ที่สุด เขาก็ยังสามารถทำเล่มวิจัยอีกเล่มเพื่อรวบรวมคะแนนความดีที่ต้องการสำหรับการแลกหินวิญญาณก็เท่านั้น เพราะอย่างไรแล้ว ทุกอย่างที่เขาต้องการสำหรับเล่มวิจัยก็ถูกบันทึกไว้ในถุงเอกภพที่เขาเพิ่งได้มาจากยมโลกแห่งเก่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นอกจากนั้น หลังจากหารือกันอยู่หลายครั้ง เราได้ข้อสรุปมาว่ามันอาจจะเป็นการดีกว่าที่จะเปิดพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้เงิน ไม่เช่นนั้น พื้นที่กว่าสิบตารางกิโลเมตรอาจจะต้องสูญเปล่า นั่นมันน่าเสียดายเดินไป… นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว และเราก็เตรียมที่จะแจกจ่ายพระราชกฤษฎีกาฉบับแรกของยมโลกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเดือนพฤศจิกายน”
นางหยุดไปครู่หนึ่งและจึงเอ่ยต่อ “นี่เป็นเอกสารทางการฑูต”
ฉินเย่ยังคงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกเขามีงานมากมายที่ต้องทำ และเขาก็ไม่มีเวลาหรือความพยายามที่จะร่างพระราชกฤษฎีกาแก่ข้าราชการศักดินาทั้งหมดด้วยตัวเอง
ขณะที่บทสนทนายังคงดำเนินไป ไม่นานทั้งคู่ก็พบว่าพวกเขาเดินมาถึงที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาร์ทิสเอ่ยต่อ “อ่า จะว่าไป ตอนนี้ยมโลกแห่งใหม่มีขนาดเท่าเมืองแล้ว ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณก็น่าจะสามารถต้านทานพลังหยินได้บ้างแล้ว อีกความหมายหนึ่งก็คือ เจ้าสามารถกำหนดทางเข้าสู่ยมโลกภายในเมืองเป่าอันได้แล้ว วิญญาณยังสามารถเข้ามายังยมโลกได้แม้ว่าเจ้าจะไม่กำหนดทางเข้า แต่มันก็ต้องผ่านกระบวนการอะไรหลายอย่างก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่ได้ ที่สำคัญกว่านั้น ทางเข้าสู่ยมโลกจะแสดงให้เห็นถึง… ระเบียบ มันแสดงให้เห็นว่าในที่สุดยมโลกก็กลับมามีอำนาจในการควบคุมและรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณใกล้เคียงได้บ้างแล้ว… เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนนะ…”
อาร์ทิสมองไปยังศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ และนางก็พบว่าในเวลานี้ ด้านบนของมันมีกลุ่มเปลวไฟนรกสีขาวที่ลุกโชนอยู่ในลักษณะของกลุ่มก้อนเมฆสีขาวทรงกลม
“ผู้ฝึกตน ?” อาร์ทิสมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาฉินเย่ “แถมยังสองตนอีกด้วย ? เจ้ามาที่นี่เพื่อรับพวกเขา ? เดี๋ยวก่อนนะ… หนึ่งในนั้นยังให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอีกด้วย… นี่มัน… เจ้าเด็กหนุ่มหน้าตาดีจากเมืองชิงซีอย่างนั้นหรือ ?”
“หืม ? เมื่อครู่มีใครพูดว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ ?” ซูตงเซวี่ยปรากฏตัวขึ้นและจ้องไปยังศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณอย่างใจจดใจจ่อ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น… นายท่าน ในฐานะของหัวหน้าเลขานุการของยมโลก ท่านสามารถปล่อยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าก็ได้…”
ฉินเย่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือก “เจ้านี่ช่างเก่งในเรื่องหาเข็มในกองฟางจริง ๆ” [1]
ซูตงเซวี่ยกระแอมออกมาแห้ง ๆ “นั่นจะเป็นคำอธิบายที่เห็นภาพเกินไป… แต่คำว่า ‘เข็ม’ นั้นออกจะดูแย่ไปสักนิด… เราเปลี่ยนไปใช้คำว่าหา ‘สาก’ ในกองฟางแทนดีหรือไม่ ?”
ตู้ม ! ทว่าก่อนที่นางจะเอ่ยจบ หญิงสาวก็ถูกส่งกระเด็นออกไปจากการโจมตีอย่างรวดเร็วของอาร์ทิส อย่างไรก็ตาม นางรีบบินกลับมาราวกับแมลงสาบที่ดื้อรั้นดังเดิม
ในขณะเดียวกัน พลังหยินที่อยู่รอบ ๆ ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณก็สั่นไหว พายุพลังหยินพัดผ่านพื้นที่และมาบรรจบเข้าด้วยกันภายในศาลาก่อนจะก่อตัวเป็นร่างเงาสองร่างอย่างรวดเร็ว
[1] หาเข็มในกองฟาง (look for a needle in a haystack) หมายถึงหาสิ่งที่ยากแก่การหา เปรียบเทียบกับสำนวนไทยที่ว่างมเข็มในมหาสมุทร