ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 335 สินค้าระดับไฮเอนด์
บทที่ 335: สินค้าระดับไฮเอนด์
ฉินเย่ไม่รอช้า ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขาจะต้องระงับความตื่นเต้นภายในจิตใจของตนเอาไว้ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และเขายังต้องใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในปัจจุบันในการสรุปแผนการทั้งหมดอีกครั้ง
การประชุมราชสำนักจะต้องได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ฉินเย่ให้สัญญากับตัวเองว่าเขาจะลุกขึ้นมาและทำการแสดงที่โดดเด่นจนราชทูตทั้ง 12 จะต้องตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิวจี้หนู จากนั้น เขาก็จะทำให้คนทั้งหมดยอมเปิดพรมแดนของตัวเองและสร้างเส้นทางการค้าระหว่างโลกใต้พิภพของจีนและของแดฮันขึ้นมาให้จงได้
“ไม่พอ… ยมโลกในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ…”
“เป้าหมายของเรากระจัดกระจายเกินไป เราจะต้องชัดเจนให้มากกว่านี้ สำหรับตอนนี้เราควรจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ให้เสร็จสิ้นก่อนปลายปี ยกตัวอย่างเช่น ในเมื่อเราต้องการจะเป็นพ่อค้าอาวุธในทันทีที่เส้นทางการค้าถูกเปิด สิ่งแรกที่เราควรให้ความสนใจก็คือการพัฒนาชุดเกราะ !”
“ที่ผ่านมาเรามองข้ามเรื่องนี้เกินไป อย่างของชุดเกราะที่ต้องการมากกว่ากระดองของแมลงแห่งหายนะ เรายังต้องพิจารณาถึงเรื่องของเชือกที่จะใช้และฝีมือของช่างฝีมือที่มีอยู่อีกด้วย เราควรจะระงับการวิจัยและงานก่อสร้างที่สำคัญน้อยกว่าออกไปก่อนเพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาชุดเกราะ ด้วยวิธีนั้น… เราจะสามารถสร้างสิ่งที่งดงามออกมาได้ภายในปลายปีอย่างแท้จริง สิ่งนี้จะทำให้ดวงตาของราชทูตทั้ง 12 จะต้องลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความอิจฉา”
เขาลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังกำแพงสีขาวที่อยู่รอบ ๆ นี่คือครั้งแรกที่เขาเยือกเย็นและนิ่งสงบขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาตัดสินใจด้วยความตั้งใจของตัวเองที่จะทำอะไรบางอย่างด้วยใจเต็มร้อย
เขายอมทุ่มสุดตัว !
ฉินเย่มักหาทางออกหรือกลยุทธ์หลบหนีไว้ให้ตัวเองเสมอ แม้แต่ในการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ เขาก็มีความคิดที่จะทิ้งถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีและหนีหายไปเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ครั้งนี้… มันเป็นครั้งแรกที่เขาต้องการที่จะพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง
ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนและทางเลือกมากมาย ระยะเวลาร้อยปีอาจจะไม่นานมากนัก แต่มันก็ไม่ได้สั้นเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดสามารถรักเขาได้ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนเหล่านั้นได้เพียงแค่ 5-6 ปีเท่านั้นก่อนที่เขาจะต้องเริ่มต้นใหม่เพื่อที่จะไม่ทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ข้างหลัง
มันไม่เพียงจะทิ้งความโศกเศร้าไว้ภายในใจของคนที่เขารัก แต่มันยังทิ้งบาดแผลที่ไม่สามารถลบเลือนได้ไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจของเขาอีกด้วย ยิ่งมันมีมากเท่าไหร่ จิตใจของเขาก็ยิ่งบอบบางมากขึ้นเท่านั้น และมันก็ทำให้เขาอ่อนแอต่อความผันผวนของชีวิตมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เขาจึงเรียนรู้วิธีที่จะทำให้หัวใจแข็งกระด้าง เรียนรู้ที่จะหัวเราะกับสิ่งที่ชีวิตมอบให้ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยไม่สนใจสิ่งใด เพราะอย่างไรแล้ว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้คนโดยรอบก็คงอยู่เพียงไปกี่ปีเท่านั้น ดังนั้นมันมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างไร้ขอบเขตกันเล่า ? และจากนั้น พวกเขาก็แยกจากกันหลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายจากห่าง ๆ แต่ไม่ได้พบเจอกันอีก จากนั้น เขาก็จะคอยมองดูอีกฝ่ายอยู่ห่าง ๆ คิดถึงอย่างเงียบ ๆ …จนกระทั่งพวกเขาตายจากไป
แต่ถึงกระนั้น ท่ามกลางความคิดเหล่านี้ ในที่สุดเขาก็พบเจอกับความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถก้าวข้ามการทดสอบของเวลา โลกใบนี้กว้างใหญ่มาก และเขาก็ไม่เชื่อว่าคนที่ไม่แก่และไม่ตายอย่างเขาจะไม่สามารถพบเจอคู่ของตัวเองได้ !
ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยไปยังอนาคตอันใกล้ขณะที่เขายังคงพึมพำกับตัวเอง “หากเราต้องการให้กษัตริย์แห่งฮันยางระบุตำแหน่งของใครบางคนให้ เกรงว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้จะยังไม่พอ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ยมโลกแห่งใหม่ก็อยู่ห่างจากโลกใต้พิภพแห่งฮันยางในเวลานี้เป็นอย่างมาก อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องปฏิบัติต่อเราในฐานะของแขกผู้สูงศักดิ์หรือในฐานะที่เท่าเทียมกันเราถึงจะสามารถเอ่ยคำขอเหล่านั้นกับเขาได้ อีกนัยหนึ่งก็คือเราจะต้องแข็งแกร่งและมีอำนาจมากเพียงพอ !”
“และนี่ก็เฉพาะในกรณีที่เราต้องการรับรองความปลอดภัยของผู้ที่เราตามหาด้วย อีกความหมายหนึ่งก็คือ เราต้องทำให้พวกเขาปฏิบัติต่อเราด้วยความเคารพสูงสุด เหมือนกับพวกเขากำลังมองมาที่เทพแห่งความมั่งคงในดินแดนของตนเอง สำหรับสิ่งนั้น การเป็นเพียงพ่อค้าอาวุธธรรมดา ๆ ยังไม่เพียงพอ เราจะต้องมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถขาดได้ในชีวิต !”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้นและเขาก็จมดิ่งอยู่ในความคิดมากมายของตัวเอง ขณะที่ฉินเย่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เครื่องบินก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองเป่าอันอย่างช้า ๆ
โจวเซียนหลงและผู้ติดตามของเขายืนรอรับพวกเขาอยู่ที่สนามบินอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของคนทั้งหมดแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของหวังเฉิงห่าว ทางสำนักได้จัดพิธีไว้อาลัยให้กับเด็กหนุ่ม และนักเรียนทุกคนก็ต่างเข้ารวมในงานนี้
เย่ซิงเฉินกัดริมฝีปากของตัวเองขณะที่ยืนอยู่ในกลุ่มนักเรียนอย่างเงียบ ๆ สำหรับเขา… ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
นี่คือเพื่อนแท้คนแรกของเขาในแดนมนุษย์
เขาเกิดมาในครอบครัวของผู้ฝึกตน ในตอนที่เขาเข้ามาในสำนักฝึกตนแห่งแรก เขาได้ถูกจัดให้พักอยู่ห้องเดียวกันกับหวังเฉิงห่าว พวกเขามักจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทานกันหลังจากที่ไฟถูกดับลง พูดคุยเกี่ยวกับหนังที่เพิ่งได้ดู และแม้แต่ฝึกฝนด้วยกัน แต่แล้ว… หวังเฉิงห่าวกลับจากไปอย่างกะทันหันแบบนี้
ฉินเย่เองก็ได้รับอนุญาตให้นอนพักอยู่ที่ห้องเป็นเวลาหนึ่งเดือน เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัย ศูนย์วิจัย SRC หลายคนเดินทางมาเพื่อตรวจอาการของเขาด้วยตัวเอง เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่ติดอยู่ที่ตัวของเขาในขณะที่อยู่บนเครื่องบินตรวจจับได้ถึงบางสิ่งบางที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเขา แต่มันกลับไม่มีแพทย์คนใดสามารถหาร่องรอยของการบาดเจ็บที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้เลย ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร พวกเขาก็ไม่เจอสิ่งที่ผิดปกติ
และเพราะมีคนเข้าออกห้องของเขาในทุกวัน ฉินเย่จึงพัฒนานิสัยที่จะหลับในตอนกลางวันและตื่นขึ้นในตอนสามทุ่มเพื่อกลับไปยังยมโลกแห่งใหม่เพื่อจัดการกับกิจการต่าง ๆ เพราะหากมีใครอยู่ด้วยในตอนที่หยิบเอกสารที่ต้องได้รับการอนุมัติจากเขาขึ้นมา เขาก็คงจะไม่สามารถอธิบายตัวเองได้
……
ฟึ่บ… กลับมาที่ยมโลก ฉินเย่นั่งอยู่หน้าโต๊ะของตัวเอง อ่านเนื้อหาเอกสารจากกองต่าง ๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงกลางเดือนตุลาคม เขากลับมาที่เมืองเป่าอันได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว และวันประชุมของราชสำนักก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เช่นกัน
ทางศูนย์วิจัย SRC ได้ยกสถานพยาบาลและคนของพวกเขากลับไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือ ยันต์แห่งความเป็นตายทำงานครั้งที่สองในขณะที่ฉินเย่กำลังอยู่ในยมโลก สร้างความเจ็บปวดให้เขาทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย โชคดี ด้วยพลังของสมุดแห่งความเป็นตาย มันจึงยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
“ท่านฉิน” ซูตงเซวี่ยเดินเข้ามาและเคาะประตู “รัฐมนตรีทั้งหมดมาถึงแล้ว และไม่มีผู้ใดขาด ท่านต้องการจะเริ่มการประชุมเลยหรือไม่ ?”
ฉินเย่สวมแว่นตาคู่เดิม ช่วงนี้เขาอ่านเอกสารเป็นจำนวนมาก มากจนเริ่มเวียนหัวเล็กน้อย เด็กหนุ่มปรับระดับแว่นตาของตัวเองและเอ่ยตอบเสียงเบา “มาเริ่มกันเลย”
ตอนนี้ซูตงเซวี่ยเป็นเลขาธิการคนแรกของยมโลก นางโค้งคำนับและเดินจากไป จากนั้น ภายในเวลาไม่นาน คนกว่าสิบคนก็เดินเข้ามา รวมไปถึงอาร์ทิส หวังเฉิงห่าว และโนบูนางะ
“เชิญนั่ง” ฉินเย่พยักหน้า และคนทั้งหมดก็นั่งลงอย่างรวดเร็ว อาร์ทิสและหวังเฉิงห่าวจ้องไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความตกตะลึงเล็กน้อยในใจ
มันเพิ่งผ่านมาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น…
ฉินเย่มักจะรักษาบุคลิกที่เยือกเย็นและสูงศักดิ์ในขณะที่อยู่ในยมโลก และนั่นหมายความว่าอย่างไร ? มันหมายความว่ามันคือความรู้สึกที่ผู้อื่นได้รับจากการแสดงท่าทีของเด็กหนุ่ม ไม่ใช่บุคลิกส่วนตัวของเขาเอง
แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
แม้แต่อาร์ทิสก็สัมผัสได้ว่าร่างของฉินเย่แผ่รัศมีของความยิ่งใหญ่ออกมามากกว่าแต่ก่อน มันยังคงสูงศักดิ์และเยือกเย็นเช่นเดิม และมันไม่ได้เป็นเพียงการแสดงอีกต่อไป พวกนางสามารถบอกได้แล้วว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของอีกฝ่ายในยมโลก
“…อำนาจของความรักนั้นไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง… ไม่สิ บางทีข้าควรจะบอกว่าไม่ว่าใครก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ตราบใดที่พวกเขาเชื่อมั่นในตนเองและเดินหน้าต่อไปอย่างเต็มที่…” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาเบา ๆ ขณะที่นั่งหลังตรง นางคือนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของยมโลก นางจะสามารถเที่ยวเล่นไปนู่นไปนี่ได้อย่างไรในเมื่อจ้าวนรกนั้นทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง ? นั่นจะไม่เป็นการโอหังเกินไปหรืออย่างไร ?
“ข้าได้อ่านรายงานที่ส่งมาแล้ว” ฉินเย่หยิบเอกสารขึ้นมาและส่งให้เลขานุการที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตนเพื่อส่งต่อมันให้กับตนอื่น ๆ “นี่คือเอกสารการฑูตฉบับแรกของยมโลกที่ถูกร่างขึ้นโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหลี่โมวหาน ด้วยจุดประสงค์เพื่อเชิญราชทูตทั้ง 12 ของยมโลกกลับมาเพื่อเข้าร่วมการประชุมของราชสำนัก โปรดลองอ่านดู หากไม่มีข้อโต้แย้งหรือคำคัดค้านใด ๆ เราจะส่งมันให้กับพวกเขาในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน”
นี่คือการทูตครั้งแรกของยมโลกแห่งใหม่ ! คนทั้งหมดต่างรู้ดีว่าพวกเขาจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด !
ดังนั้นพวกเขาจึงอ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างละเอียด และก็หยิบประเด็นขึ้นมาพูดกันเป็นระยะ ๆ จากนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขาถึงส่งเอกสารกลับคืนให้ที่หัวโต๊ะ ก่อนที่ฉินเย่จะเคาะโต๊ะเบา ๆ “มีใครมีข้อโต้แย้งอื่น ๆ อีกหรือไม่ ?”
เงียบ
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้และเริ่มตีพิมพ์ได้เลย เจ้าหน้าที่หลี่จีสี่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดส่งเอกสารเหล่านี้ด้วยตัวเอง” เขาวางเอกสารกลับที่เดิมขณะที่ผู้จดบันทึกเนื้อหาการประชุมรีบจดเนื้อหาทั้งหมดโดยเร็ว จากนั้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้น “เมื่อ 20 วันที่ผ่านมา ข้าได้ขอให้ทุกคนหยุดงานที่พวกเขากำลังทำอยู่และสั่งให้ช่างฝีมือและคนงานที่เก่งที่สุดทำการออกแบบและพัฒนารูปแบบชุดเกราะและวิธีการผลิตที่ดีที่สุดออกมา ข้าอยากรู้ว่ามีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
วิญญาณผู้หญิงตนหนึ่งยืนขึ้น นางชื่อหวังซู หัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์ ในตอนที่ยังมีชีวิต นางเคยเป็นรองนายกเทศมนตรีของเมืองอันหนาน มณฑลอันฮุ่ย เมื่อเสียชีวิต นางก็ถูกย้ายกลับมาฝังที่บ้านเกิดของตัวเองซึ่งก็คือเมืองเป่าอัน ที่ซึ่งนางถูกรับเลือกโดยยมโลกแห่งใหม่
“ท่านฉิน ข้าได้เตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในกลุ่มของเรามีศาสตราจารย์หลายท่านที่มีประสบการณ์ในการทำวิจัย เรามีนักเคมีและนักฟิสิกส์หลายคนที่ถูกย้ายไปทำงานภายใต้การดูแลของท่านโอดะ อย่างไรก็ตาม ข้าอยากจะขอเสนอให้เราดำเนินการพัฒนาแบบองค์รวมมากขึ้นได้หรือไม่ ? ตอนนี้ทุกอย่างอาจจะยังดูไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่… ทันทีที่งานก่อสร้างเสร็จ มันจะเป็นเวลาที่พวกเราจะเริ่มเห็นทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ปัญหาหลัก ๆ ที่อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ต้องเผชิญหน้าสามารถถูกแก้ไขโดยสมาชิกที่มีประสบการณ์ในด้านนี้โดยตรง การให้พวกเขาย้ายฝ่ายอย่างกะทันหันอาจเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของงานทั้งหมด”
ฉินเย่พยักหน้า
แต่เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดเป็นคนบอกกันว่าจ้าวนรกไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้ ?
“ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ “อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอยู่นี้ไม่มีทางสนับสนุนการมีอยู่ของกองกำลังของเราได้ ข้าเกรงว่าพวกเจ้าทุกคนคงจะไม่เข้าใจว่าสงครามระหว่างวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร ข้ามีโอกาสได้เห็นมันมาแล้วครั้งหนึ่ง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าคิดว่าทำไมพวกข้าราชการศักดินาถึงเดินทางกลับมาที่นี่ในปลายปี ?”
เขาเงียบและไล่สายตามองคนทั้งหมดด้วยแววตาที่ลุกโชน “พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อที่จะตรวจสอบสถานการณ์ ! พวกเขามาที่นี่เพื่อหาจุดอ่อนของข้า ! เพื่อมาดูว่าเรายังมีอำนาจเพียงพอที่จะสามารถควบคุมพวกเขาได้อยู่อีกหรือไม่ !”
“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้ทบทวนทุกอย่างดูอีกครั้ง และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราในตอนนี้ก็คือการแยกเขี้ยวของเราใส่พวกเขา !”
“แสดงความแข็งแกร่งทางการทหารให้พวกเขาได้เห็น !”
“ตอนนี้มันอาจจะดูเหมือนกับว่าเรากำลังพุ่งเน้นไปที่การทหารจนเกินไป แต่ข้าเชื่อว่าผลประโยชน์ทั้งหมดจะไม่ต้องไปกว่าการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาภาพรวมเลยแม้แต่น้อย”
หวังซูไม่ได้ผลักดันประเด็นของตัวเองแต่อย่างใด ด้วยการทำงานในด้านการเมืองมากว่าหลายปี นางรู้ดีว่าโทษของการพูดมากเกินไปนั้นเป็นเช่นไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงผู้ที่อยู่จุดสูงสุดขององค์กรเท่านั้นที่จะรู้ถึงขอบเขตการพิจารณาทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจอะไรออกไป
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเอ่ยรายงานของตนต่อ “หลังจากคำสั่งสุดท้ายของท่าน ตอนนี้ผ่านมาเป็นเวลา 28 วันแล้ว พวกเราได้เริ่มศึกษาชุดเกราะต่าง ๆ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้มาจากยมโลกแห่งเก่า จนถึงตอนนี้ หากตัดชุดเกราะทั้งหมดที่ได้รับการเพิ่มความแข็งแกร่งโดยยันต์ออกไป สิ่งที่เราค้นพบมีดังนี้”
“ประการแรก ชุดเกราะและอาวุธทั้งหมดจะสามารถหล่อหลอมขึ้นได้เฉพาะในอาคารพิเศษที่มีชื่อว่าหอแห่งการสั่นสะเทือน นี่คือสิ่งที่ทางเราได้รู้มาจากรัฐมนตรีอรากษส มิเช่นนั้นเราจะไม่สามารถตัดกระดองของแมลงแห่งหายนะให้เป็นรูปเป็นร่างต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ หอแห่งการสั่นสะเทือนยังทำให้เราสามารถเข้าถึงกระบวนการขึ้นรูปที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะยมโลกได้อีกด้วย”
“ประการที่สอง การประกอบชุดเกราะถูกขึ้นโดยเส้นใยชนิดพิเศษ พืชในยมโลกแตกต่างจากพืชในแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญที่สุด พวกมันมีเส้นใยพิเศษที่ทนทานและก็นุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อบวกกับคำแนะนำจากท่านมุไรจากแผนกวิจัย พวกเราจึงตัดสินใจที่จะใช้เส้นใยที่พบในก้านและลำต้นของต้นลบความทรงจำ ผลที่ออกมาค่อนข้างน่าทึ่งเป็นอย่างมาก สรุปโดยรวมคือเราจำเป็นจะต้องตัดกระดองของแมลงแห่งหายนะในหอแห่งการสั่นสะเทือน จากนั้นจึงประกอบมันเป็นชิ้นเดียวกันโดยใช้เส้นใยพืช ในทางทฤษฎีแล้ว เราสามารถเริ่มการผลิตได้เลย แต่ข้าเกรงว่าความเร็วในการผลิตคงจะไม่สูงนัก”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “ใช้เวลาเท่าใด ?”
“หากระดมวิญญาณจำนวนหมื่นตนมาช่วยในการกระบวนการผลิต พวกเราจะสามารถผลิตชุดเกราะได้ทั้งสิ้น 300 ชุดในเวลาสามวัน และนี่ก็เป็นการคาดการณ์ในกรณีที่ดีที่สุด”
นั่นค่อนข้างต่ำ… ฉินเย่เคาะนิ้วบนโต๊ะ ราชทูตทั้ง 12 มีทหารวิญญาณภายใต้บังคับบัญชาอย่างน้อย 5,000 นาย ต่อให้ 6 ใน 12 เลือกที่จะตั้งตนเป็นอิสระ มันก็ยังเหลือทหารอยู่อีกกว่า 30,000 คนที่ต้องใช้ชุดเกราะ และด้วยความเร็วเท่านี้ มันก็ต้องใช้เวลาเป็นปีในการทำให้ครบ และนี่ยังไม่ได้พิจารณาถึงพวกราชทูตที่อาจเริ่มรวบรวมกองกำลังของตัวเองหลังจากที่ไม่ได้ยินข่าวคราวจากยมโลกแห่งเก่าในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาอย่างหลิวจี้หนูอีก
เขาเกรงว่าตัวเลขมันจะเพิ่มเป็นราว ๆ 60,000 แทนเนี่ยสิ…
เมื่อจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า การผลิตก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น ด้วยความเร็วที่น่าหดหู่ในการจัดเตรียมสินค้า กระแสเงินที่ไหลช้า และชื่อเสียงที่ย่ำแย่ตั้งแต่ต้น มันอาจจะนำไปสู่คำร้องเรียนและความไม่พอใจ
แล้วถ้า… เราทำเส้นทางบูติกระดับไฮเอนด์แทนล่ะ ?
นี่คือความคิดที่เพิ่งแว่บเข้ามาภายในหัวของฉินเย่และเขาก็ตบโต๊ะเสียงดังด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
คนทั้งหมดต่างต้องมองไปด้วยความอย่างรู้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจ เด็กหนุ่มยังคงไล่ตามความคิดของตัวเองต่อไป
ใช่แล้ว… เราสามารถใช้เส้นทางบูติกระดับไฮเอนด์ได้ เขามัวแต่ให้ความสนใจกับเส้นทางการค้าทั้ง 12 จนลืมนึกถึงวิญญาณที่เขากำลังทำการค้าด้วยอย่างสิ้นเชิง
วิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดต่างเป็นข้าราชการศักดินามาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว แต่ผู้ที่ตามกาลเวลากลับมีอยู่ไม่มากนัก ! เขาหมายถึง… ดูอย่างหลิวจี้หนูสิ !
พวกเขามีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง ดังนั้น… พวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจและติดจะดูถูกสังคมจีนสมัยใหม่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมจีนโบราณเท่าที่ควรอีกด้วย และในเมื่อเป็นเช่นนั้น… เราก็สามารถนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ !
แน่นอน มันอาจจะมีแนวคิดบางอย่างในสังคมสมัยใหม่ที่ยังไม่น่าพอใจนัก แต่มันก็ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้มันถูกเรียกว่าความก้าวหน้า
ยกตัวอย่างเช่น… การถือกำเนิดขึ้นของสินค้าที่แสนจะฟุ่มเฟือย
อีกความหมายหนึ่งก็คือฉินเย่กำลังคิดที่จะผันตัวเองเป็นพ่อค้าอาวุธ !