ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 338 การส่งมอบพระราชกฤษฎีกา
บทที่ 338: การส่งมอบพระราชกฤษฎีกา
ณ เวียง เมืองหลวงของล้านช้าง
ที่วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยแห่งชาติล้านช้าง นักศึกษาจำนวนมากต่างยื่นหน้าออกมาจากห้องพักของตน จ้องมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ
อีกาจำนวนนับไม่ถ้วนบินมารวมตัวกันจากทุกทิศทาง ก่อตัวเป็นคลื่นอีกาสีดำขนาดใหญ่ โทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูปจำนวนมากถูกหยิบมาจับภาพเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โจวกู่มองท้องฟ้า จากนั้นจึงประสานมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง และหนึ่งในอีกาก็ปรากฏตัวขึ้นบนมือของเขา
มันคือนกส่งสาร
เสี้ยววินาทีต่อมา เขารีบมุ่งหน้ากลับห้องพักของตน ล็อกประตูและหายตัวไปจากห้อง
ตู้ม ! เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ดวงไฟลูกใหญ่ก็ระเบิดขึ้นที่ใจกลางของท้องฟ้าที่มืดมิด นี่เป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นติดกับแม่น้ำ คล้ายกับอาณาจักรหวูตะวันออก[1] แต่มันเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นเพียงแบบจำลองของอาณาจักรหวูตะวันออกในยุคสมัยที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดเท่านั้น ธงสีเขียวที่มีคำว่า ‘หวู’ โบกสะบัดอย่างยิ่งใหญ่อยู่เหนือเมือง แต่มันกลับดูราวกับว่าพวกมันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจากใบหน้าน่ากลัวที่ค่อย ๆ ลอยลงมาจากท้องฟ้าดำมืดด้านบนไม่มีผิด
รูปลักษณ์ของเขาแตกต่างไปจากเหล่าวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ มันไม่ได้มีเปลวไฟนรกสีเขียวหยก แต่ดวงไฟดังกล่าวกลับเป็นดวงไฟวิญญาณแห่งกรรมเก้าชั้นซึ่งมีสีแดงเข้ม แผดเผาอย่างรุนแรงและสร้างความหวาดกลัวให้ผู้ที่อยู่โดยรอบ นี่คือร่างที่แท้จริงของเทพแห่งเพลิงจิวยี่ ผู้ที่เปลวไฟนรกธรรมดาไม่สามารถเทียบได้
คลื่นเปลวไฟกระเพื่อมออกราวกับดอกบัวที่เบ่งบาน เผยให้เห็นร่างในชุดเกราะสีขาวสวมผ้าคลุมสีแดง และมีดาบยาวห้อยข้างเอว ร่าง ๆ หนึ่งก้าวออกมา
เขามีแววตาที่เฉียบคม มันคมจนดูเหมือนจะสามารถตัดเข้าไปในจิตใจของผู้ที่พบเห็นได้ ใบหน้าคมที่ดูแล้วให้ความรู้สึกอ่อนโยน เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชนอยู่ภายในดวงตา เขาจับผ้าคลุมของตนเองและสะบัดมันเบา ๆ เปลวไฟโดยรอบพลันสลายไปในพริบตา คนทั้งหมด รวมถึงเหล่าแม่ทัพทั้งสิบที่อยู่ด้านล่างต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพ “คารวะท่านแม่ทัพใหญ่ !”
พวกเขาทั้งหมดต่างยืนอยู่บนเวทีสูงซึ่งทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของโลกใต้พิภพแห่งถังหมิงได้อย่างชัดเจน ม้วนกระดาษสีทองถูกวางอยู่บนแท่นที่วางอยู่เบื้องหน้าของจิวยี่
พระราชกฤษฎีกา !
จิวยี่ก้าวออกมาข้างหน้า คลี่ม้วนกระดาษออกและเริ่มอ่านเสียงต่ำ “… ขอเรียกตัวข้าราชการศักดินาทุกท่านกลับมายังยมโลกในปลายปีนี้สำหรับการประชุมราชสำนักในรอบ 50 ปี… กำหนดการทั้งหมดถูกระบุไว้ดังข้างต้น”
เนื้อหาทั้งหมดถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงเข้มบนพื้นหลังสีขาว ตัวม้วนกระดาษเป็นสีทอง ถูกตกแต่งด้วยสัญลักษณ์เมฆที่ด้านนอกและมีพู่สีทองห้อยลงมาจากมัน ดูประณีตและจริงจังเป็นอย่างมาก
จิวยี่ไล่นิ้วไปตามตัวอักษรทั้งหมดก่อนจะหันหน้าไปมองยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป
เขามองเห็นแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปพร้อมกับเรือรูปร่างแปลก ๆ ทอดสมออยู่ เรือดังกล่าวสว่างไสวด้วยเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอย่างต่อเนื่อง จอดแน่นิ่งอยู่ที่ชายฝั่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโลกใต้พิภพแห่งถังหมิง
“ในที่สุดมันก็มาถึง…” เขาหลบตาลงและเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “หลังจากที่ผ่านมานานร้อยปี… ในที่สุดยมโลกก็ได้เรียกตัวเรากลับไปเข้าร่วมการประชุมราขสำนักอีกครั้ง… กล้าดีจริง ๆ…”
“นายท่าน…” หนึ่งในแม่ทัพประสานมือกับกำปั้นและเอ่ยด้วยความเคารพ “พวกเรา… จะไปหรือไม่ ?”
จิวยี่ลืมตาขึ้นและครุ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกัดฟันแน่นและเอ่ยว่า “เราจะไป !”
“หากเรามีคุณธรรมมากพอเราจะต้องไป นอกจากนี้…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งและแย้มยิ้ม “การประชุมราชสำนักในครั้งนี้… จะต้องไปใช่การประชุมธรรมดา…”
“นี่คือครั้งแรกที่ราชทูตทั้ง 12 ถูกเรียกตัวกลับตั้งแต่ยมโลกแห่งเก่าล่มสลายไป เมื่อปราศจากซุนปิน สุมาอี้ จูกัดเหลียง หลิวปั๋วเวิน ชินหลง และแม่ทัพผู้โด่งดังคนอื่น ๆ ในอดีต… ข้าอยากจะเห็นว่ายมโลกแห่งใหม่จะใช้สิ่งใดเพื่อควบคุมให้เราอยู่ภายในกรอบ !”
“มันจะต้องเป็นการแจกจ่ายผลประโยชน์ และการประชุมราชสำนักในครั้งนี้ก็จะเป็นตัวกำหนดว่าสถานการณ์ในทวีปตะวันออกจะเป็นเช่นไรต่อไป ดังนั้นเราจะพลาดเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร ?” วิญญาณตนหนึ่งที่แต่งกายในชุดสีขาวและมีเปลวไฟลุกโชนในดวงตาเอ่ยขึ้น “ในความเป็นจริง ข้าสามารถพนันได้เลยว่าการประชุมที่กำลังจะมาถึงนี้จะบอกเราว่าขั้วอำนาจจะเอนเอียงไปทางฝั่งใดในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า มันคงจะน่าเสียดายมากหากเราพลาดเรื่องอะไรแบบนั้น ?”
“ลู่จื่อหมิงอย่างนั้นหรือ…”[2] จิวยี่แย้มยิ้มและโบกมือเบา ๆ ส่งผลให้ผ้าคลุมของเขาสะบัดไปมา จากนั้นเสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วโลกใต้พิภพแห่งถังหมิง “แม่ทัพทั้งหมด จงฟังคำสั่งของข้า”
“ยมโลกแห่งใหม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในแผ่นดินจีน และพวกเขาก็ได้ส่งพระราชกฤษฎีกามาเพื่อเชิญให้ข้าราชการศักดินาทั้งหมดกลับไปยังยมโลก จงระดมกองกำลังและเตรียมทหาร 3,000 นายเพื่อเดินทางไปที่จีนกับข้าในสิ้นปีนี้ !”
“รับทราบ !!” เสียงตอบรับนับพันดังก้องพร้อมกันไปทั่วโลกใต้พิภพ ในครูต่อมา ธงจำนวนมากปลิวไปมาราวกับกระแสน้ำ ในขณะที่ท้องฟ้าสว่างไสวด้วยเปลวไฟนรกสีแดงเข้มที่ดูเหมือนกับหิ่งห้อยในค่ำคืนฤดูร้อน
พายุอันทรงพลังพัดผ่านไปทั่วท้องฟ้า ปลุกปั่นความตื่นเต้นให้กับเหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านล่างได้เป็นอย่างดี หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หนึ่งในแม่ทัพด้านล่างก็ยกเอกสารอีกฉบับหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะของตนและนำเสนอมันให้กับจิวยี่ “ท่านแม่ทัพใหญ่ นี่คือแบบสอบถามที่ถูกส่งมาพร้อมกับพระราชกฤษฎีกา ท่านต้องการจะดูมันด้วยหรือไม่ ?”
จิวยี่หยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมา อ่านเนื้อหาทั้งหมดและหัวเราะออกมา “ในเวลาเช่นนี้… ยมโลกคงจะมีอะไรอีกหลายอย่างให้ต้องเตรียมการสำหรับการประชุมราชสำนักที่กำลังจะมาถึง แต่ท่านจ้าวนรกองค์ใหม่กลับทำสิ่งนี้… เพื่อเป็นการแสดงความปรารถนาดีต่อเราอย่างนั้นหรือ ?”
“ไม่ใช่ว่าเรื่องไร้ประโยชน์นี่จะทำให้ยมโลกดูอ่อนแอมากเกินไปหรอกหรือ ?”
ปากกาด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา “แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็ยิ่งดีเป็นอย่างยิ่งที่เล่นเกมนี้ไปกับเจ้าด้วย…”
……
ณ คันฑิปุระ เมืองหลวงของลิชชาวี[3] ที่ถูกตัดผ่านโดยแม่น้ำพาคมตีและแม่น้ำบิสนุมาติ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งที่ตั้งอยู่ใต้ผืนดินของเมืองคันฑิปุระ เมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในลิชชาวีนั้นหาใช่ชุดอาคารสไตล์ลิชชาเวี่ยน แต่กลับเป็นอาคารสีดำสนิทที่ถูกสร้างขึ้นในสไตล์ของราชวงศ์ฮั่นตอนปลายและราชวงศ์หมิงในประวัติศาสตร์ของจีน
มันดูยิ่งใหญ่และหรูหราเป็นอย่างมาก
พระราชวังของราชวงศ์หมิงนั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องของความงดงามและความกว้างขวาง ในความเป็นจริงแล้ว คำอธิบายถึงพระราชวังจีนโบราณส่วนใหญ่ล้วนอ้างอิงมาจากสถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น ความจริงจังและเคร่งขรึมมีให้เห็นทั่วทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน สวน และแม้แต่ศาลเจ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ท้องถนนอัดแน่นไปด้วยวิญญาณจำนวนมาก ในขณะที่ชายคาของศาลาหลายหลังถูกตกแต่งด้วยงานแกะสลักอันวิจิตรงดงามของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทุกประเภท ทุกอย่างโดยรอบดูรุ่งเรือง และอาจจะรุ่งเรืองกว่าโลกใต้พิภพของฮันยางเสียอีก !
ที่แห่งนี้คือโลกใต้พิภพแห่งลิชชาวี
อาคารไม้เจ็ดชั้นตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของโลกใต้พิภพ และปลายยอดของมันก็คือจุดสูงสุดท่ามกลางสิ่งก่อสร้างทั้งหมด ตัวอาคารแสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่เหมาะสมกับขุนนางผู้สูงศักดิ์ในสมัยราชวงศ์หมิง รูปปั้นตี้ทิงสีเขียวคู่หนึ่งถูกตั้งอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าหลักของตัวอาคาร ในขณะที่ด้านในถูกตกแต่งด้วยสีแดงและเหลือง เห็นได้ชัดว่าอาคารหลังนี้ดูสะดุดตามากกว่าอาคารอื่นๆ และความจริงจังของมันก็มากขึ้นอีกหลายเท่าเช่นกัน
ภายในห้องที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคารถูกตกแต่งด้วยเตาอั้งโล่ขัดเงา แจกันดอกไม้นานาชนิดและเครื่องเรียนที่โอ่อ่า วิญญาณขุนนางสูงอายุสวมเสื้อคลุมยาวสีแดงและเข็มขัดหยกตัวสั่นเทาขณะที่จ้องมองโต๊ะขนาดเล็กตรงหน้าของตน
เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในที่นี้ !
ร่างของเขาผอมบาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามวัยและเครายาวสีขาว เขาจ้องมองไปยังโต๊ะเบื้องหน้าที่มีม้วนพระราชกฤษฎีกาที่เปล่งประกายวางอยู่เขม็ง เขาอ่านมันอย่างช้า ๆ คำต่อคำ ขณะที่เปลวไฟนรกในดวงตาลุกโชน
“ดี… ดี… ดีมาก !!” หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็เอ่ยออกมา จากนั้นก็นั่งลงตามเดิม
“ท่านอวี๋” ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบนำถ้วยชามาให้และวางมาลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา อวี๋เชียนหยิบมันขึ้นมาและไล่นิ้วไปตามขอบถ้วนก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ราชทูตผู้นั้นอยู่ที่ใด ? เจ้าได้จัดเตรียมที่พักให้เขาแล้วหรือยัง ?”
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านสั่ง ทางเราได้จัดห้องพักที่ดีที่สุดให้เขา”
อวี๋เชียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หลับตาลงและพยักหน้าเบา ๆ เสียงที่เอ่ยออกมานั้นเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่มันก็ชัดเจนอย่างน่าแปลกประหลาด “รีบไปบอกให้ฉิวเต๋อไฮว่ระดมทหารชั้นยอด 5,000 นาย ! จัดหาอาวุธให้พร้อมและเตรียมมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหลวง !”
“มะ–… เมืองหลวง ?” ข้ารับใช้คนดังกล่าวชะงักไป
“เจ้าจะให้ข้าเรียกที่ตั้งของยมโลกแห่งใหม่ด้วยชื่อใดกันหากไม่ใช่เมืองหลวง ?!” อวี๋เชียนวางแก้วชาลงบนโต๊ะอย่างแรง น้ำช้าในถ้วยหกกระจายไปทั่ว หน้าอกของเอาสั่นเทาอย่างรุนแรง แทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังข่มความตื่นเต้นที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจของตัวเอง “มันผ่านมากว่าร้อยปีแล้วที่ยมโลกแห่งเก่าล่มสลายไป… และในที่สุดยมโลกแห่งใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น ! การก่อตั้งยุคสมัยใหม่หมายความว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก หากเราที่เป็นข้าราชการศักดินาไม่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์ แล้วผู้ใดจะทำ ?!”
มือขาวซีดทั้งสองข้างเท้าขอบโต๊ะ “ราชทูตทั้ง 12…ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อลักษณะนิสัยของพวกเขา ข้าสามารถคาดการณ์ได้เลยว่ามันน่าจะมีเพียงแค่สองหรือสามคนเท่านั้นที่เต็มใจที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับยมโลกที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ส่วนพวกที่เหลือนั้นเป็นเพียงพวกตัวปัญหาที่พร้อมจะก่อกบฏเท่านั้น !”
“นายท่าน… โปรดสงบใจลงเสียเถิด” ผู้เป็นข้ารับใช้ลูบหลังของเจ้าเหนือหัวของตนเบา ๆ
“เอาเถิด… อย่าโทษข้าที่ไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างราชทูตของพวกเราก็แล้วกัน” อวี๋เชียนเอ่ยเสียงเย็น ใบหน้าของเขาซีดเผือด ทว่าจิตสังหารที่อยู่ในน้ำเสียงของเขานั้นรุนแรงจนสัมผัสได้ ข้ารับใช้ข้าง ๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก “นายท่าน เช่นนั้น… กองกำลังของแม่ทัพฉิว…มันจะเป็นการดีจริง ๆ น่ะหรือที่เราจะเคลื่อนทัพพวกเขาโดยปราศจากพระราชกฤษฎีกาทางการทหาร…?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ?!” อวี๋เชียนสะบัดแขนเสื้อของตน “พวกเราทำสิ่งนี้ก็เพื่อปกป้องท่านจ้าวนรกองค์ใหม่ ! เราจะต้องการพระราชกฤษฎีกาทางการทหารไปทำไม ?! ข้าสามารถพนันได้เลยว่าจำนวนกองกำลังที่ไปรวมตัวกันที่เมืองเป่าอันในครั้งนี้จะต้องมีจำนวนอยู่ราว ๆ 30,000 หรือสูงกว่านั้นเป็นแน่ ! พวกเราจะปล่อยให้ผู้อื่นมาแย่งชิงบัลลังก์ไปไม่ได้ ! ข้าราชการที่สามารถไว้วางใจได้มากที่สุดมีเพียงตัวข้าและหยางจีเย่ กษัตริย์แห่งลูซอนเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ …เราสามารถพูดได้เลยว่าชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาคงได้จางหายไปหลังจากที่ขาดการติดต่อจากยมโลกมานานกว่าร้อยปีแล้ว พวกเราจะดูถูกความคิดของวิญญาณร้ายพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
เงียบ
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ข้ารับใช้คนดังกล่าวก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน แล้วแบบสอบถามที่ถูกส่งมาพร้อมกับพระราชกฤษฎีกาเล่า ?”
“โง่เง่ายิ่งนัก !” อี๋เชียนตะคอกกลับด้วยความเดือดดาล “พวกเรากำลังจะเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ ! เราจะมามีอารมณ์ในการนั่งตอบแบบสอบถามโง่ ๆ นั่นได้อย่างไร ?! ส่งต่อไปแล้วให้ผู้อื่นกรอก การประชุมราชสำนักครั้งนี้จะต้องวุ่นวายเป็นแน่ ! ราชทูตทั้ง 12 กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง… เหตุใดท่านจ้าวนรกองค์ใหม่ถึงยังมัวมาสนใจกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีก ?!”
………
ในขณะเดียวกัน ณ ภูฏาน
บนทุ่มหญ้าเขียวชอุ่มริมฝั่งแม่น้ำทีสตา ที่ซึ่งกระโจมสีทองขนาดขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่ ทว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่อยู่โดยรอบสามารถมองเห็นพวกมันได้เลยแม้แต่น้อย
มันคืออาณาจักรของเหล่าวิญญาณ และพวกมันก็ดูไม่ต่างอะไรกับยุคสมัยที่เฟื่องฟูของราชวงศ์หยวนเลยแม้แต่น้อย ม้าโครงกระดูกที่ถูกขี่โดยทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนมีอยู่ให้เห็นเต็มไปหมด ในขณะที่ธงประจำกลุ่มสะบัดพลิ้วไหวไปตามสายลมยามราตรี มันเป็นภาพที่แตกต่างจากรัฐบริวารอื่น ๆ ของยมโลกอย่างชัดเจน
การตกแต่งภายในกระโจมสีทองนี้ดูหรูหราเป็นอย่างมาก ไข่มุกและหยกถูกใช้ตกแต่งอยู่ทั่วทุกที่ ในขณะที่บนพื้นถูกปูด้วยพรมขนสัตว์ที่ถูกทำขึ้นมาโดยหนังของอสูรวิญญาณ แผ่นป้ายมากมายที่ถูกใช้จัดแสดงโครงกระดูกของเหล่าอสูรวิญญาณถูกแขวนอยู่ตามผนังของกระโจม ในขณะที่ลูกไฟนรกลูกใหญ่ลุกไหม้อย่างโชติช่วงอยู่ที่กึ่งกลางของกระโจม โต๊ะและเก้าอี้จำนวนมากถูกจัดไว้รอบลูกไฟยักษ์ และที่นั่งตรงกลางสุดก็ถูกจับจองโดยแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของราชวงศ์หยวน เขาถือแก้วไวน์อยู่ในมือขณะที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งได้ส่งสารมาให้ข้า พระราชกฤษฎีกาจากจ้าวนรกองค์ใหม่เองก็มาถึงแล้วเช่นกัน พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นผู้ช่วยที่ข้าไว้ใจ ดังนั้นข้าจึงอยากรู้ว่าพวกเจ้าแต่ละตนคิดว่าเราควรจะตอบกลับไปอย่างไร”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมาในทันที มันเห็นได้ชัดว่านี่เป็นการประชุมธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันกลับดูเหมือนว่าบรรยากาศโดยรอบพลันตึงเครียดขึ้น
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แม่ทัพนายหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “นายท่าน จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งได้เห็นแล้วว่าจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกนั้นมีอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ เขา…จะสามารถครองบัลลังก์ได้จริง ๆ น่ะหรือ ?”
“มันจะต้องไม่ใช่เรื่องง่าย” แม่ทัพร่างท้วมที่อยู่หัวโต๊ะกำมือรอบแก้วไวน์แน่น “มันจะต้องมีพวกโง่ที่ยังยืนยันที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับยมโลก… อย่างไรก็ตาม มันมีความเป็นไปได้ที่ยมโลกจะได้สมุดแห่งความเป็นตายไปแล้ว และหากเป็นเช่นนั้น… มันก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่เราจะทำสำเร็จ ต่อให้เราจะดื้อดันต่อไปก็ตาม”
สมุดแห่งความเป็นตาย… การพูดถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ทำให้คนทั้งหมดต่างรู้สึกหวั่นเกรง
“แต่นี่เป็นโอกาสที่ดี ! เราจะยอมยืนดูเด็กที่อายุไม่ถึง 20 ปีกลายเป็นจ้าวนรกองค์ถัดไปของยมโลกโดยจะไม่ทำสิ่งใดเลยน่ะหรือ ?!” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง “เขาจะต้องพิสูจน์ว่าตนเองควรค่าพอ ! ข้าอยากจะเห็นว่ากษัตริย์องค์ใหม่ของชาวฮั่นจะยังสามารถเทียบกับจักรพรรดิของราชวงศ์หมิงในสมัยก่อนได้หรือไม่ !”
ผู้เป็นหัวหน้าของคนทั้งหมดเริ่มลำบากใจ จากนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ขยำแก้วไวน์ในมือของตนด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้า “ไม่ เราไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้เช่นกัน ! ติดต่อกับกษัตริย์แห่งเจียวจื่อ กษัตริย์แห่งสยาม และกษัตริย์แห่งซานฟอตซีเอาไว้… รอดูว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับการเรียกตัวนี้ !”
“มันผ่านมากว่าร้อยปีแล้วตั้งแต่การรวมตัวของราชทูตทั้ง 12 ครั้งล่าสุด มันจะต้องเกิดการเปลี่ยนสมดุลของขั้วอำนาจเป็นแน่ ! ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว !”
แม่ทัพคนอื่น ๆ พยักหน้า หลังจากนั้น หนึ่งในแม่ทัพก็เอ่ยขึ้น “เช่นนั้น เราควรจะทำเช่นไรกับแบบสอบถามที่ถูกส่งมาพร้อมกับพระราชกฤษฎีกา ?”
“กรอกมันเสีย” ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยพร้อมโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เราจะยอมตามใจเขาสักเล็กน้อย ข้าเองก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าเด็กที่อายุไม่ถึง 20 ปีจะสามารถทำอะไรได้ ? นี่เขาคิดว่าตัวเองกำลังเล่นอยู่หรืออย่างไร ? เราจะตอบสนองต่อความอยากรู้อยากเห็นของเขาและปล่อยให้เขาได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสงบสุขในเมืองเป่าอันไปก่อน”
[1] หนึ่งในสามรัฐสำคัญที่มีอยู่ในช่วงค.ศ. 222-280
[2] แม่ทัพคนสำคัญยิ่งของง่อก๊กที่รู้จักกันในชื่อลิบอง มีชีวิตอยู่ในช่วงค.ศ. 178-220
[3] เมืองกาฐมาณฑุในเนปาล