ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 359 ดอกบัวทองแห่งคุณธรรม
บทที่ 359: ดอกบัวทองแห่งคุณธรรม
ฉินเย่กำลังจะเป็นบ้า
ไม่ กลับกัน เขาบ้าไปแล้ว
เด็กหนุ่มกำลังกลิ้งตัวไปมาในกองหินวิญญาณ เหมือนกับหนูที่เพิ่งตกลงไปในถังน้ำมัน เขากำลังมีความสุขมากจนแทบจะสามารถตายได้เลยในตอนนี้
ตอนนี้เขากำลังจะอยู่ภายในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ พื้นที่โดยรอบถูกปูด้วยหินแกรนิตอย่างประณีตและถูกขัดจนเงาวับ พื้นที่ทั้งหมดกว้างใหญ่ราวกับสนามฟุตบอล และมันก็เต็มไปด้วยกองหินวิญญาณและหีบมากมายที่ถูกเปิดออก กองสมบัติล้ำค่ามากมายปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด มันสามารถพูดได้เลยว่ายมโลกนั้นเต็มไปด้วยความร่ำรวยอย่างกะทันหัน ! ความสุขของการกลิ้งไปมาบนกองเงินคือสิ่งที่ฉินเย่ไม่เคยประสบมาก่อน !
“มาเลย~~ ความสุขทั้งหลาย~~ เราได้รับโชคครั้งใหญ่แล้ว~~ เย้~~” ฉินเย่ถือไข่มุกสีดำในมือ ทำท่าทางราวกับเด็ก ๆ ที่สนุกสนานกับการอาบน้ำ เขาทำท่าทางสงสัย “เฮ้อ~~…ดีจริง ๆ!”
ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น !
ราชทูตทั้ง 12 ได้เดินทางจากไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้ และในที่สุดเขาก็สามารถตรวจดูผลผลิตอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับมาจากการประชุมราชสำนักเสียที สถานที่ที่เขาอยู่คือห้องนิรภัยหมายเลข 1 ของยมโลกที่เขาได้สร้างเอาไว้ก่อนหน้านี้ ความมั่งคั่งที่กักเก็บอยู่ภายในปรากฏสู่สายตาของเขาทันทีที่ก้าวเข้าไป หลังจากจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างตกตะลึงอยู่ถึงห้านาทีเต็ม เขาก็พุ่งเข้าหามันราวกับสุนัขที่วิ่งเข้าหาน้ำเป็นครั้งแรก และกระโจนเข้าสู่มหาสมุทรแห่งความมั่งคั่งตรงหน้าทันที
ในห้องใต้ดินนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หินวิญญาณเท่านั้น มันยังมีแม้กระทั่งผ้าไหมที่ถูกทอขึ้นโดยวิธีพิเศษ พลังหยินอันหนาแน่นที่แผ่ออกมาจากผ้าไหมเหล่านี้บอกเขาว่ามันน่าจะเป็นผลผลิตพิเศษของดินแดนนั้น ๆ เขามองไปรอบ ๆ และพบว่ามันมีสมบัติมากมายหลายชนิด ทั้งหมดนี้จะต้องทำให้ระบบการเงินของยมโลกเติบโตขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย !
ระบบการเงินยังคงไม่ถูกนำออกมาใช้ หวงเลี่ยงชวนได้มาพูดคุยกับเขาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายรู้สึกว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะก่อตั้งสายการผลิตและอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงเปิดตัวระบบการเงินหลังจากนั้นทันที ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลงไป
แต่…พวกเขาอาจจะสามารถโปรโมทมันก่อนได้ใช่หรือไม่ ?
ผิดแล้ว… ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องพวกนั้น เขารวยแล้ว ! นี่คือความสุขของการร่ำรวย ! เร็วเข้า ลุกขึ้น ! ไปให้สูงกว่านี้ !
เขากำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลผ้าไหม ท่าผีเสื้อ ท่าฟรีสไตล์ และท่ากรรเชียง… ดังนั้นเมื่อหวังเฉิงห่าวหันกลับมาจากกองหินวิญญาณที่ตัวเองให้ความสนใจ เขาก็ต้องตกใจกับภาพของจ้าวนรกที่กำลังว่ายอยู่ใน ‘สระ’ ด้วยท่าผีเสื้อที่สวยงาม
มันเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกประหลาดมากทีเดียว
ชายทั้งสองสบตากันนิ่ง สามวินาทีต่อมา ฉินเย่ก็ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน จากนั้นเขาก็เดินไปคว้าคอของหวังเฉิงห่าว “เจ้า…ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นใช่หรือไม่ ?”
บนใบหน้าเยาว์วัยปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย
“…ไม่เห็น” หวังเฉิงห่าวกลอกตาเล็กน้อย สงสัยว่าตนเคยติดหนี้อะไรฉินเย่ในชาติที่แล้วชาตินี้เลยต้องมาใช้กรรมแบบนี้
แต่ก่อนที่ฉินเย่จะได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หวังเฉิงห่าวก็ชี้นิ้วไปที่ประตูทางเข้า “แต่ข้าว่าพวกเขาคงเห็น…”
ฉินเย่อ้าปากค้างและหันไปมอง และเขาก็พบว่าอาร์ทิสและโนบูนางะต่างกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับคนท้องผูก
เด็กหนุ่มรู้สึกอับอายขึ้นเป็นสองเท่า
อ๊ากกกก…อยากจะฝังหน้าลงในกองสมบัติและกรีดร้องออกมาสักสามวันสามคืนเพื่อระบายความอับอายนี้ จบแล้ว…จบเห่แล้ว !!! แล้วแบบนี้เขาจะสามารถเชิดหน้าอย่างสูงส่งในฐานะของจ้าวนรกต่อไปได้อย่างไร… แม่จ๋า…หนูอยากกลับบ้าน !!!
จะว่าไป ทำไมคนพวกนี้ไม่มีเสียงฝีเท้าดังให้ได้ยินเลยสักนิด ?!
“ไม่ต้องห่วง ข้าชินกับท่าทางแบบนั้นของเจ้าแล้ว” อาร์ทิสเดินเข้าไปในห้องใต้ดินนิ่ง ๆ นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้น…ก็กระโจนเข้าใส่กองสมบัติ กรีดร้องออกมาเสียงแหลมด้วยความดีใจ
“อ๊าาา~~!!! เรารวยแล้ว !! ในที่สุดเราก็รวยแล้ว !!!” “ทั้งหมดนี่ต้องมีมูลค่าอย่างน้อยหมื่นล้าน ! ในที่สุดเราก็ไม่ต้องดิ้นรนและประหยัดอีกต่อไป ในที่สุดวันเวลาแห่งการเก็บหอมรอมริบก็จบลง !” “ฉินเย่ ในที่สุดเจ้าก็ทำอะไรที่มีประโยชน์เสียที !!!”
ฉินเย่ หวังเฉิงห่าว และโนบูนางะ: ……
หลังจากผ่านไปหลายวินาที อาร์ทิสก็ลุกขึ้นมาจากกองสมบัติและโบกมือให้โนบูนางะราวกับกำลังกวักมือเรียกอีกฝ่าย “ท่านอยากเข้ามาร่วมด้วยหรือไม่ ?”
ไม่มีทาง !!
โนบูนางะตอบกลับเสียงเรียบ “ไม่ล่ะ ขอบคุณ เชิญท่านตามสบายเถิด”
“ดูคนอื่น ๆ สิ” ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาดูถูก “แล้วดูสิว่านักเรียนหวังหนึ่งหางสงบนิ่งมากแค่ไหน เขาไม่สะทกสะท้านอะไรแม้แต่น้อย นี่คือคุณสมบัติที่แท้จริงของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ในฐานะของผู้มีพรสวรรค์ที่ติดตามข้ามาได้ระยะเวลาหนึ่ง ท่านไม่รู้สึกละอายใจกับการกระทำของตัวเองสักนิดเลยหรือ ?”
“ขอโทษด้วย” หวังเฉิงห่าวกระแอมออกมาเบา ๆ “แต่ข้าได้ว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งความมั่งคั่งในตลอดคืนที่ผ่านมา…”
คำพูดที่เหลือของฉินเย่ติดอยู่ในลำคอทันที น้องชาย…เจ้าช่วยอ่านสถานการณ์หน่อยไม่ได้หรือ ? นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกว่าความซื่อสัตย์ของเจ้านั่นแหละที่เป็นข้อเสีย…
“เอาล่ะ” ในขณะที่ทั้งสองกำลังออกนอกเรื่องโดยการพูดคุยกันไปมา อาร์ทิสก็มายืนอยู่ข้างฉินเย่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ อันที่จริง ด้วยท่าทางที่นางเคลื่อนไหวในตอนนี้ มันคงไม่มีใครเชื่อว่านี่คือคนเดียวกันกับที่ว่ายอยู่ในมหาสมุทรสมบัติเมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะว่านางยังคงมีกำไรข้อมือหยกสีดำและสายสร้อยพันอยู่รอบ ๆ
“เจ้าได้จัดทำรายการทรัพย์สินที่เราได้รับมาจากการประชุมราชสำนักครั้งนี้แล้วหรือยัง ?” นางหันไปถามหวังเฉิงห่าว ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้ารับ “ข้าได้ทำงานตลอดทั้งคืนและตรวจดูทุกอย่างทันทีที่พวกเขาส่งมันเข้ามา จากนั้น ข้าได้จัดการเรื่องสำคัญบางโดยเฉพาะสิ่งที่ท่านขอไว้แล้วเช่นกัน…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ‘โดยเฉพาะสิ่งที่ท่านขอไว้’ ?” ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเริ่มไม่พอใจ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นวางกองอยู่ทั่วพื้นล้วนมีความสำคัญต่อยมโลก ! จงระวังคำพูดของตัวเองด้วย !”
อาร์ทิสแหงนหน้ามองท้องฟ้า เฮ้ออออ…เจ้าเด็กนี่มีทั้งบรรยากาศของลูกคุณหนูที่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายและพ่อค้าที่แสนฉลาด…นางไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถยอมรับความจริงที่ว่าอีกฝ่ายยังเป็นจ้าวนรกได้อีกหรือไม่…
อย่างไรก็ตาม นางรู้ดีว่าต่อให้ตนแสดงท่าทีไม่พอใจออกไปก็คงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นนางจึงรวบรวมสติและเอ่ยขึ้น “เลิกพูดจาไร้สาระกันได้แล้ว หวังหนึ่งหาง นำทางไปเลย”
หวังเฉิงห่าวไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมา เขาเพียงหันไปมองกล่องสีดำนับร้อยที่ลอยอยู่เงียบ ๆ กลางอากาศห่างออกไป
ใช่แล้ว พวกมันเพียงแค่ลอยอยู่เงียบ ๆ ตรงนั้น
ไม่มีสิ่งใดยึดพวกมันเอาไว้ แต่มันก็ดูราวกับว่าแรงโน้มถ่วงไม่มีผลสำหรับพวกมัน กล่องทั้งหมดดูธรรมดามาก ด้วยพื้นผิวสีดำที่ส่วนขอบเป็นสีทอง นอกเหนือจากนั้น พวกมันก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรไปจากกล่องดำทั่วไปเลยสักนิด
“ช่างเป็นจักระที่แข็งแกร่งจริง ๆ!” สีหน้าของฉินเย่เต็มไปด้วยความจริงจัง
“…ข้าไม่รู้ว่าตัวเองควรหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ดี…เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อวิกฤตจบลง เจ้ามักจะกลับไปเป็นพวกสกปรก น่ารังเกียจ และปากของเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับประตูระบายน้ำเสียทันที ? โปรดช่วยจริงจังกว่านี้สักนิดได้หรือไม่ ?!” อาร์ทิสตะคอกกลับ
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มมีท่าทีที่ดูจริงจังมากกว่าเดิม อาร์ทิสเอ่ยต่อ “นี่คือลูกบอลสัตว์หางที่ถูกสร้างขึ้นโดยโอซึซึกิ คางูยะ นี่คือของที่ใช้ผนึกหนึ่งหางไปจนถึงสิบหาง…” [1]
ฉินเย่ปรายตามองอาร์ทิสด้วยสายตาเย็นยะเยือก
หวังเฉิงห่าวและโนบูนางะจ้องมองทั้งสองด้วยสายตาราวกับกำลังมองดูคนโง่สองคนคุยกัน
“เจ้าจะพูดถึงเรื่องของจักระขึ้นมาทำไมตั้งแต่แรก ?! รู้หรือไม่ว่ามันส่งผลกระทบกับความคิดของข้า ?!” อาร์ทิสที่รู้สึกอับอายตะโกนใส่ฉินเย่อย่างโกรธเคือง ก่อนจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ และหยิบกล่องใบหนึ่งมา “มันเรียกว่าหยินปัทมา”
ด้านใต้ของกล่องถูกหุ้มด้วยกำมะหยี่สีดำ ในขณะที่กระจกเงาถูกติดไว้บนฝาหลังของกล่อง โดยด้านในกล่องมีดอกบัวสีทองดอกหนึ่งวางอยู่ มันมีขนาดแค่เท่ากำปั้นของเด็กวัยรุ่นเท่านั้น แต่เมื่อสังเกตดูดี ๆ ฉินเย่ก็พบว่ามันไม่ใช่ของจริง แต่เป็นเหมือนกลุ่มก้อนพลังหยินที่ก่อตัวเข้าด้วยกันจนดูคล้ายกับดอกบัวและเกิดเป็นประกายสีทองอร่าม !
ดอกบัวดังกล่าวดูค่อนข้างเลือนราง และยังมีอักษรภาษาสันสกฤตถูกเขียนไว้จนทั่ว สีหน้าของอาร์ทิสเคร่งขรึมมากกว่าเดิม “ปัทมาหมายถึงดอกบัว นอกจากนี้มันยังถูกรู้จักในชื่อของดอกบัวทอง…เจ้าทำอะไรน่ะ ?!”
ฉินเย่หยิบหนึ่งในดอกบัวทองตรงหน้ามาวางไว้บนศีรษะของตน และมองไปที่กระจกด้วยท่าทีที่สง่างาม ราวกับเขาตั้งใจจะพยายามทำตัวให้ดูดีที่สุด เด็กหนุ่มชะงักไป “ไม่ใช่ว่ามันคือกล่องเครื่องสำอางระดับพรีเมียมหรอกหรือ ? เห็นแล้วมันอดไม่ได้น่ะ…แล้วทำไมภายในดวงตาของท่านมันถึงดูเหมือนกับกำลังมีเปลวไฟจิตสังหารลุกโชนอยู่กัน ?”
“ข้าเชื่อแล้วที่เจ้าเคยบอกว่าตัวเองเคยถูกรับเลี้ยงโดยหมอโรคจิต” อาร์ทิสคว้าดอกบัวทองบนศีรษะของอีกฝ่าย ใส่มันกลับไปในกล่องและปิดฝากล่องอย่างแรง จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้า “และเพราะว่าข้าไม่ได้โรคจิตเท่าเจ้า มันจึงทำให้ข้ารู้สึกทำอะไรไม่ถูก”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ต้องปรับตัวอะไรทั้งนั้น เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็คือผู้ที่มีความสามารถอยู่ดี—…”
“เงียบ !!!” ทั่วทั้งห้องใต้ดินสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อฉินเย่ตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน เขากลืนน้ำลายเล็กน้อย เขากำลังโกรธ โกรธมากจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้…จำเป็นจะต้องเรียนรู้สถานะของตัวเอง นางควรจะระวังคำพูด…
อาร์ทิสใช้เวลากว่าสามนาทีเต็มในการปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะอธิบายออกมา “เดิมที กล่องขนาดนี้มักจะใช้เก็บดอกบัวทองหมื่นคุณธรรม ดอกบัวที่เจ้าเห็นนี้เป็นเพียงดอกบัวทองพันคุณธรรมเท่านั้น การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าคงจะส่งผลต่อความสามารถในการเก็บเกี่ยวดอกบัวทองแห่งคุณธรรมของรัฐบริวารพอสมควร”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
หลังจากผ่านไปไม่นาน เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงดูไม่ดีนักเมื่ออยู่บนตัวข้า”
เงียบสนิท
หวังหนึ่งหางและโนบูนางะถอยห่างออกจากเด็กหนุ่มเป็นระยะสามเมตรทันที
หลังจากนั้นไม่นานเสียงตบก็ดังขึ้น ร่างของฉินเย่ถูกตบลงกับพื้นด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่สองข้างที่ก่อตัวขึ้นจากเส้นผมของอาร์ทิส จากนั้นมันก็ดึงร่างของฉินเย่ขึ้นมาราวกับกำลังจะฉีกกระดาษ หวังหนึ่งหางตกใจกลัวจนแทบเสียสติและรีบวิ่งไปพูดเอาใจขั้นตุลาการนรกที่ทำกำลังเดือดดาลทันที “หยุดก่อน ! นายหญิง ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ! เขาคือจ้าวนรกองค์เดียวที่เรามีอยู่ !” “ปล่อยข้า ! นี่คือฟางเส้นสุดท้าย ! วันนี้ จะมีเพียงข้าหรือไม่ก็เขาเท่านั้นที่จะเดินออกไปจากที่นี่ได้โดยที่ยังมีชีวิต !!”
มันใช้เวลาสักพักใหญ่ก่อนที่อาร์ทิสจะยอมปล่อยร่างของฉินเย่ นางวางร่างของเด็กหนุ่มลงตรงหน้ากล่องสีดำอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นจึงอธิบายต่อ “หยินปัทมามีอีกชื่อหนึ่ง และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในยมโลก มันชื่อว่า…กุศล”
กุศล ?
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ จากนั้น โดยไม่สนใจรอยฟกช้ำบนใบหน้า เขากดเข้าที่อกของตัวเองเบา ๆ และบันทึกนรกก็ลอยออกมาอีกครั้ง !
พรึ่บ เขารีบพลิกไปยังหน้าที่มีชื่อของตัวเองเขียนอยู่ทันที
ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)
สถานที่เกิด: หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง
สมาชิกในครอบครัว: ปู่ (เสียชีวิต) บิดา-มารดา (เสียชีวิต)
เกิด: 1 ตุลาคม 1938
อาชีพ: ขั้นยมทูตขาวดำ (ระดับต้น) จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยมทูตขาวดำ (ระดับกลาง) 120,548/200,000 แต้มกุศล
ฉินเย่ขยี้ตาตัวเอง เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก “นี่ล้อกันเล่นใช่หรือไม่ ? ท่านกำลังจะบอกข้าว่ามันไม่ต่างอะไรกับแต้มกุศลเลยอย่างนั้นหรือ ? หวังหนึ่งหาง บอกข้ามา !! เหตุใดทุกอย่างจึงดูเหมือนจริงขนาดนี้ ?!”
ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวแห้งผาก “พี่ฉิน…ดวงตาของท่านแทบจะถลนออกมาหมดแล้ว…”
ฉินเย่พยายามลืมตาแพนด้าของตัวเอง “ให้ตายเถอะ…นี่ข้าได้แต้มกุศลมามากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?! อ๋อ ใช่แล้ว ขั้นยมทูตขาวดำถูกแบ่งออกมาเป็นสามระดับ… ข้านึกว่าตัวเองยังเป็นเด็กม.ต้นอยู่แท้ ๆ แล้วจู่ ๆ ข้ากลายเป็นเด็กม.ปลายตั้งแต่เมื่อใดกัน แถมยังไม่รู้ตัวอีกด้วย ?”
ตอนอยู่ที่ช่องแคบสึชิมะ แต้มการฆ่าเดียวที่เขาน่าจะได้มีเพียงฮอนดะ ทาดาคัตสึ ส่วนที่เหลือนั้นไม่ได้ตาย ดังนั้น…พวกนั้นจึงไม่นับ
แมลงแห่งหายนะเองก็ไม่นับเช่นกัน พวกมันคือตัวตนที่อาศัยอยู่เหนือทั้งสามโลก และมันก็ไม่ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของระบบ พวกมันเป็นอสูรที่เกิดมาเพื่อทำลายล้าง
ลองนับดู…นี่เขาได้กำจัดวิญญาณร้ายหรือเปล่า ? ก็ไม่ แล้วแต้มกุศลพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ? แถมเขายังไม่ได้รับแจ้งเตือนสำหรับแต้มที่ได้รับมาเหล่านี้เลยสักนิด !
“ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความคิดริเริ่ม ! แต่เพราะเจ้านั้นเอาแต่นอนขี้เกียจอยู่บนเตียง เจ้าถึงไม่รับรู้ถึงแต้มกุศลที่เพิ่มขึ้นของตัวเอง แล้วจะนับประสาอะไรกับสาเหตุของมัน !” อาร์ทิสกลอกตา ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยมโลกถึงต่างเคยเป็นผู้ว่าราชการมณฑล ?”
นี่เป็นคำถามหลอกหรือเปล่า ?
ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “ก็อาจจะเหมือนกับท่าน พวกเขาคงโลภมาก ?”
บ้าน่ะสิ…เจ้าสามารถพูดอะไรอย่างนี้ออกมาตรง ๆ ได้อย่างไรกัน ?!
“เหลวไหล !!!” เสียงคำรามด้วยความโกรธของอาร์ทิสดังก้องไปทั่วห้องใต้ดิน จู่ ๆ นางก็ตระหนักได้ว่าตั้งแต่ที่ได้รู้จักฉินเย่มา นางก็เริ่มสูญเสียมารยาทในฐานะของกุลสตรีมากขึ้นเรื่อย ๆ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำในยมโลก ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของยมโลกในทางตรงหรือทางอ้อม ล้วนทำให้ได้รับรางวัลเป็นแต้มกุศลทั้งสิ้น ! ยกตัวอย่างเช่นการที่เจ้าก่อตั้งบริษัทก่อสร้างหยินหรือการสร้างอาคารต่าง ๆ ของพวกเขาล้วนทำให้แต้มกุศลของเจ้าเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น นอกจากนี้ เจ้าจะได้แต้มกุศลมากกว่าเดิมทันทีที่เจ้าเปิดตัวระบบการเงินของยมโลกได้สำเร็จ น่าเสียดายที่เรายังจัดการเรื่องนั้นไม่เรียบร้อย แต่เจ้าก็กำลังจะทำสำเร็จอยู่แล้ว… นอกจากนี้ หากเจ้าตั้งใจคิดสักนิดมันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?! แต่นี่เจ้ามัวแต่คิดถึงเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ !”
[1] อ้างอิงจากการ์ตูนเรื่องนารูโตะ