ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 361 การเข้าพบของข้าราชการศักดินา
บทที่ 361: การเข้าพบของข้าราชการศักดินา
ในที่สุดจ้าวนรกของเราก็กลับเป็นปกติ…
อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะที่อธิบายสถานการณ์ “ผลไม้หยินและผลผลิตทางเกษตรอื่น ๆ สามารถถือได้ว่าเป็นผลผลิตพิเศษ พวกมันจะเป็นประโยชน์ต่อเรามากในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่กำลังต้องการจะสร้างเส้นทางการค้าที่สำคัญที่สุด…”
นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งและหันไปมองฉินเย่ ก่อนจะค่อย ๆ นำฉินเย่ไปสู่การรู้แจ้ง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่ายมเทพนับสิบล้านตนของยมโลกแห่งเก่ามาจากที่ใด? และยมโลกแห่งเก่าเลี้ยงดูและฝึกฝนพวกเขาอย่างไร? โดยการปัดเป่าวิญญาณร้ายอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หลังจากที่พวกเขาได้กลายเป็นยมทูตแล้วเท่านั้น แล้วแบบนี้พวกเขาสามารถบรรลุข้อกำหนดพื้นฐานก่อนที่จะถูกแต่งตั้งให้เป็นยมทูตได้อย่างไร?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ อย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อกระพือปีก “วิวัฒนาการ? บ่มเพาะพลังปราณ? ลงทะเบียน?”
… ข้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่สามารถตั้งความหวังกับคนโง่แบบเขาได้!
อาร์ทิสกัดฟันกรอดและเอ่ยต่อ “การกินและการบ่มเพาะ! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นอมตะและมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ในยมโลก แต่วิญญาณก็ไม่มีทางเพิ่มพลังความสามารถของตนเองได้โดยปราศจากการกินและการฝึกฝน! พลังหยินที่กักเก็บอยู่ในผลผลิตทางเกษตรจะถูกดูดซับโดยเหล่าวิญญาณผ่านทางการกิน ควบคู่กับการได้รับคำชี้แนะอย่างเชี่ยวชาญในการบ่มเพาะ พวกเขาก็จะค่อย ๆ บรรลุไปสู่ระดับพลังพื้นฐานของขั้นยมเทพ”
ฉินเย่มึนงง “ให้ข้ามอบตำแหน่งให้พวกเขาเลยไหม?”
“นี่เจ้ายังมีสติดีอยู่หรือไม่? แน่นอน มันสามารถเป็นไปได้ด้วยความช่วยเหลือของบันทึกนรก หากพูดกันตามตรง เจ้าสามารถนำวิญญาณอายุน้อยมาและมอบตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าเจ้าขั้นหนึ่งให้พวกเขาได้ แต่มันมีบันทึกนรกเพียงแค่เล่มเดียวเท่านั้น ในขณะที่จำนวนวิญญาณที่เข้ามาสู่ยมโลกจะเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนหลายพันล้านในเวลาไม่นาน! แล้วเจ้าจะมอบตำแหน่งให้พวกเขาทีละคนอย่างนั้นหรือ? นั่นไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย และมันก็เป็นวิธีที่เสียเวลามากด้วย ทางที่ดีสำหรับการรับมือกับเรื่องนี้ก็คือเริ่มสร้างสถาบันและจัดหาอาหารที่เพียงพอให้กับพวกเขา แบบนี้ เจ้าก็จะเริ่มเห็นถึงการปรากฏตัวขึ้นของขั้นยมเทพและยมทูตในท้ายที่สุด”
อย่างนี้นี่เอง…คนทั้งหมดสบตากันทันที แม้แต่หวังเฉิงห่าวก็ตระหนักได้ถึงประโยชน์ของระบบดังกล่าว!
หากการเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ 985 หรือโปรเจ็กต์ 211[1] คือเงื่อนไขเบื้องต้นในรับการสวัสดิการต่างจากภาครัฐในแดนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้าง หรือโอกาสในการบริหารจัดการ เช่นนั้นการบรรลุขั้นยมเทพก็เป็นเหมือนกับเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเป็นข้าราชการของยมโลก ผู้ที่ปรารถนาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นยมทูตไม่เพียงจะต้องกินและดื่มให้เพียงพอเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องเรียนรู้ศาสตร์ทุกอย่าง รวมถึงศิลปะการต่อสู้ด้วย…
มันคือเพชรในตมดี ๆ นี่เอง!
ไม่ต้องการผลผลิตพวกนี้อย่างนั้นหรือ? ไม่เลย ไม่ใช่ ไม่มีทาง! ผลผลิตพวกนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก! ภายในหัวของฉินเย่พลันเต็มไปด้วยแผนการมากมายทันที…
ใจเย็น ๆ… สงบใจไว้… เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขาอาจจะตื่นเต้นกับของทั้งหมดที่ได้มา แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าเรื่องพวกนี้จำเป็นจะต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน เพราะทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาของยมโลกในระยะยาว นอกจากนี้… สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการสร้างเมืองท่าสำหรับค้าขาย
ตัวเลือกนั้นมีมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการให้ความสนใจกับการพัฒนาและการเจริญเติบโตของยมโลก และตัวเลือกที่นำโอกาสมากมายมาสู่ยมโลกก็คือตัวเลือกที่มีความสำคัญสูงสุด!
เขาใช้เวลาสักพักหนึ่งในการตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่ได้มา มีเมล็ดพันธุ์อยู่ทั้งสิ้น 23 ชนิด โดยแบ่งเป็นธัญพืช 5 ชนิดและพืชที่ออกผล 16 ชนิด ส่วนอีกสองชนิดที่เหลืออยู่ก็คือผลผลิตพิเศษที่ใช้สำหรับการผลิตชาและยาสูบ
ฉินเย่พึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวของตัวเองในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
เขาเริ่มเพ้อฝันถึงวันที่เมืองท่าถูกเปิดในที่สุด และสินค้าจำนวนหนึ่งของสินค้าทั้งหมดจากทวีปตะวันออกก็จะถูกส่งมาที่เมื่อเป่าอันในฐานะภาษีสำหรับยมโลก เขาก็จะได้รับสมบัติล้ำค่ามากมายที่ตัวเองปรารถนา! ช่างเป็นภาพที่น่าตั้งตารอจริง ๆ!
อาหาร เสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า อุปกรณ์กีฬา และอื่น ๆ อีกมากมาย ทุกอย่างจะช่วยเติมเต็มจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าของเหล่าประชากรวิญญาณ และคุณภาพชีวิตของพวกเขาก็จะดีขึ้นอย่างมาก! มันจะเป็นยุคสมัยใหม่ของยมโลกอย่างแท้จริง ในขณะที่เขานั่งอยู่เป็นจุดสูงสุดของจักรวรรดิที่เขาได้สร้างขึ้น ได้รับการยกย่องและชื่นชมว่าเป็นจ้าวนรกที่หล่อเหลารวมถึงได้รับความชื่นชอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของยมโลก ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มนึกถึงวันที่เขาจะได้ตบหน้าโจวเซียนหลงด้วยรองเท้าของตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะของลูกน้องที่ไม่เชื่อฟัง แต่ในฐานะของผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน…
และขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินไปกับภาพในภวังค์ของตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ใคร?”
“หม่อมฉันเองเพคะ ตอนนี้ท่านอวี๋ ท่านหยาง และท่านจิวอยู่กับหม่อมฉันด้วย ท่านทั้งสามรอเข้าเฝ้าพระองค์มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วเพคะ” ซูตงเซวี่ยเอ่ยตอบจากอีกด้านหนึ่งของประตู
แววตาของฉินเย่วูบไหว
ท่านโจว?
ท่านโจวไหนกัน?
เขาไม่สามารถนึกถึงใครอื่นนอกจากเทพแห่งเปลวเพลิงโจวกงจินได้จริง ๆ
เขายังไม่ได้จากไปอีกหรือ? แถมยังขอเข้าพบเขา พร้อมกับอวี๋เชียนและหยางจีเย่อีกด้วย?
เด็กหนุ่มดีดนิ้ว และบานประตูก็เปิดออกกว้าง จากนั้นเขาจึงหันไปหาหวังเฉิงห่าวและเอ่ยว่า “หาคนมาจัดการรายการทรัพย์สินทั้งหมดและเก็บมันไว้ให้เรียบร้อย จากนั้น เมื่อเสร็จแล้ว เจ้าก็ไปฝึกงานกับซูตงเซวี่ยสักระยะหนึ่ง”
ซูตงเซวี่ยหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
หวังเฉิงห่าวเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายกลับมาแย่งงานของนางได้อย่างไร? นอกจากนี้ นางสามารถบอกได้เลยว่าภายในใจของฉินเย่นั้นให้ความสำคัญกับหวังเฉิงห่าวมากเพียงใด
มันไม่มีคำอธิบายอื่นใดนอกจากความหลงใหลต้องห้าม!
อ่า–… บุรุษเพศ…
“มันช่างน่าพึงพอใจจริง ๆ ที่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตจากการเตรียมการอย่างหนักตลอดหกปีของเราในคราวเดียว…” ฉินเย่ไล่นิ้วไปตามกองหินวิญญาณ ก่อนจะหันไปหาซูตงเซวี่ย “บอกพวกเขาว่าข้าจะไปพบพวกเขาที่โถงประตูนรกในอีกครึ่งชั่วโมง”
เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไปในชั่วพริบตา เนื่องจากการล่มสลายของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าของยมโลก ฉินเย่และผู้ติดตามของพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะปรากฏตัวอย่างเป็นทางการในสถานะยมทูตของตนเอง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกคิดถึงอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเป็นอย่างมาก
ฉินเย่ถกแขนเสื้อของตนอย่างหัวเสีย – ใจเย็น ๆ… เรารีบร้อนกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ การเจริญเติบโตและพัฒนาของยมโลกถือได้ว่ารวดเร็วและกำลังพุ่งทะยาน หากพวกเขาใจร้อนเกินไป มันอาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ ผลจากนโยบายที่ดีจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเท่านั้น มันไม่ใช่ความคิดที่ดีในการจะเร่งเพื่อให้ได้เห็นผลลัพธ์ สำหรับตอนนี้ มันยังไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มหรือก่อตั้งอุตสาหกรรมใหม่ ๆ มันจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเช่นนี้อีกสักประมาณห้าปี ก่อนจะนึกถึงเรื่องอื่น
อาร์ทิสเดินตามเด็กหนุ่มไปที่ห้องโถง อวี๋เชียน หยางจีเย่ และจิวยี่ได้รอเขาอยู่ก่อแล้ว ทันทีที่ฉินเย่มาถึง ทั้งสามก็รีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับเกือบ 90 องศา จากนั้นจึงประสานมือและกำปั้นอย่างเคารพ “คารวะท่านจ้าวนรก”
“ไม่ต้องพิธีรีตอง เชิญนั่ง” ฉินเย่โบกมือและนั่งลงที่หัวโต๊ะ ตอนนี้เขาสงบลงแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรอให้คนอื่น ๆ นั่งประจำที่ของตน ก่อนจะส่งยิ้มบางให้อวี๋เชียนและหยางจีเย่ “ข้าสามารถบอกได้ว่าท่านทั้งสองได้อุทิศกายและใจให้กับยมโลก ดังนั้นข้าจึงอยากจะรู้ว่าพวกท่านวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป?”
พวกท่านตั้งใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ หรือกลับไปยังรัฐศักดินาของตนเอง?
อวี๋เชียนครุ่นคิดอยู่สักพัก “กระหม่อมเกรงว่าเราอาจจะทำให้ท่านจ้าวนรกผิดหวัง เพราะพวกเรา…จำเป็นจะต้องกลับไปยังรัฐศักดินาของตัวเอง”
หยางจีเย่ถอนหายใจออกมา “พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอยู่ที่นี่และให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูยมโลก แต่…ลิชชาวีและฟิลิปินัสนั้นเป็นดินแดนที่อันตรายอย่างแท้จริง และพวกเราก็คงไม่สามารถวางใจได้จนกว่าจะได้อยู่ที่นั่นและดูแลการปกครองรวมถึงการรักษาความปลอยภัยทุกอย่างด้วยตัวเอง”
ฉินเย่เคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะขณะที่นึกถึงแผนที่ของทวีปตะวันออก และแววตาของเด็กหนุ่มไหววูบทันที
ลิชชาวี…ประเทศขนาดเล็ก – เล็กมากเสียด้วย แต่มันกลับตั้งอยู่คั่นกลางระหว่างจีนและฮินดูสถาน! อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันคือเขตกันชนระหว่างโลกใต้พิภพที่ยิ่งใหญ่ทั้งสอง!
เขตกันชนนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก และมันก็มีพื้นที่หลายส่วนที่อาจมีภยันตรายแฝงตัวอยู่
เหตุผลที่ฉินเย่มุ่งมั่นเกี่ยวกับการพัฒนาที่รวดเร็วนี้ก็เพราะว่าหากกิจการของโลกใต้พิภพสามารถเทียบได้กับแดนมนุษย์…มันก็คงไม่มีทางที่รัฐจะอยู่ในความสงบสุข!
ตะวันออกกลางนั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องของน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ และมันก็เคยถูกใช้เป็นหุ่นเชิดโดยประเทศใหญ่ ๆ มามากจนทำให้เกิดการต่อสู้และสงครามอยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ หากพวกนั้นรู้ว่ายมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไป และชิ้นเนื้อนุ่มขนาดใหญ่อย่างจีนกำลังอยู่ในสภาวะที่ง่ายต่อการไขว่คว้า ประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นจะต้องการแย่งชิงกันเพื่อมันเป็นแน่!
เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น หากพูดกันตามตรง มันยังไม่ถึงเวลาที่จะพิจารณาถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับส่วนอื่น ๆ ของโลกด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธถึงการมีอยู่ของสถานการณ์ที่ย่ำแย่เหล่านั้นได้ ซ้ำร้าย เขายังไม่รู้ด้วยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด!
“แล้วฟิลิปินัสเล่า?” เขาหันไปมองหยางจีเย่ “ที่นั่นอยู่กลางมหาสมุทรและแม้ว่าจะรายล้อมด้วยเกาะเล็กมากมาย แต่พวกนั้นก็น่าจะเป็นโลกใต้พิภพขนาดเล็กเท่านั้นมิใช่หรือ? ท่านหยางจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้เลยหรือ?”
สีหน้าของหยางจีเย่ดูเคร่งขรึมและจริงจัง “วิญญาณหมอผี”
“มันคืออะไร?”
หยางจีเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่อวี๋เชียนส่ายศีรษะไปมา “ท่านหยาง มันจะเป็นการดีกว่าหากท่านจะเป็นคนพูดเรื่องนี้”
“พระองค์ต้องทรงนึกถึงภาพในมุมมองขนาดใหญ่และสิ่งที่เขากำลังรับมือ แม้ว่ายมโลกจะไม่สามารถรับมือกับมันได้ในตอนนี้ แต่นี่ก็ยังคงเป็นข้อมูลสำคัญ”
หยางจีเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยรอดไรฟัน “เทพแห่งความตายอาพุช เทพแห่งความตายสุเป่ย เทพแห่งความตายมิกตลันเตคัตลี เทพแห่งความตายมาเซา ขนนกทมิฬที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเทพเหล่านี้ล้วนเป็นวิญญาณหมอผีทั้งสิ้น ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พวกเขาได้ลอบเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก หมายจะเข้ามาที่แผ่นดินจีนผ่านทางทะเลจีนตะวันออก!”
เทพแห่งความตายสี่ตน!
ฉินเย่อ้าปากค้าง ไม่คิดเลยว่าเทพแห่งความตายทั้งสี่จะกำลังหมายตาทวีปตะวันออกอยู่! โชคดีจริง ๆ ที่หยางจีเย่สามารถยับยั้งการรุกรานของอีกฝ่ายได้
นี่เป็นครั้งแรกที่จิวยี่ได้ยินเรื่องนี้ และเปลวไฟนรกในดวงตาของเขาก็ลุกโชนอย่างดุเดือด
“มีขนนกทมิฬไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้อย่างพวกเขา” หยางจีเย่เอ่ยต่อ “พวกเขาทั้งสี่ถูกเรียกว่า สหพันธ์สี่เทพ เพราะอาณาเขตของพวกเขาต่างอยู่ในทวีปเดียวกัน – พวกเขาล้วนมาจากทวีปตะวันตกกลาง[2] เช่นเดียวกันกับอูโซเนีย”
ฉินเย่ระงับความคิดที่ยุ่งเหยิงภายในหัวของตัวเองและพยักหน้าเบา ๆ “ข้าอยากได้ยินมากกว่านี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” หยางจีเย่ใช้เวลาเรียบเรียงความคิดของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย “อาพุชคือเทพแห่งความตายของโลกใต้พิภพมายัน สุเป่ยคือเทพแห่งความตายของโลกใต้พิภพของอินคา มิกตลันเตคัตลีคือเทพแห่งความตายของโลกใต้พิภพแอซเท็ก และมาเซาคือเทพแห่งความตายของโลกใต้พิภพชนเผ่าโฮปิ พวกเขาทั้งหมดมาจากอูโซเนีย และแม้ว่าโลกใต้พิภพของพวกเขาจะไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่พวกเขาก็มีอายุมาอย่างน้อย 1,000 ปีแล้ว และพวกเขาก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะเป็นภัยต่อยมโลกแห่งใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย”
ฉินเย่พยายามนึกจากเศษเสี้ยวของความทรงจำที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเทพแห่งความตายเหล่านี้ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เทพทั้งสี่ล้วนเป็นอารยธรรมพื้นเมืองของอูโซเนียและทวีปตะวันตกกลางใช่หรือไม่? ชนพื้นเมืองของพวกเขา?”
“ฝ่าบาท มันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ประมาทพวกเขานะพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋เชียนเอ่ยด้วยความเคารพ “อารยธรรมพื้นเมืองเหล่านี้มีอายุมาตั้งแต่เมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล พวกเรากำลังพูดถึงโลกใต้พิภพที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ความหวังเดียวในตอนนี้ก็คือการที่ความเชื่อเกี่ยวกับพวกเขาเริ่มลดน้อยลงในแดนมนุษย์ และนั่นก็คือเหตุผลเดียวที่ว่าทำไมอาณาเขตของพวกเขาจึงมีไม่มากนัก แต่ถึงกระนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีอายุมายาวนานก็หมายความว่า…เทพแห่งความตายของพวกเขาอยู่ขั้นจ้าวนรก!”
เขาเอ่ยต่ออย่างอดกลั้นความไม่พอใจ “และสิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง…”
ดวงตาของฉินเย่วาวโรจน์ขึ้น เขาเข้าใจทันทีว่าอวี๋เชียนต้องการจะสื่ออะไร
สิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกก็คือมีกองกำลังที่ทรงพลังกว่าบังคับให้พวกเขาเดินทางมาที่จีน – ดินแดนซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนต้องห้ามสำหรับโลกใต้พิภพทั้งหมดมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ใครกัน?
เทพแห่งความตายของอูโซเนียตนใดกันที่จะมีอำนาจมากถึงเพียงนั้น?
และราวกับอ่านความคิดของฉินเย่ออก หยางจีเย่อธิบายต่อ “ทวีปตะวันตกเหนือคือจุดที่โลกใต้พิภพที่มีอำนาจมากที่สุดตั้งอยู่ รวมถึงแทนาทอสและเทพแห่งความตายไร้นาม[3] เทพแห่งความตายไร้นามไม่เคยเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามใด ๆ มาก่อน ดังนั้นกองกำลังเดียวที่น่าจะสามารถบีบบังคับเทพชนพื้นเมืองเหล่านี้ให้เดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกได้ก็มีเพียงอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ในอูโซเนีย – แทนาทอส”
เทพเจ้าแห่งอาร์โกสสินะ….
“นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นกังวลนักสำหรับตอนนี้” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น “ตราบใดที่อาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้ายังไม่ถูกทำลาย พวกเขาก็จะไม่มีทางลอบเข้ามาในพรมแดนจีนของเราได้”
“มันคือสิ่งใดกัน?” ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงสิ่งนี้มาก่อน?”
อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “หม่อมฉันคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะยังไม่บอกพระองค์ถึงเรื่องพวกนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เนื่องด้วยกลัวว่าพระองค์อาจจะให้ความสนใจแต่เรื่องการสร้างกองทัพ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…มันอาจจะเป็นการดีกว่าที่จะพูดทุกอย่างออกมา”
“โลกใต้พิภพทุกแห่งต่างมีอาณาเขตเวททำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นพรมแดนของตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ – แต่ละชุดความเชื่อ ศาสนา ตำนาน และความศรัทธานั้นเป็นเหมือนกับชุดธูปที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้นตราบใดที่พวกมันยังคงถูกจุดอยู่ กำแพงพรมแดนของดินแดนพวกนั้นก็จะยังคงทำงาน นอกจากนี้ กำแพงพรมแดนยังทำหน้าที่คล้ายกับเกราะป้องกันสำหรับโลกใต้พิภพนั้น ๆ เป็นระยะเวลา 250 ปีก่อนทำหน้าที่เป็นกำลังป้องกันที่แข็งแกร่งหลังจากนั้น ในขณะที่กำแพงพรมแดนพวกนี้ยังคงทำงานอยู่ มีเพียงกลุ่มขนนกทมิฬจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะสามารถเจาะทะลุเกราะป้องกันและเข้าสู่ดินแดนได้ กองกำลังขนาดใหญ่จะไม่สามารถทำลายมันได้”
อย่างนี้นี่เอง… มันเหมือนกับว่าก้อนหินขนาดใหญ่ที่กดทับหัวใจของเขามาโดยตลอดถูกยกออกไป นั่นอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมโลกใต้พิภพอื่น ๆ ถึงยังไม่ตรวจพบความผิดปกติใด ๆ แม้ว่ายมโลกจะล่มสลายไปตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน
เพราะไม่ว่าอย่างไร แม้แต่โลกใต้พิภพที่ตาบอดก็น่าจะสามารถจับสังเกตได้หากมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก การควบคุมรัฐบริวารทั้งหมด การทำการทูตกับชาติที่อยู่โดยรอบ และยังการขาดหายไปในเวทีนานาชาติ… ยมโลกขาดหายไปเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี! นี่อธิบายแล้วว่าทำไมยมโลกถึงยังสงบสุขได้อยู่แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึงร้อยปีแล้ว!
“ถูกต้อง” อวี๋เชียนพยักหน้า “ยกตัวอย่างเช่น การใช้ชุดความคิดเดียวกับก่อนหน้านี้ ธูปของเทพแห่งความตายทั้งสี่นี้ได้ดับไปแล้ว และพวกเขาก็แทบจะสาบสูญไปจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังต้องหาที่หลบภัยภายใต้อำนาจของโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ดี ไม่เช่นนั้น หากเกิดสงครามขึ้น โลกใต้พิภพของพวกเขาก็คงจะถูกโจมตีจากกองกำลังของศัตรู และผลที่ตามมาก็เลวร้ายเกินคาดเดา”
“ในอีกด้านหนึ่ง จีนนั้นตรงกันข้ามกันกับโลกใต้พิภพเหล่านี้ ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไป แต่ขนบธรรมเนียมและความเชื่อเกี่ยวกับยมโลกยังคงไหลเวียนอยู่ในเลือดเนื้อและจิตใจของชาวจีนทั้งหมด ชาวฮันยางคงเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ในแดนมนุษย์ และธูปของเราที่เผาไหม้มาตลอดพันปีก็ยังคงเผาไหม้อยู่ หากพูดกันตามตรง มันยังสามารถปกป้องยมโลกไปได้อีก 200 ปีโดยที่ไม่เกิดปัญหาใด ๆ!”
[1] ปรากฏขึ้นครั้งแรกในตอนที่ 207
[2] อเมริกากลาง
[3] เทพแห่งความตายในที่นี่คือเทพของรุส(รัสเซีย)