ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 365 ทางเลือก
บทที่ 365: ทางเลือก
ฉินเย่ไม่ได้กลับไปที่ยมโลกมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ในช่วงเวลานี้ หัวใจของเต็มไปด้วยความวิตกกังวลใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เอกสารราชการมากมายกองเป็นพะเนินราวกับภูเขาขนาดใหญ่ในช่วงที่เขาหายไป และมันก็ยังจำเป็นต้องให้อาร์ทิสตรวจดูเพื่อป้องกันการทุจริตในทุกรูปแบบ นอกจากนี้ พวกเขายังต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาขั้นต่อไปของยมโลกอีกด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขามีเวลาเพียงแค่สองปีในการก่อตั้งเมืองท่าให้พร้อมสำหรับการทำการค้าทางทะเล จะปล่อยให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็ยังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดงานทั้งหมดเอาไว้ก่อน
ตอนนี้มีอุปกรณ์การแพทย์มากมายติดอยู่ที่ร่างกายของเขา ดังนั้นทันทีที่ฉินเย่กลับไปที่ยมโลก อุปกรณ์พวกนี้ก็จะเริ่มส่งเสียงเตือนจนแทบจะกลายเป็นคอนเสิร์ต นอกจากนี้ หลินฮั่นเองก็คอยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ยอมไปไหน
อีกฝ่ายคือชายที่ไม่ให้ความสนใจกับบรรยากาศของสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย!
ทุก ๆ วัน เขาจะเฝ้าดูแลฉินเย่ด้วยสีหน้าเหมือนกับคุณปู่ใจดี คอยถามฉินเย่ว่าหิวน้ำไหม หิวข้าวไหม หรืออยากจะไปห้องน้ำไหม ชายหนุ่มเมินเฉยต่อความเย็นชาและสายตาที่น่ากลัวของฉินเย่อย่างสิ้นเชิง
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ – หลินฮั่นจะเป็นพ่อที่ดีในอนาคต แต่ฉินเย่ก็อดไม่ไหวที่จะไปให้พ้นจากไอ้บ้านี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือมันไม่มีที่ให้เขาหนี!
ในช่วงนี้ นักเรียนบางคนได้แวะมาเยี่ยมเขาในเวลาว่าง และการปรากฏตัวของเด็กพวกนี้ก็คือสิ่งที่ช่วยให้เขาผ่านสัปดาห์ที่ยาวนานนี้ไปได้ แต่ตอนนี้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
โรงพยาบาลที่เขาพักอยู่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของสำนักฝึกตนแห่งแรก ในที่สุดเขาก็ได้ออกมาจากอาคารสีขาวเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าช้า ๆ เขาไม่เคยรู้สึกสดชื่นขนาดนี้มาก่อน
มันเป็นช่วงสุดท้ายของภาคการศึกษาแล้ว ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงซุกตัวอยู่ภายในห้องสมุด และก็มีเพียงนักเรียนไม่มากนักที่มีให้เห็นรอบ ๆ วิทยาเขต ทั่วทั้งพื้นที่ดูโล่งและว่างเปล่า หากไม่นับเหล่าประชาชนทั่วไปที่ผ่านไปมาและกำลังชี้กับพูดคุยแสดงความเห็นอยู่รอบ ๆ รั้วของวิทยาเขต
ฉินเย่ไม่ได้สนใจแม้แต่จะมองไปรอบ ๆ เพื่อดูทิวทัศน์และฟังเสียงที่ห่างหายไปจากชีวิตมาเป็นเวลานาน กลับกัน เขาเพียงมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องทำงานของชายสูงวัย คะแนนการสอน… โจวเซียนหลงทิ้งเขาไปแบบนั้นได้อย่างไร? ทำไมหลังจากที่ใช้งานเขาเสร็จก็ทิ้งกันง่าย ๆ แบบนี้? ให้ตายเถอะ… นี่เขายังมีประโยชน์อื่นอยู่อีกนะ…
เขาผลักประตูเข้าไป และก็พบว่าโจวเซียนหลงเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงานของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณออกจากโรงพยาบาลแล้วอย่างนั้นเหรอ? ผมกำลังรออยู่พอดี คนหนุ่มนี่ดีจังนะ ความเร็วในการฟื้นตัวของคุณไม่ธรรมดาเลย นั่งสิ คุณมาได้ทันเวลาพอดี ผมมีบางอย่างอยากจะให้คุณดู”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เดินไปนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
เขามีบางอย่างจะขอโจวเซียนหลง ดังนั้นเขาจึงยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี เขาจะยอมฟังคำสั่งของผู้นำและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อที่จะได้อยู่ในองค์กร–… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!!
ฉินเย่ลุกพรวดขึ้นราวกับถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทง เด็กหนุ่มมองไปที่โต๊ะของโจวเซียนหลงอย่างหวาดระแวง เพียงเพื่อที่จะเห็นใบสมัครกองใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ หัวข้อทั้งหมดชัดเจน – “เมือง XX ต้องการผู้ฝึกตนอาวุโส! เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น 13% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา!” “เมือง XX ยินดีที่จะมอบเงินมหาศาลให้กับผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณ! ตามหาผบ.ตรและผบ.ทบ!” “เหตุการณ์เหนือธรรมชาติในเมือง XX เพิ่มสูงขึ้น 11.97% ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน! ขอความช่วยเหลือจากผู้ฝึกตนในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมด!”
“นั่งก่อน ๆ” โจวเซียนหลงวางมือบนไหล่ของฉินเย่และกดให้อีกฝ่ายนั่งลงอีกครั้ง “เสี่ยวฉิน…”
การเปิดประโยคเช่นนี้ไม่ใช่ลางดีเลยสักนิด ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยแทรกขึ้นทันที “หัวหน้าโจว คุณคงไม่ได้กำลังพยายามกันผมให้ออกห่างจากสถาบันใช่ไหมครับ?”
ตรงประเด็น โจวเซียนหลงไม่คิดว่าฉินเย่จะพูดตรงขนาดนี้ และเขาก็ชะงักไป “เราไม่ได้มีบริการเรียกรถแท็กซี่แถวนี้….”
ฮ่า ๆๆๆ… คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนตลกหรืออย่างไร?
ฉินเย่กลอกตา “หัวหน้าโจว ผมดีขึ้นแล้ว และผมก็ยังสามารถสอนต่อได้! พวกเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อเหล่านักเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแล! อาจารย์ท่านอื่นจะสามารถรับช่วงต่อสิ่งที่ผมสอนค้างไว้ได้อย่างไร? พวกนักเรียนจะสามารถเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้โดยปราศจากคำการชี้แนะของผมเหรอครับ? แม้แต่ตอนที่ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ผมก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของนักเรียนดังก้องอยู่ในหู!”
โจวเซียนหลง: ……
พวกนักเรียนไม่ได้โง่อย่างที่คุณคิด…
“คุณยังจำสิ่งที่คุณพูดกับพวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือเปล่า? นักเรียนกลุ่มแรกที่ถูกส่งมาจากตระกูลและนิกายใหญ่ของจีนนั้นมาเพื่อทดสอบและดูว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกมีราคาคุยสมดั่งชื่อของมันหรือเปล่า! มันคือการพิสูจน์จุดยืนของเรา! ผมอุตส่าห์พยายามอย่างหนักมาเกือบหนึ่งปี แต่คุณกลับยอมปล่อยมือจากผมเพียงเพราะผลงานเพียงแค่สองอาทิตย์น่ะหรือ?”
ฉินเย่ยังมีคะแนนอีกมากที่ยังไม่ได้ใช้ ถึงแม้ว่าแนวทางการประเมินสำหรับการเลื่อนขั้นเป็นรองศาสตราจารย์จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงสำหรับตำแหน่งนี้อยู่ดี มันสามารถจินตนาการได้เลยว่าเหล่าอาจารย์ชุดแรกจะถูกปฏิบัติตนอย่างไรหลังจากที่การศึกษาของนักเรียนชุดแรกจบลง! ฉินเย่มักจะต่อสู้เพื่อตำแหน่งของตัวเอง แม้ว่านั่นจะหมายความถึงการลากชื่อของเขาลงมาในโคลนก็ตาม!
“มันไม่ใช่–…”
“หรือว่าคุณกำลังจะบอกว่าผมยังสอนไม่ดีพอ? หรือว่าผมไม่แข็งแกร่งพอ? หรือว่าคุณไม่พอใจกับทัศนคติของผม?”
โจวเซียนหลงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ตอบโต้ เขาถูกสกัดกั้นจากฉินเย่ในทุกทิศทาง
ชายสูงวัยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเพิ่งตัดสินใจได้หลังจากที่พิจารณาอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตากล่าวหาของฉินเย่ เขาก็พูดอะไรไม่ออก
ให้ตายเถอะ… การเป็นหัวหน้าสาขามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ! หากนี่คือหน่วยสอบสวนพิเศษ เขาคงตบหน้าอีกฝ่ายแรง ๆ สักสองทีไปแล้ว…
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางประตูซึ่งอยู่ด้านหลังของฉินเย่ “อาจารย์ฉิน คุณกำลังเข้าใจเราผิด” เมื่อฉินเย่หันไปมอง เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนอยู่คือสวี่อันกั๋ว อีกฝ่ายยืนพิงขอบประตูพร้อมกับถือถ้วยชาอยู่ในมือ
ไม่คิดเลยว่ามังกรที่หาตัวได้ยากซึ่งเป็นผู้อำนวยการของสถาบันจะปรากฏตัวได้ถูกเวลาเช่นนี้… สวี่อันกั๋วแย้มยิ้มและดึงเก้าอี้มานั่ง เขาแย้มยิ้มบาง “เหล่าโจว คุณจะต้องพัฒนาทักษะที่มีความสำคัญต่อการเป็นหัวหน้าสาขาของตัวเองให้มากกว่านี้นะ อาจารย์ผู้สอนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา และมันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องชี้แนะพวกเขาให้ถูกทาง”
“ครับ” โจวเซียนหลงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เขาพยายามอย่างมากเพื่อยับยั้งอารมณ์ที่รุนแรงของตัวเอง แต่ก็สามารถพูดได้เลยว่ามันยังมีอะไรอีกมากที่ต้องได้รับการปรับปรุง
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้” สวี่อันกั๋วหันไปหาฉินเย่ เขาแย้มยิ้มกว้างจนใบหน้าปรากฏรอยย่นมากมายพร้อมกับเอ่ยต่อเสียงนุ่ม “อาจารย์ฉิน ผมขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยก็แล้วกัน คุณยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสำนักฝึกตนแห่งแรก”
หืม?
สีหน้าของฉินเย่ยังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่คำพูดของสวี่อันกั๋วก็ทำให้หัวใจของเขาผ่อนคลายลง
คุณช่วยบอกเรื่องนี้กับผมให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร…
ทันทีที่คะแนนสะสมของเขาไม่ถูกพรากไป ทุกอย่างก็สามารถพูดคุยกันได้
“สถานการณ์ของคุณค่อนข้างพิเศษ” สวี่อันกั๋วหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะของโจวเซียนหลงขึ้นมาและเริ่มพลิกดู “มันมีเกณฑ์พิจารณาหลายอย่างที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะอนุมัติแผนการนี้ ประการแรก ร่างกายของคุณเป็นปัญหาหลัก สำนักฝึกตนแห่งแรกไม่มีความสามารถมากพอที่จะถอนคำสาป มีเพียงแค่ขั้นฝู่จวินด้วยกันเท่านั้นที่สามารถลบล้างคำสาปของขั้นฝู่จวินด้วยกันได้ และในกรณีนี้ ในจีนมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น ปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถติดต่อกับพวกเขา ดังนั้นหากคุณยังอยู่ภายในสำนักฝึกตนแห่งแรกต่อไป คุณมีแต่จะต้องรอความตายเท่านั้น และมันก็คือสิ่งที่ไม่มีเราคนไหนต้องการจะเห็น”
สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
ขั้นฝู่จวินสามคนอย่างนั้นหรือ…ไม่คิดเลยว่าในแดนมนุษย์จะมีผู้ฝึกตนขั้นฝู่จวินซ่อนตัวอยู่ถึงสามคน ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยสอบสวนพิเศษน่าจะเป็นคนนึง แต่อีกสองคนล่ะ? นักพรตเต๋า? พระ?
“เราทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นในการสอนและการเรียนรู้ของคุณ แต่การมีสุขภาพดีเองก็เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างคุณที่สักร้อยปีจะปรากฏขึ้นสักครั้ง ความรวดเร็วในการฝึกตนของคุณนำหน้าผู้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และคุณก็มีความสามารถที่จะปัดเป่าวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันยังมีเหตุผลอะไรอีกมากมายที่เราให้ความสำคัญกับชีวิตของคุณมากกว่าคนข้างนอกไม่ใช่หรือ?”
ริมฝีปากของฉินเย่สั่นเทาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมา
จิ้งจอกเฒ่า
จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ช่างเป็นวาทศิลป์และรูปแบบการพูดคุยที่ชาญฉลาด ฉินเย่รู้สึกว่าเขาค่อนข้างถูกขับเคลื่อนโดยคำพูดของอีกฝ่ายพอสมควร
“ประการที่สองก็คือความสามารถในการดูแลนักเรียนของคุณ” สวี่อันกั๋วลูบฝาถ้วยน้ำชาของเขาเบา ๆ “อย่างที่คุณพูดก่อนหน้านี้ คุณมีความสามารถในการรับผิดชอบและดูแลนักเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่องของอดีต”
“และอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธผม ลองคิดดู – คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสาปของคุณจะกำเริบอีกเมื่อไหร่? หากมันเกิดขึ้นท่ามกลางการสอนหรือการสาธิตอะไรบางอย่างล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นหากมันกำเริบขึ้นระหว่างการฝึกฝนต่อสู้? นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะสามารถมองข้ามได้ง่าย ๆ”
ฉินเย่ยังคงปิดปากเงียบ
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบ สวี่อันกั๋วก็แย้มยิ้มบางอีกครั้ง “ประการที่สาม…”
จากนั้น เขาก็หุบยิ้ม “จีนกำลังวางแผนที่จะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติพวกนี้กับสาธารณะ”
“!!!…” ฉินเย่อ้าปากค้างและหันไปมองสวี่อันกั๋วด้วยสายตาเหลือเชื่อ
นี่จีนกำลังจะประกาศทุกอย่างกับสาธารณะแล้วอย่างนั้นหรือ?
พวกเขาได้วางพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสิบปี และผลที่ตามมาของการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในทั่วทั้งสามมณฑลทางตะวันออกก็ไม่สามารถที่จะปกปิดได้อีกต่อไป ดังนั้นทางรัฐบาลจีนจึงถือโอกาสนี้…ในการตัดสินใจที่จะเปิดเผยเรื่องทั้งหมด
เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าทั่วทั้งชาติจะตึงเครียดเพียงใดเมื่อเรื่องที่น่าตกตะลึงนี้ถูกประกาศออกไป อุตสาหกรรมทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจะเติบโตขึ้น และทั้งประเทศ…ก็จะมุ่งหน้าไปสู่จุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง!
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตมีอะไรรอพวกเขาอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ – ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถเอาชนะกลุ่มวิญญาณจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาตอนนี้ได้หรือไม่!
เหล่าคนตายในสุสานได้ลืมตาขึ้นแล้ว และพวกเขาก็กำลังจ้องมองมาที่แดนมนุษย์อย่างตะกละตะกลาม มากกว่าครั้งไหน ๆ และอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ตลอดสิบปีที่ผ่านมา จีนได้ก่อตั้งสำนักงานสาขาย่อยขึ้นทั่วทั้งประเทศ มีผู้ฝึกตนและผู้เชี่ยวชาญประจำอยู่ทุกจุด แม้ว่าจะเป็นที่ที่ห่างไกลมากก็ตาม อย่างน้อยทุกเมืองจะต้องมีผู้ฝึกตนร้อยคนคอยปกป้องพวกเขาอยู่ แต่น่าเสียดาย…ที่มันยังไม่เพียงพอ” สวี่อันกั๋วสามารถบอกได้ว่าฉินเย่กำลังครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ เขาจึงเอ่ยต่อ “มันไม่ใช่ว่าเรามีจำนวนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ แต่สิ่งที่เราขาดแคลนคือเจ้าหน้าที่ระดับหัวกะทิ”
“นครและพื้นที่ที่มีจำนวนประชากรสูงย่อมมีแนวโน้มที่จะเกิดวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งกว่าพื้นที่ที่มีประชากรอยู่น้อย ตอนนี้เราได้ส่งผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณ 20 คนไปประจำการอยู่ในนครแต่ละแห่ง มีเจ้าหน้าที่ไม่มากนักที่มีความสามารถในการต่อสู้กับวิญญาณระดับสูงพวกนั้น พวกเขาอาจจะเป็นขั้นนักล่าวิญญาณในนามและในเรื่องของพลังปราณ แต่มันก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับวิญญาณที่แข็งแกร่งได้หรือไม่”
สวี่อันกั๋วถอนหายใจออกมาและวางถ้วยน้ำชาของตัวเองลง “และที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิม… พวกเขาไม่ได้คุ้นเคยกับวิญญาณเลยแม้แต่น้อย การระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นให้เห็นถี่ขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ในอีกด้านหนึ่ง นิกาย ตระกูล และกองกำลังอื่น ๆ ที่มีโครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อนก็มักจะฝึกฝนอยู่แต่ภายในองค์กร ความเร็วในการพัฒนาและการปรับตัวของพวกเขาค่อนข้างช้า และมันก็เป็นเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เองที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นออกมาจากการเก็บตัวและสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกครั้ง ประสบการณ์และความรู้คือสิ่งที่ต้องอาศัยเวลาและการหลั่งเลือด นี่คือเหตุผลว่าทำไมพื้นที่ใหญ่ ๆ ถึงต่างมองหาผู้มีฝีมือที่แท้จริงที่มีวิธีจัดการกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ”
ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “รัฐบาลอื่น ๆ ในโลก…รู้หรือเปล่าครับว่ารัฐบาลจีนกำลังเตรียมที่จะประกาศความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
“ทุกอย่างกำลังเตรียมการ” โจวเซียนหลงอธิบาย “ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแข่งขันระหว่างผู้ฝึกฝนตอนช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาถึงรุนแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และผมก็เกรงว่ามันจะยิ่งจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาในใจ หกเดือนที่ผ่านมา เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานของตัวเองจนไม่มีเวลาในการติดตามข่าวสารในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น เขาก็คงพอรับรู้เรื่องเหล่านี้บ้าง
สวี่อันกั๋วเอ่ยต่อ “วิธีการป้องกันและรับมือกับวิญญาณคือสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง นอกจากนี้ คุณคิดว่ามีผู้ฝึกตนกี่คนในจีนที่มีความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ? พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมาที่สำนักฝึกตนแห่งแรกกันหมดแล้ว และเราก็ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือมากมายจากเมืองต่าง ๆ โดยรอบ มันยังมีแม้กระทั่งเมืองที่รวมตัวกันเพื่อรวบรวมทรัพยากรของพวกเขาเพื่อดึงดูดเหล่าผู้ที่มีความสามารถที่ดีที่สุด น่าเสียดาย เหล่าผู้ฝึกตนที่มีความสามารถนั้นมีอยู่อย่างจำกัด และบังเอิญว่าคุณเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถที่ทุกฝ่ายกำลังต้องการตัว”
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ “พรสวรรค์ของคุณจะสูญเปล่าหากยังคงอยู่ในสถาบัน ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจที่จะระงับหน้าที่การสอนของคุณเป็นการชั่วคราวเพื่อที่จะได้ให้คุณนำความสามารถตรงนี้ไปใช้ประโยชน์ในที่อื่น ๆ แต่คุณก็ยังถือว่าเป็นอาจารย์ผู้สอนของเราเหมือนเดิม เราจะถือว่าสถานที่ซึ่งคุณถูกย้ายไปประจำการเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเขตไล่ล่าที่ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกจะใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนต่อสู้จริงของเหล่านักเรียน และคุณก็จะยังได้รับคะแนนการสอนและสิทธิพิเศษต่าง ๆเหมือนกับว่าคุณยังไม่ได้ออกจากสถาบัน คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
แน่นอนว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งนี้!
มันจะมีอะไรดีกว่านี้อีกล่ะ? ฉินเย่สบตาอีกฝ่ายพร้อมกับประกายของความพึงพอใจในแววตา “ผมยอมรับเหตุผลของคุณ ถึงแม้ว่ามันจะน่าเสียดายที่ผมจะไม่ได้ทำการสอนที่สถาบันอีก แต่การไม่มีอาจารย์ผู้สอนที่เชื่อใจได้ประจำการอยู่ในสถานที่ฝึกฝนต่อสู้จริงของทางสถาบันก็น่าเป็นกังวลไม่แพ้กัน อืม… ผมตกลงรับหน้าที่และความรับผิดชอบนี้เอง!”
“เยี่ยมมาก! ผมรู้อยู่แล้วว่าเราสามารถพึ่งพาคุณได้!” โจวเซียนหลงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด “มา ๆ อาจารย์ฉิน มาดูเมืองที่เราได้เลือกไว้ให้คุณ ทางเราได้เลือกเมืองที่มีการเกิดการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติสูงที่สุดไว้ให้เพื่อที่ความสามารถของคุณจะได้ไม่สูญเปล่า! นอกจากนี้ ตอนที่เราตรวจร่างกายของคุณก่อนหน้านี้ เราพบว่าคุณกำลังใกล้ที่จะบรรลุเป็นขั้นยมทูตขาวดำแล้ว การได้เข้าไปอยู่ในการต่อสู้ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจะช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุไปสู่ขั้นต่อไปของคุณ!”
เดี๋ยวก่อนนะ…
ฉินเย่จ้องหน้าโจวเซียนหลงราวกับเพิ่งเห็นผี
ใครเป็นคนบอกคุณว่า ‘การต่อสู้ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย’ คือหนึ่งในเกณฑ์การเลือกเมืองที่จะไปประจำการของผม? นี่คุณช่วยเลิกตัดสินใจแทนผมสักทีได้ไหม?!
ผมอยากจะได้บ้านที่อยู่ติดกับชายทะเลและตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอม ๆ ของเตียงที่โรยด้วยดอกกุหลาบ!