ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 371 หอแห่งการสั่นสะเทือน
บทที่ 371: หอแห่งการสั่นสะเทือน
ตอนนี้ยมโลกกำลังขับเคลื่อนไปอีกระดับ
แม้แต่คนตาบอดก็สามารถบอกได้ว่ายมโลกกำลังเต็มไปด้วยความตึงเครียด นอกจากนี้ ฉินเย่เองก็ไม่ได้ปิดกั้นการหลั่งไหลของข้อมูลแต่อย่างใด ข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ยมโลกกำลังจะระดมกองกำลังในอนาคตอันใกล้จึงแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น รวมถึงเรื่องที่ว่าใครหรือที่ใดคือเป้าหมาย
“บางคนบอกว่าเรากำลังจะเดินทัพไปญี่ปุ่น บางคนบอกว่าเรากำลังจะเดินทัพกลับไปที่ยมโลกแห่งเก่า ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าเรากำลังจะออกเดินทางไปสำรวจพื้นที่สำหรับสร้างเมืองท่าแห่งใหม่ แต่ข่าวลือที่หนาหูมากที่สุดก็ยังคงเป็นข่าวลือที่ว่ายมโลกจะเผชิญหน้ากับราชทูตทั้ง 12…. หากพูดสั้น ๆ ก็คือ ตอนนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับทุกอย่างเพคะ” ซูตงเซวี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่ จ้องมองไปยังประกายแสงระยิบระยับสดใสที่อยู่ห่างออกไปขณะที่รายงานให้อีกฝ่ายฟัง
ประตูนรกที่ยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าของพวกเขา และกระจกส่องกรรมก็แขวนอยู่ ณ จุดสูงสุดของมัน ส่องแสงระยิบระยับขณะที่ส่องลำแสงสีดำไปทั่วยมโลกราวกับกำลังไฟฉายขนาดใหญ่ สิ่งที่มันกำลังทำตอนนี้ก็คือหาตาพลังหยิน ซึ่งเป็นจุดที่มีความเข้มข้นของพลังหยินมากที่สุด เพราะสิ่งปลูกสร้างพิเศษของยมโลกสามารถสร้างขึ้นได้ในสถานที่เหล่านี้เท่านั้น และมันก็สามารถหาได้โดยการใช้กระจกส่องกรรมที่แขวนอยู่เหนือประตูนรกส่องหาเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตาพลังหยินนั้นมีอยู่อย่างจำกัดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อยมโลกมีขนาดไม่ถึงหมู่บ้าน มันมีตาพลังหยินอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น และนั่นก็เพื่อให้ยมโลกใช้สร้างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณหนึ่งแห่ง แต่หลังจากการขยายครั้งแรกของยมโลก ตอนนี้พวกเขามีตาพลังหยินอยู่ทั้งสิ้นสามแห่ง และพวกเขาก็กำลังใช้หนึ่งในนั้นในการสร้างหอแห่งการสั่นสะเทือน
หอแห่งการสั่นสะเทือนคือสถานที่แห่งเดียวที่อาวุธยุทโธปกรณ์สามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร หรืออาวุธยุทโธปกรณ์จะถูกสร้างขึ้นอย่างไร ตอนแรกฉินเย่ตั้งใจที่จะสร้างหอแห่งการสั่นสะเทือนขึ้นมาก่อนการประชุมราชสำนักกับราชทูตทั้ง 12 เพื่อทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงและยอมจำนน อย่างไรก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น และมันก็คือเหตุผลเดียวที่ทำให้การสร้างหอแห่งการสั่นสะเทือนถูกเลื่อนออกมาจนถึงตอนนี้
การสร้างสิ่งปลูกสร้างพิเศษของยมโลกไม่จำเป็นต้องใช้กำลังคน หินวิญญาณจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศ หมุนไปรอบ ๆ จนเกิดเป็นวังวนหินวิญญาณที่สร้างรูโหว่ที่กว้างกว่า 100 เมตรขึ้นบนเมฆ พลังหยินสีเขียวเข้มเริ่มหลั่งไหลออกมาจากรูบนท้องฟ้าราวกับน้ำตกขนาดใหญ่ ส่งให้พลังหยินที่กระจัดกระจายไปทั่วกระทบกับพื้น ในขณะเดียวกัน อักขระโบราณเปล่งประกายขึ้นบนพื้น ณ จุดที่กระจกส่องกรรมส่องลำแสงมากระทบ
ฟึ่บ! ลำแสงสีดำปะทุขึ้น และหินวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาด้านล่าง ในเสี้ยววินาทีต่อมา พื้นดินด้านล่างก็นูนขึ้น
วิญญาณกว่าหมื่นตนอ้าปากค้าง มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยลมหายใจที่ขาดห้วงขณะที่พื้นดินเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมีความสูงกว่าหลายร้อยเมตร! พื้นดินโดยรอบเองก็ยกตัวขึ้นเช่นกัน กลายเป็นภูเขาที่มีลักษณะคล้ายกับกราฟพาราโบลาที่สมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีดำที่อยู่โดยรอบก็มาบรรจบกัน และอาคารที่วิจิตรงดงามก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมึนงงของวิญญาณที่อยู่โดยรอบ
แกร็ก ครืนนน… ทราย โคลน และเศษดินหลุดออกจากด้านข้างของอาคารจีนโบราณที่ดูโอ่อ่า พร้อมด้วยกระเบื้องสีดำขัดเงาและเสาไม้มะฮอกกานี ตัวอาคารสูงกว่า 20 ชั้น และกินพื้นที่ประมาณ 1,000 เมตร ธงวิญญาณจำนวนมากห้อยลงมาจากชายคา ปลิวไหวไปมาตามแรงลมอย่างสง่างาม
“โอ้ว…” “เหลือเชื่อ…” “ที่นี่คือโลกใต้พิภพจริง ๆ… มันแตกต่างจากแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง…”
เสียงฮือฮามากมายดังมาจากเหล่าฝูงชน ฉินเย่ได้เห็นการสร้างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณมาด้วยตาของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ประหลาดใจเท่าเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบ แต่เขาก็ไม่คิดว่าศูนย์ผลิตอาวุธจะกินพื้นที่กว้างขนาดนี้
ทันทีที่หอแห่งการสั่นสะเทือนถูกสร้างเสร็จสิ้น ฉินเย่ก็ถามขึ้น “เสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูตงเซวี่ยยังคงตกตะลึงกับการก่อสร้างของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ ดังนั้นนางจึงสะดุ้งเล็กน้อยกับการถามอย่างกะทันหันของฉินเย่ “เพคะ?”
“ข้าถามว่าเสียงตอบรับจากเหล่าประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อ่า… เสียตอบรับ – เสียงตอบรับดีทีเดียวเลยเพคะ” นางรีบรวบรวมสติและตอบออกไป “ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาตอบสนองค่อนข้างดีต่อการเปลี่ยนแปลง และ… ยังสนับสนุนมากทีเดียว”
ฉินเย่แย้มยิ้มบาง นั่นแน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนี้เหล่าวิญญาณเต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในชาติ ชาติของพวกเขากำลังจะส่งกองกำลังออกไป แทนที่จะถูกกดขี่จากกองกำลังภายนอก การกระทำเหล่านี้คือศูนย์รวมของความภาคภูมิใจและความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง และความภาคภูมิใจเหล่านั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจากชัยชนะครั้งล่าสุดที่เพิ่งได้รับมา
ความมั่นใจอูโซเนียได้มาจากที่ใด?
มันมาจากสงครามและความตึงเครียด
อันที่จริง แนวโน้มของการพัฒนาความรู้สึกเหล่านั้นจะเพิ่มมากขึ้นก็ต่อเมื่อเหล่าประชาชนพบว่าการกระทำของรัฐบาลไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาในทางลบ และยังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับพวกเขาอีกด้วย ผู้ใดกันจะเอ่ยต่อว่าการกระทำของรัฐในตอนนี้? ฉินเย่รู้ดีว่าหากเขาต้องการจะเกณฑ์ทหารให้ได้มากกว่านี้ เขาก็ต้องแสดงให้เหล่าประชาชนเห็นถึงประโยชน์ของสงครามในลักษณะที่พวกเขาสามารถจับต้องได้
แต่นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ ฉินเย่เก็บความคิดพวกนี้เอาไว้และหันไปมองหอแห่งการสั่นสะเทือน การก่อตั้งของมันคือก้าวแรกที่ดีของยมโลก ด้วยสิ่งนี้ พวกเขาสามารถเริ่มคิดเกี่ยวกับคำสั่งซื้อของหลิวอวี้ และรวมถึงเรื่องของยุทโธปกรณ์ชุดต่อไปที่จะถูกผลิตขึ้นในยมโลก ช่างฝีมือจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ดีเพื่อที่จะทำงานออกมาให้ดี เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องลับคมเขี้ยวไว้หากต้องการล่าเหยื่อที่ดีได้ วินาทีที่กระดองของแมลงแห่งหายนะชุดใหม่มาถึงจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่พวกเขาออกเดินทางเพื่อทำการสำรวจดินแดนใหม่
อาร์ทิสเดินนำเข้าไปในหอแห่งการสั่นสะเทือน ในขณะที่โนบูนางะ กู่ชิง รัฐมนตรีฝ่ายโลจิสติกส์ ฉินเย่ และผู้ติดตามของเขาก็ตามเข้าไปติด ๆ
สิ่งแรกที่สะดุดตาของพวกเขาก็คือโถงที่กว้างขนาดร้อยเมตรและสูงกว่า 400 เมตร
คัมภีร์อัญเชิญวิญญาณถูกติดอยู่โดยรอบ ทำให้ทั่วทั้งสถานที่ดูน่ากลัวขึ้น และสิ่งแรกที่ทักทายพวกเขาก็คือภาพจิตรกรรมติดฝาผนังขนาด 20×10 เมตรของจงขุยที่กำลังจับวิญญาณอยู่ ภาพของจงขุยจับเหล่าวิญญาณจำนวนมาก มันเป็นภาพที่เหมาะสมกับโถงที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก[1] เครื่องตกแต่งอื่น ๆ เองก็เหมาะสมกับบรรยากาศของยมโลกภายในโถงเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของตี้ทิง เซี่ยจื้อ และยูนิคอร์น รวมถึงอื่น ๆ อีกมากมาย แม้แต่ต้นบอนไซเองก็ยังบิดเบี้ยวอย่างน่าขนลุก ความประทับใจแรกที่พวกเขามีต่อโถงขนาดใหญ่บอกพวกเขาทันทีเลยว่านี่คือสิ่งที่ไม่สามารถพบเจอได้ในแดนมนุษย์
บรรยากาศโดยรอบน่าขนลุกและน่ากลัวเป็นอย่างมาก
เวลานี้หอแห่งการสั่นสะเทือนยังคงไร้ซึ่งวิญญาณดวงใด ๆ และพวกเขาก็สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องไปทั่วโถงอาคารที่ว่างเปล่าและเย็นยะเยือกได้อย่างชัดเจน ฉินเย่เดินไปรอบ ๆ และเขาก็พบว่าบนหน้าประตูทุกบานภายในนี้มีป้ายติดอยู่
ฝ่ายยันต์หยิน ฝ่ายยุทโธปกรณ์ ฝ่ายวัสดุ…และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละห้องมีขนาดประมาณ 40-50 เมตร และสิ่งที่อยู่ด้านในก็ค่อนข้างแปลกประหลาดจนไม่แน่ใจว่ามันควรจะถูกใช้อย่างไร
ฉินเย่หยุดลงตรงหน้าห้องของฝ่ายตัดแต่งก่อนจะถามด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันยุ่ง “เราจะใช้ของพวกนี้อย่างไรกัน?”
ทุกอย่างมันแตกต่างไปจากโรงงานผลิตในแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าภายในห้องนี้จะไม่ได้มีอะไรไปมากกว่ารูปปั้นคางคกขนาดใหญ่ตั้งอยู่รอบห้อง แต่มันก็เห็นได้ชัดเจนว่ามันยังไม่สมบูรณ์ แทบจะเหมือนกับว่ามันเคยถูกสอดแทรกด้วยบางอย่าง รูปปั้นทั้งเก้าพิงหลังแนบฝาผนัง ในขณะที่เท้าของพวกมันแนบอยู่กับพื้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่าพวกมันใช้วิธีใดในการตัดแต่งวัสดุ
“หากวัสดุที่ถูกใช้คือแร่ พวกมันจะถูกส่งไปยังฝ่ายหลอม แต่หากพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิต มันจะถูกส่งมาที่นี่แทน” อาร์ทิสไล่นิ้วไปตามคางคกด้วยท่าทางราวกับหวนนึกถึงอดีต “จงอย่าดูถูกยมโลก… ข้อเท็จจริงที่มันอาจจะดูล้าสมัยและโบราณไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จงระวังคำพูดของตัวเองให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พระองค์อาจต้องกลืนคำพูดของตัวเอง”
นางโบกมือ และวิญญาณตนหนึ่งก็ถือกล่องที่เต็มไปด้วยหินวิญญาณมาให้
ด้วยการวาดมืออีกหนึ่งครั้ง ศพของแมลงแห่งหายนะปรากฏขึ้นในมือ นางโยนศพของมันเข้าไปในปากของคางคกและประสานมือเข้าด้วยกันเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง ภายในพริบตา หินวิญญาณในกล่องก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่พบว่ารูปปั้นที่อยู่รอบห้อง รวมถึงลวดลายตามผนังห้องได้มีซอกเล็ก ๆ ที่หินวิญญาณสามารถสอดเข้าไปได้
ตำแหน่งพวกนี้รวมถึงจุดอับสายตาอย่างมุมห้อง หรือดวงตาของรูปปั้นตี้ทิง และแม้แต่รูโหว่ในกระถางต้นไม้ ทันทีที่หินวิญญาณกระจายเข้าไปอยู่ในจุดเหล่านั้น ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้น
พรึ่บ… ดวงตาของคางคกทั้งหมดเปล่งแสงออกมาพร้อมกัน จากนั้น ก่อนที่เหล่าคนทั้งหมดจะได้อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง พื้นด้านล่างของพวกเขาก็ลดตัวต่ำลง!
ครืดดดด… พวกเขาค่อย ๆ ลดระดับต่ำลงมาราวกับอยู่ในลิฟต์ ไม่กี่วินาทีต่อมา ภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า!
“นี่มัน…” โนบูนางะรู้สึกได้ถึงเลือดในกายที่กำลังเดือดพล่านและแล่นขึ้นสู่สมองขณะที่เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึง “นี่มัน…น่าเหลือเชื่อมาก!”
กู่ชิงเองก็แน่นิ่งไปด้วยความตกตะลึงและจ้องมองสิ่งรอบตัวของตน หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ข้าไม่อยากเชื่อ… ว่านี่… นี่คือสิ่งที่มีอยู่ในยมโลกเมื่อร้อยปีก่อน…”
แม้แต่ริมฝีปากของฉินเย่เองก็อ้าค้างขณะที่เขาหันมองรอบ ๆ อย่างทื่อ ๆ ราวกับหุ่นยนต์ที่ขึ้นสนิม ไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็สบถออกมาเสียงเบา “แม่เจ้า…”
มันคือถ้ำขนาดใหญ่
ถ้ำขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่อย่างน้อย 10,000 เมตร!
มันตั้งอยู่ ณ ใต้พื้นดินของยมโลกอีกทีหนึ่ง!
ถ้ำตรงหน้าดูไม่ต่างอะไรกับชามที่ถูกวางคว่ำหน้าลง ส่วนพื้นเป็นเหมือนกับแผ่นเสียงที่ประกอบด้วยวงแหวนหินขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยแผ่นหินแต่ละแผ่นถูกแกะสลักเป็นรูปคล้ายพระจันทร์ที่ยาว 100 เมตรและกว้าง 10 เมตร
ณ จุดกึ่งกลางของพื้นที่มีเตาเผาจีนโบราณขนาดใหญ่ที่มีความยาวรอบรูปประมาณ 1,000 เมตรตั้งอยู่! สัญลักษณ์ไทชิถูกวาดอยู่บนพื้นผิวของมัน และร่องขนาดใหญ่ก็ยื่นออกมาจากปากเตา
เมื่อเทียบกับมัน วิญญาณทั้งหมดดูไม่ต่างอะไรไปจากพวกมดเลยสักนิด ความแตกต่างทางขนาดระหว่างพวกเขานั้นมากมายราวกับโลกและสวรรค์ ไม่มีผู้ใดที่จะไม่รู้สึกทึ่งกับความชาญฉลาดของเหล่าบรรพบุรุษ วิญญาณโบราณของพวกตน เพดานด้านบนเต็มไปด้วยประติมากรรมนูนของภูตผีนับหมื่น ในขณะที่ผนังของมันถูกตกแต่งด้วยประติมากรรมนูนที่เป็นศีรษะของตี้ทิงจำนวนมาก และแต่ละชิ้นก็มีขนาดอย่างน้อย 50 เมตร
มันน่าทึ่งจนผู้พบเห็นเผลอกลั้นหายใจ…
มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่คนคนหนึ่งเห็นความกว้างขวางภายในพีระมิดเป็นครั้งแรก ไม่มีผู้ใดสามารถจิตนาการได้ว่าของสิ่งนี้จะสามารถมีอยู่ในยมโลกมาตั้งแต่เกือบร้อยกว่าปีก่อนได้!
วิญญาณในยุคสมัยของสังคมศักดินา…สามารถสร้างสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร? มันไม่น่าเชื่อพอ ๆ กับการสร้างกำแพงเมืองจีนรอบทั้งประเทศดี ๆ นี่เอง
“เราไม่มีเวลาให้ตกตะลึง” อาร์ทิสชี้ไปรอบ ๆ “ลองสังเกตดูดี ๆ โดยเฉพาะท่าน ท่านโนบูนางะ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ท่านอาจจะได้มาใช้งานอยู่บ่อยครั้งในอนาคต”
ตอนนี้ความคิดของแม่ทัพญี่ปุ่นล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของยมโลก… เมื่อเทียบกับโรงผลิตอาวุธของญี่ปุ่นและเตาหลอมที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต นี่มันคนละระดับกันเลย! หากพูดกันตามตรง มันเหนือความคาดหมายของเขามาก!
อิซานามิ?
ฮ่า ๆๆๆ… นางจะสามารถทำอะไรได้? เขาเคยอยู่ที่โลกใต้พิภพของญี่ปุ่นมาก่อน มันเทียบกับสิ่งนี้ไม่ได้เลยสักนิด
แม้แต่เมืองใต้พิภพก็ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการผลิตอาวุธที่ใหญ่ขนาดนี้ และนี่ยังเป็นเพียงโรงผลิตอาวุธในระดับเมืองอีกด้วย
ความคิดเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตนสามารถผลิตได้ในโรงงานแห่งนี้ทำให้เลือดในกายของโนบูนางะเดือดพล่าน
“ท่านโนบูนางะ?” เสียงเรียกของอาร์ทิสดึงเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในที่สุด โนบูนางะหันหน้าไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ และเขาก็พบแผ่นหินแต่ละแผ่นมีโต๊ะและม้านั่งอยู่หลายสิบตัวตั้งอยู่ล้อมรอบ
ม้านั่งทั้งหมดถูกทำมาจากไม้ ในขณะที่โต๊ะทั้งหมดถูกทำมาจากหิน เมื่อมองดูดี ๆ เขาพบว่าอุปกรณ์และเครื่องมือจำนวนมากถูกวางเรียงอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ ของโต๊ะ เมื่อถอยออกมา โนบูนางะก็พบว่าโต๊ะหินทั้งหมดนั้นวางเรียงอยู่ตรงด้านข้างของวงแหวน แม่ทัพโบราณเข้าใจเจตนาแฝงที่อยู่ภายใต้การจัดเรียงพวกนี้ทันที
“สายการผลิต…” เขาก้าวเท้าออกมาด้านหน้าและจับที่โต๊ะหิน “นี่คือ… สายการผลิตยุทโธปกรณ์อย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ยมโลกแห่งเก่าเองก็ยังคงพยายามตามยุคสมัยใหม่ให้ทัน” อาร์ทิสแย้มยิ้มบาง นึกถึงตอนที่ตนเองเคยตกตะลึงกับสิ่งเหล่านี้เมื่อครั้งแรกที่ได้เห็น
“นี่คือจุดที่หอแห่งการสั่นสะเทือนผลิตยุทโธปกรณ์ ด้านบนคือจุดที่วัสดุและวัตถุดิบทั้งหมดได้รับการผ่านกระบวนการต่าง ๆ เหนือขึ้นไปอีกคือชั้นที่ใช้สำหรับทำการวิจัยและการพัฒนา ธนู หอก โล่ และชุดเกราะต่างมีห้องเป็นของตนเอง นอกจากนี้ พวกเขายังให้ความสนใจกับหัวข้อการวิจัยของตนเองเกี่ยวกับแง่มุมที่แตกต่างกันอีกด้วย ส่วนชั้นล่างสุดคือชั้นซึ่งการวิจัยเหล่านี้ถูกนำมาฝึกใช้จริง”
“พระองค์ทรงอยากเห็นหรือไม่ว่ามันจะอย่างไรเมื่อถูกปลุกให้ตื่นขึ้นและทำงาน?” นางชี้ไปที่จุดกึ่งกลางอย่างภาคภูมิใจ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่ตระหนักได้ว่ากล่องมากมายได้ถูกนำมาวางไว้รอบ ๆ เตาเผาขนาดใหญ่นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หรือ…
ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมาภายในหัว ทำให้เปลือกตาของเขากระตุก และเส้นเลือดบริเวณหน้าผากเริ่มนูนขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร อาร์ทิสก็ชี้มือ และหินวิญญาณที่อยู่ภายในกล่องก็เริ่มไหลออกมาราวกับคลื่นและเข้าไปในเตาเผาทันที มันราวกับว่าปุ่ม ‘เปิด’ ถูกกด และเสียงเริ่มทำงานก็ดังก้องขึ้น
กึก กึก กึก กึก… พื้นดินเริ่มสั่นไหว และก้อนหินขนาดใหญ่ก็เริ่มหมุน วงแหวนที่อยู่ประชิดกันเริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน การเคลื่อนไหวของมันไม่ได้เร็ว แต่มันก็สามารถทำให้สายการผลิตทั้งหมดเคลื่อนไหวได้อย่างลงตัว!
พรึ่บ!!!
ไม่นานความคิดของคนทั้งหมดก็ถูกขัดจังหวะด้วยลูกบอลไฟนรกขนาดใหญ่ที่ปะทุขึ้นจากภายในเตาเผา หลังจากนั้น… แสงสว่างจ้าก็สาดส่องไปทั่วทุกมุมของถ้ำใต้ดิน
เปลวไฟนรกสีทองลุกโชนราวกับคบเพลิงที่สว่างไสวอยู่ภายในความมืด ลำแสงสีทองแผ่ออกไปทั่วทุกทิศทางและทะลุผ่านรอยแตกบนพื้นดิน มันแทบจะเหมือนกับว่าทั้งหอแห่งการสั่นสะเทือนได้มีชีวิตขึ้นมาภายในฉันพลัน
[1] เทพกึ่งปีศาจในตำนานเทพของจีน เชื่อกันว่าจงขุยเป็นผู้กำราบปิศาจร้ายซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยจ้าวนรก