ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 374 การเดินทางครั้งใหม่
บทที่ 374: การเดินทางครั้งใหม่
คืนนั้นฉินเย่ไม่ได้ข่มตาหลับเลยสักนิด
เขาจ้องมองวิทยาเขตของสำนักฝึกตนแห่งแรกอย่างไม่ละสายตา เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขาจะไม่มีทางได้ติดต่อคนเหล่านี้อีกแล้วทันทีที่จากไป พวกเขาเพิ่งโบกมือลากันเมื่อครู่ และบอกว่าพวกเขาจะได้ ‘เจอกันอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้’ แต่ฉินเย่รู้ดี นี่เป็นเพียงการเอ่ยคำลาแต่โดยดีเท่านั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่สามารถรักษาตัวตน ๆ หนึ่งไว้ได้นานมากนัก ระยะเวลาห้าปีคือมากที่สุด จากนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดฉากการตายของตัวเอง ก่อนจะเริ่มต้นใหม่ขึ้นที่ไหนสักแห่งด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่างออกไป
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็ละสายตาและถอนหายใจออกมา “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากความไม่สมดุลระหว่างโลกใต้พิภพและแดนมนุษย์” หัวใจของเด็กหนุ่มพลันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะฟื้นฟูยมโลกขึ้นมาใหม่และทำให้มันแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยเป็นมา
นั่นไม่ใช่หมายความว่าเขาจะสามารถประกาศตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้อย่างเปิดเผยกับที่แดนมนุษย์ทันทีที่ยมโลกฟื้นฟูกลับสู่ความรุ่งโรจน์ได้แล้วหรอกหรือ?
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับราชาผี หรือกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากโลกใต้พิภพของต่างประเทศอีกแล้ว และเขายังไม่ต้องหวาดกลัววิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกด้วย
เขาสามารถติดต่อกับทุกคนผ่านความฝันของคนนั้น เปิดเผยความจริงที่ว่าเขามาจากยมโลก และไม่ต้องแอบอยู่ในแดนมนุษย์และสร้างตัวตนใหม่ในทุก ๆ ห้าปีอีกแล้ว
แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตระหนักได้ว่ามันยังเป็นการเดินทางอีกยาวไกล ไม่เพียงแต่เงื่อนไขอันยากลำบากที่จะต้องบรรลุเท่านั้น แต่หากเป็นไปได้…เขาก็อยากจะเปิดเผยการดำรงอยู่ของยมโลกให้กับแดนมนุษย์ได้รับรู้ และประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ว่าวิญญาณที่ไม่ได้รับการลงโทษในแดนมนุษย์จะไม่ถูกปล่อยผ่านโดยยมโลก อาชญากรรมที่เล็ดลอดจากกฎหมายของแดนมนุษย์จะถูกจับและนำมาพิจารณาเมื่อทุกดวงวิญญาณเดินผ่านประตูนรก
พระเจ้าและเทพเจ้าจะกลายเป็นแกนหลักในแดนมนุษย์ เมื่อถึงเวลานั้น ยมโลกและแดนมนุษย์จะสามารถร่วมมือกันได้อยู่อีกอย่างนั้นหรือ? วิญญาณทั้งหมดจะสามารถกำจัดห่วงที่ติดค้างของพวกเขาได้หรือไม่? ผู้กระทำผิดจะรู้สึกละอายและหวาดกลัวกับความคิดที่ต้องเผชิญหน้ากับเหยื่อของพวกเขาหรือไม่?
“แต่เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นจะเป็นไปได้หรือเปล่า…” เขาหลับตาลงและฟังเสียงร้องของพวกแมลงและคางคกโดยรอบและเอ่ยพึมพำเสียงเบา “แต่มันก็ไม่ใช่ว่าการลองดูสักตั้งจะเสียหายอะไร…”
ลองดูสักตั้งเถอะ… เสียงภายในใจตะโกนบอก
เพื่อตัวของเขาเอง และประเทศของเขาด้วย
หลังจากที่ถูกขโมยชีวิตมากว่าร้อยปี ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ทำไมถึงจะไม่สู้ล่ะ?
ไม่นานช่วงเวลากลางคืนก็ผ่านไป และรุ่งอรุณก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อคืนนี้เขาคุยกับสวี่อันกั๋วเป็นเวลานานก่อนที่จะกลับมาที่ห้องพัก และชายสูงวัยก็ได้บอกเขาถึงสิ่งที่ควรจะระวังเมื่อไปถึง รวมถึงเขาต้องทำอะไร และต้องไปที่ไหน อีกฝ่ายสอนเขาถึงวิธีการควบคุมจำนวนเขตไล่ล่าในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ส่งผลถึงการใช้ชีวิตของประชาชน รวมถึงวิธีการที่ดีที่สุดในการเฝ้าติดตามเขตนักล่าที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเอง และท้ายที่สุดสวี่อันกั๋วก็ถามเขาว่าเขาต้องการจะบินไปยังจุดมุ่งหมายเลยหรือเปล่า
แน่นอนว่าฉินเย่ปฏิเสธ
เขาซื้อตั๋วรถไฟในรอบบ่าย เมื่อนาฬิกาปลุกตอน 07.00 น.ดังขึ้น มีนักเรียนจำนวนมากที่เริ่มฝึกฝนช่วงเช้าของตัวเอง ฉินเย่ใส่พลังเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกของเขาและกลับไปยังยมโลกทันที
“สีหน้าของเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก” อาร์ทิสรอคอยเขาอยู่ที่ประตูนรก นางเงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยอย่างสงสัย “สีหน้าของเจ้า… บอกข้าว่าเจ้ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ หรือว่าเจ้ากำลังมีอะไรไม่พอใจ?”
แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ? ผู้คนส่วนใหญ่จะมีการแสดงออกเช่นนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเจ็บ แต่ความรู้สึกของฉินเย่นั้นถูกกัดกินไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย เขาหยิบถุงเอกภพที่อาร์ทิสยื่นให้และใส่พลังหยินของตนเข้าไป จากนั้นหินโปร่งใสรูปทรงหกเหลี่ยมที่มีขนาดไม่เกินนิ้วหัวแม่มือก็ลอยออกมา
มันคือหมุดปักดินแดนที่มีชื่อว่าตะเกียงหวนหยาง อาร์ทิสทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนตั้งแต่การประชุมครั้งล่าสุดในยมโลกเพื่อที่นางจะได้สามารถหล่อหลอมหมุดปักดินแดนนี้ขึ้นได้สำเร็จก่อนที่ฉินเย่จะเริ่มออกเดินทาง
“จุดหมายปลายทางอยู่ห่างจากที่นี่ 800 กิโลเมตร ดังนั้นเราจึงมีหมุดอยู่ทั้งสิ้นสี่ตัว จงอย่าทำมันหายเด็ดขาด” อาร์ทิสอธิบายเสียงขรึม “เมื่อเจ้าเดินทางออกจากสำนักฝึกตนแห่งแรกและออกจากพรมแดนของมณฑลอันฮุ่ย เจ้าจะต้องกลับมาที่ยมโลกทันที ข้าจะช่วยให้เจ้าทะลุคอขวดเป็นขั้นตุลาการนรก เมื่อเจ้าบรรลุเป็นขั้นตุลาการนรก ควบคู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคือจ้าวนรกของยมโลก เจ้าจะสามารถระบุตำแหน่งของตาพลังหยินได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากกระจกส่องกรรมอีกต่อไป เพราะวิญญาณและวิญญาณอาฆาตส่วนใหญ่จะรวมตัวกันอยู่ใกล้กับบริเวณของตาพลังหยินเหล่านี้ อีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าจะต้องได้เผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางเมื่อเจ้าตั้งใจจะปักตะเกียงหวนหยางลงในแดนมนุษย์อย่างแน่นอน และพวกมันก็จะหายไปเมื่อเจ้าสามารถปักหมุดปักดินแดนได้สำเร็จเท่านั้น”
ฉินเย่พยักหน้าและโยนถุงเอกภพขึ้นไปในอากาศ “จะว่าไป… ท่านคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่หยินและหยางจะอยู่ร่วมกันได้หรือไม่?”
อาร์ทิสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย อยากรู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงถามอะไรแบบนี้กับนาง
“หากแดนมนุษย์รู้ถึงการมีอยู่ของโลกใต้พิภพ และโลกใต้พิภพก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ ยกตัวอย่างเช่น ผ่านการค้าขาย ท่านคิดว่า…มันมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จหรือไม่?” ฉินเย่ไม่สนใจปฏิกิริยาของอาร์ทิสและถามต่อ สีหน้าของเด็กหนุ่มขณะเอ่ยออกมานิ่งเรียบ
“นี่เมื่อเช้านี้เจ้ากินยาผิดขวดมาหรืออย่างไรกัน?” อาร์ทิสมึนงงกับคำถามของคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่นิสัยของฉินเย่เลยสักนิดที่จะมาสนใจเรื่องอะไรแบบนี้ เพราะอย่างไรแล้ว ฉินเย่ก็มักจะกังวลเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดของตัวเอง ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือในอนาคต
“บอกมาว่ามันเป็นไปได้หรือไม่! ไม่ต้องพูดนอกเรื่อง!” ฉินเย่ตะคอกกลับอย่างหงุดหงิด
นี่ข้าถูกตะคอกหรือ… แต่ไม่น่าเชื่อ อาร์ทิสไม่ได้โกรธเลยสักนิด กลับกัน นางเพียงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ก่อนจะแย้มยิ้มบาง
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าเจ้าไปเจอสิ่งใดมาในแดนมนุษย์… แต่คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ‘มันเป็นไปได้’ ”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองอาร์ทิสอย่างตกตะลึง
จริงหรือ?
อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “เจ้ารู้หรือไม่… ว่าเหตุใดมันถึงมีตำนานมากมายเกิดขึ้นในอดีต?”
ฉินเย่ส่ายหน้า
“มันก็เป็นเพราะว่า… มีครั้งหนึ่งที่โลกทั้งสามใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เทพเจ้าและผู้เป็นอมตะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่พวกเขามักจะอาศัยอยู่บนภูเขาและในหนองน้ำ แม้แต่อาทิวิสุทธิ์เทพสูงสุดของลัทธิเต๋าก็มิใช่ข้อยกเว้น แต่ เมื่อเวลาผ่านไป จักรพรรดิแห่งแดนมนุษย์ต้องการรวมอำนาจไว้เป็นศูนย์กลาง ไม่รวมโลกทั้งสองโลกที่อยู่ในระนาบเดียวกันได้อีกต่อไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปตามกำหนดของสวรรค์ ดังนั้นโลกทั้งสามจึงแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง” [1]
“และการแยกจากกันนั้นก็ทำสำเร็จโดยใช้สมุดของเหล่าเทพ ตำนานภูผามหาสมุทร และสมุดแห่งความเป็นตาย วัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี้ผูกโยงโลกทั้งสามไว้กับสวรรค์ ไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์กันอีก และตั้งแต่นั้นมา ตำนานต่าง ๆ ก็เริ่มน้อยลง หากเจ้าต้องการทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนยุคสมัยของจ้าวนรกองค์แรก หยินและหยางได้กลับมาอยู่รวมกันอีกครั้ง อันดับแรกเจ้าก็ต้องทำให้แดนมนุษย์เห็นถึงข้อดีของการก่อตั้งช่องทางการติดต่อระหว่างพวกเขากับโลกใต้พิภพให้ได้เสียก่อน”
“ระบุให้ชัดเจนกว่านี้ที”
“เจ้าจะให้ข้าระบุให้ชัดเจนกว่านี้ได้อย่างไร?” อาร์ทิสกลอกตา “ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในบันทึกนรกที่ข้าเคยอ่านผ่านมาในอดีต ผู้ใดจะไปสนใจกันว่าพวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร หรือสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นเช่นไร? เจ้าเองก็เห็นไม่ใช่หรือว่าม้วนกระดาษใหญ่เพียงใด? และมันก็ต้องมีคำมากกว่า 10 ล้านคำถูกเขียนอยู่ในนั้น นอกจากนี้ หากเจ้าไม่อยากจะปกครองยมโลกเหมือนกับที่จ้าวนรกองค์แรกทำ เจ้าก็สามารถทำตามการปกครองของท่านจ้าวนรกองค์ที่สองได้ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสามโลก แข็งแกร่งจนอยู่เหนือกฎของสวรรค์ และเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะสามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ แต่ลืมมันเสียเถอะ…มันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่คิดถึงเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ เพราะอย่างไรแล้ว จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกก็เป็นผู้ที่ไม่สามารถมีใครเทียบได้มาตลอดประวัติศาสตร์ สิ่งใดที่ทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถมีพลังเทียบเท่าพระองค์ได้?”
ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าเป็นโฮคาเงะรุ่นที่สาม เข้าใจไหม? [2]
คนที่หยิ่งยโสอย่างอาร์ทิสจะสามารถเข้าใจความคิดที่อยู่ภายในหัวของฉินเย่ได้อย่างไร? ด้วยการสะบัดมืออย่างรวดเร็ว ม้วนกระดาษที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับยมโลกก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉินเย่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งเข้าไปในถุงเอกภพ “แม้ว่าเจ้าจะต้องการทำให้หยินและหยางกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง มันก็จะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา บางทีบันทึกนี่อาจจะช่วยบอกเจ้าว่าเจ้าต้องทำอย่างไรในการจะทำสิ่งนั้น แต่เจ้าไม่สามารถเร่งรีบได้ นำคัมภีร์ม้วนนี้ไปด้วย และลองดูว่ามีอะไรช่วยได้บ้าง มันสามารถเปลี่ยนร่างเป็นหนังสือได้ตามที่เจ้าจินตนาการ”
ฉินเย่พยักหน้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่หายไปจากยมโลก
คำอธิบายของอาร์ทิสทำให้เขาพอมีความคิดบางอย่าง
“ผลประโยชน์ร่วมระหว่างแดนมนุษย์กับโลกใต้พิภพอย่างนั้นหรือ…” ดวงตาของฉินเย่หรี่เล็กลง และความคิดที่ก่อกวนใจบางอย่างก็ก่อตัวขึ้น
“ช่างเถอะ เกรงว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่เราสามารถคิดได้ก็ต่อเมื่อหลังจากที่ยมโลกได้รับการฟื้นฟูกลับมาแล้ว มันยังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องพวกนี้ ตอนนี้สิ่งแรกที่ควรทำก็คือปูทางไปที่เมืองหวู่หยาง”
เขากลับไปที่ห้องของตน และไม่ออกไปไหน จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมงตรง หลังจากที่การสอนสิ้นสุดลง เขาก็เดินไปที่ประตูหลักของสำนักฝึกตนแห่งแรกพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลังหนึ่งใบ
ทางสถาบันได้จัดการเรื่องกระเป๋าเดินทางใบอื่น ๆ ของเขาให้แล้ว เพราะคนเหล่านั้นรู้ดีว่าเขาคงอยากจะเดินรอบ ๆ สถาบันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากไปเพื่อทำภารกิจต่อไปของตัวเอง ฉินเย่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาค่อย ๆ เดินไปที่ประตูอย่างช้า ๆ ผ่านจุดที่เหล่าประชาชนกำลังพูดคุยกับพวกนักเรียน จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองที่สำนักฝึกตนแห่งแรกเป็นครั้งสุดท้าย
มันดูไม่ต่างอะไรกับวันแรกที่เขามา ป้ายที่เขียนว่า ‘สำนักฝึกตนแห่งแรก’ ยังคงเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์
“ลาก่อน” เด็กหนุ่มยิ้ม ก่อนจะปิดประตูความรู้สึกภายในหัวใจของตัวเอง เรียกรถแท็กซี่และมุ่งหน้าตรงไปที่สถานีรถไฟ
เมืองเป่าอันไม่ได้เชื่อมต่อกับสายของรถไฟความเร็วสูง แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการนั่งรถไฟแบบธรรมดา มันเป็นการดีที่จะชะลอความเร็วลงบ้างเป็นครั้งคราว อย่างน้อยก็เพื่อดูวิวทิวทัศน์โดยรอบโดยที่ไม่ต้องสนใจอะไร
เขาขึ้นมาบนรถไฟและเดินเข้ามานั่งในห้องโดยสารห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเขาหยิบหูฟังขึ้นมาสวมและมองวิวด้านข้างอย่างเงียบ ๆ ขณะที่คนมากมายเดินผ่านไปมาในสถานี ไม่นาน คนอื่น ๆ ก็เดินมานั่งในบริเวณใกล้เคียง
ตรงข้ามกับเขามีชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนกับลูกจ้างแรงงานนั่งอยู่ ในขณะที่คู่ชายหญิงที่ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนั่งอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของห้องโดยสาร ทั้งคู่นั่งติดกันทันทีที่พวกเขาขึ้นรถไฟมา เด็กผู้หญิงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและเริ่มดูเน็ตฟลิกซ์ ในขณะที่เด็กผู้ชายหยิบขนมออกมาทานและป้อนให้แฟนสาวของตนบ้างเป็นครั้งคราว
ฉินเย่หันกลับมาและไม่สนใจคนอื่น ๆ ที่เดินมานั่งในห้องโดยสารเดียวกับตนอีก หากพูดกันตามตรง เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดคุยกับใครทั้งนั้น
ฉึกฉึก…ฉึกฉึก… รถไฟกำลังจะออก เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่สถานีอีกครั้ง ราวกับสถานีแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบของสำนักฝึกตนแห่งแรก จากนั้น เขาก็ต้องชะงักไป
สาเหตุของเรื่องนี้ก็เพราะว่าเขาเห็นหลินฮั่นกำลังยืนอยู่ที่ชานชาลาตรงหน้าบานหน้าต่างที่เขานั่งอยู่ และชูนิ้วกลางให้
ฉินเย่แย้มยิ้มออกมาในที่สุด และเขาก็ชูนิ้วกลางกลับไป
ความรู้สึกของการถูกมาส่ง…มันดีแบบนี้นี่เอง
ทันใดนั้นเอง หลินฮั่นก็สูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและตะโกนออกมาสุดเสียง “ไปซะ!!!” ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบต่างตกตะลึง และพวกเขาก็มองไปที่หลินฮั่นราวกับว่าชายหนุ่มคือพวกโรคจิต แต่ถึงกระนั้น หลินฮั่นก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใดและยังคงยกมือป้องปากตะโกนต่อ “รอให้ผมแต่งงานก่อนแล้วค่อยกลับมา!! แล้วปีหน้าผมจะไปหาที่เมืองหวู่หยาง!!”
ปู๊นนนนน! รถไฟออกตัวในที่สุด
ฉินเย่เผลอโบกมือให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวขณะที่มองร่างสูงของหลินฮั่นค่อย ๆ ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่รอยยิ้มบนใบหน้าเยาว์หุบลงและมือที่ยกสูงก็ถูกวางลงกลับที่เดิม
ขอโทษด้วย
แต่เขาเกรงว่า… นี่คงจะเป็นการจากลาตลอดไป
น่าเสียดาย แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะตอบรับทั้งคำเชิญของเย่ซิงเฉินหรือของหลินฮั่น
“ชีวิตมันก็เป็นเพียงการเดินทางที่แสนยาวนาน และเราก็มีหน้าที่เพียงก้าวเดินต่อไป…” ฉินเย่แย้มยิ้ม “น่าเสียดาย แต่นี่เป็นเพียงสิ่งที่สร้างบาดแผลเล็กน้อยในชีวิตของเราเท่านั้น…“
แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็นึกถึงชื่อของเซี่ยจิ่นเส้อขึ้นมา
เขาต้องการคู่ชีวิตที่สามารถร่วมเดินทางไปกับเขาในเส้นทางที่เรียกว่าชีวิต เขาต้องการคู่ชีวิตเพื่อที่เขาจะไม่ต้องรู้สึกเปลี่ยวเหงาอีกต่อไป
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร และไม่รู้ด้วยว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร แต่หากเป็นไปได้…ฉินเย่ก็อยากจะเจอเซี่ยจิ่นเส้อเหลือเกิน
มันไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะทำอะไรร่วมกัน แค่ได้ดื่มกาแฟร่วมกัน…นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวของกันและกันได้
โชคดี มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้ลืม และหัวใจของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปอยู่ตลอด ดังนั้น เมื่อรถไฟออกนอกเขตใจกลางเมือง หัวใจของฉินเย่ก็สงบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สังคมในสมัยใหม่นั้นค่อนข้างห่างเหินและเย็นชา ฉินเย่ยังคงจำได้ดีถึงช่วงเวลาเมื่อไม่กี่ 20 ปีก่อนที่ผู้โดยสารบนรถไฟที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเดียวกันจะเริ่มพูดคุยกันเพื่อฆ่าเวลาและลดความเบื่อหน่ายของตัวเองลง และพวกเขาก็ทำมันได้อย่างง่ายดายเสียจนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เริ่มปฏิบัติกับอีกฝ่ายราวกับเป็นครอบครัวของตนเอง
แต่ตอนนี้น่ะหรือ?
ทุกคนเพียงก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์หรือไม่ก็รัวนิ้วบนแป้มพิมพ์แล็ปท็อปของตนเอง มันแทบจะเหมือนกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยกั้นผู้โดยสารแต่ละคนออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะทำลายกำแพงที่คนพวกนี้สร้างไว้แต่อย่างใด มันไม่จำเป็น หากพูดกันตามตรง ไม่มีใครในห้องโดยสารรู้สึกสบายใจไปกับบรรยากาศที่เย็นเยือกนี้มากกว่าเขา
ฉินเย่เริ่มใช้พลังหยินของตน ก่อนจะหยิบม้วนคัมภีร์พงศาวดารของยมโลกที่อาร์ทิสได้มอบให้กับตนก่อนหน้านี้ออกมา ซึ่งในเวลานี้ มันได้เปลี่ยนร่างเป็นหนังสือที่หน้าปกถูกเขียนไว้ว่า ‘ระบบบ่มเพาะของมหาจักรพรรดิสวรรค์’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว [3]
อืม… นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนด้วยนักเขียนอ้วนคนหนึ่ง หน้าปกของมันค่อนข้างดีทีเดียว สาเหตุที่เขานำรูปลักษณ์ของมันมาใช้ก็เพราะว่าเขาได้อ่านหนังสือของคนคนนี้มาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่ได้อ่านพงศาวดารของยมโลก เขาพลิกเปิดหน้าแรก และมันก็เป็นสารบัญมากมาย ไล่ตั้งแต่วันเกิดของจ้าวนรกไปจนถึงวันก่อตั้งยมโลก การเติบโตของจ้าวนรก… เขายังคงไล่ตาดูเนื้อหาในหน้านั้นจนกระทั่งแววตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้นในเวลาต่อมา
“มีสิ่งที่เรียกว่ากองทัพทหารวิญญาณราตรีอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?” เขาชี้มือออกไปและพึมพำกับตัวเอง
มีอะไรแบบนั้นด้วยหรือ?
[1] หยวนสื่อเทียนจุ้น (元始天尊) โดยมีชื่อเต็มคือผู้บริสุทธิ์สูงสุดของเหล่าทวยเทพ (青玄祖炁玉清元始天尊妙无上帝)
[2] อ้างอิงจากนารูโตะ
[3] ดูน่าจะเป็นชื่อหนังสืออีกเล่มหนึ่งของผู้เขียน