ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 376 How... Are You
บทที่ 376: How… Are You?
ฮือออ… สายลมยามค่ำคืนพัดพาเสียงร้องไห้ของวิญญาณนับพันมาให้ได้ยิน น้ำเสียงของชายตรงหน้าดูโหยหวนและแหลมสูงขึ้นกว่าเดิม “นั่นคือประกาศที่ชักชวนให้ผู้โดยสารลงที่สถานีแห่งนี้ แต่ตัวสถานีได้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานมากแล้ว ในการประกาศครั้งแรก มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 64 คน… และนับตั้งแต่นั้นมา สถานีก็ถูกปิดทำงานโดยสมบูรณ์…”
“ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงประกาศ… จะสามารถมองเห็นสถานีที่ยังคงมีสภาพดั้งเดิมเมื่อมองออกนอกหน้าต่าง… อึก… นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถมองเห็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ไม่สามารถมองเห็นได้อีกด้วย… อึก… ทางรัฐบาลได้เตือนทุกคนแล้วว่าไม่ให้ลงที่สถานีแห่งนี้…อึก…”
“แต่ผู้ที่ได้ยินเสียงประกาศ…จะรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้ลงจากรถไฟ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม… เชิญ… อึก… ยินดีต้อนรับสู่ที่พักอันแสนต่ำต้อยของผม…”
ชายคนนั้นหยุดลงตรงหน้าหลุมศพ พื้นที่บริเวณนั้นมีหญ้าโตเต็มไปทั่วและดินก็แตกเป็นแขนง แต่เงินกระดาษที่ถูกวางอยู่บนหลุมศพกลับถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงสด และ…พวกมันก็ปลิวใส่ร่างของฉินเย่อย่างน่าสะพรึงกลัว!
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็คือเจ้าหน้าที่ที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ มองไม่เห็น?” ฉินเย่เอ่ย “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงไม่เห็นตะเกียงไฟทั้งสามลอยอยู่เหนือไหล่ของคุณในตอนที่เราเจอกันตอนแรก”
กึก กึก กึก… อีกฝ่ายหันกลับมาอย่างแข็งกระด้าง แก้มของเขาซูบตอบ และเลือดก็ไหลออกมาจากเบ้าตาที่ว่างเปล่า หากพูดกันตามความจริง ลำคอของเขาตั้งแต่ช่วงกรามล่างลงไปดูเหมือนจะถูกฉีกออกจนหมด เหลือไว้เพียงหนอนที่คลานยั้วเยี้ยไปทั่ว ริมฝีปากของเขาฉีกกว้างถึงหู เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง “คนที่ 99…ฮ่า ๆๆๆ!”
เขาทิ้งตัวลงกับพื้นและเริ่มคลานไปหาฉินเย่ราวกับว่าตนเป็นตะขาบที่คลานไปตามพื้น!
“เนื้อสด… เลือดสด! จิตวิญญาณที่สดใหม่! อึก… ฮ่าาา–!” เขาตะโกนออกมาเสียงดัง เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากปาก กระจายไปเต็มพื้นที่ ทันทีที่เขาพุ่งตัวเข้าหาฉินเย่ เท้าข้างหนึ่งก็กระทืบลงที่ศีรษะของเขาจนกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง
ซ่ากกก!! เสียงกรีดร้องดังทะลุความเงียบสงัดที่น่าขนลุกในยามราตรี ศีรษะของเจ้าหน้าที่ตรงหน้าจมลงกับพื้น ฉินเย่สะบัดแขนเสื้อของตนอย่างรังเกียจ “ให้ตายเถอะ… นี่มันน่ารังเกียจชะมัด! ช่วยให้ความใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองเสียบ้างไม่ได้หรือ? ทำไมถึงต้องใช้วิธีเดียวกันกับพวกหนังสยองขวัญของอูโซเนียด้วย? ทำไมไม่ทำเหมือนกับแดฮันหรือสยาม? เลิกทำให้วิญญาณจีนเสื่อมเสียเกียรติได้แล้ว!”
ซ่ากกกก!!! ศีรษะของวิญญาณร้ายปักลงกับพื้นดินอย่างแน่นหนา เขาไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ไม่ว่าจะพยายามดิ้นมากเท่าใดก็ตาม ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและกวาดตามองไปยังท้องฟ้าอีกฝั่งหนึ่ง “เขาจำเป็นต้องได้รับการชี้แนะ ทั้ง ๆ ที่มีแค่หน้าที่เดียว แต่เขามาทำอะไรง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน? วิญญาณสมัยนี้…ช่างน่าผิดหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ…”
ตูม! ฉินเย่เตะร่างกายอีกฝ่ายขึ้นในอากาศ พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช ร่างของชายผู้นั้นแตกสลายไปในอากาศ ทิ้งไว้เพียงร่างวิญญาณ
“จะ จะ เจ้า!!! เจ้าเป็นใครกัน?!” น้ำเสียงที่แหบพร่าและน่าขนลุกพลันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกขณะที่เจ้าตัวเอ่ยออกมาสุดเสียง “เจ้าเป็นผู้ใด?! ผู้ฝึกตนอย่างนั้นหรือ?! ยมทูตขาวดำ… เจ้าคือขั้นยมทูตขาวดำ!”
“ผู้ฝึกตนอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่แย้มยิ้มบางในความมืด ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ ชายผู้นั้นรู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาถูกฉินเย่มองอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาสามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าฉินเย่เป็นมนุษย์ แต่สัญชาตญาณของเขากลับบอกเขาว่า…ชายผู้นี้นั้นน่ากลัวกว่าภูตผีจริง ๆ เสียอีก!
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!” ฉินเย่แย้มยิ้มบาง เขาแต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมยาวสีดำเนื่องจากเครื่องแบบลายพรางนั้นทำให้เขาเด่นชัดเกินไป เด็กหนุ่มยกมือขึ้น และโซ่ตรวนวิญญาณของเขาก็พุ่งออกไปจากแขนเสื้อ เจาะทะลุร่างวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกกกกก!!!!!” เสียงกรีดร้องที่เสียดแทงหัวใจดังก้องไปทั่ว เปลวไฟนรกสีเขียวหยกไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของชายคนนั้นขณะที่เขายังคงกรีดร้องสุดเสียง “อย่า…อย่าฆ่าข้า! ข้า… ข้ายังไม่อยากตาย!”
เปลวไฟนรกเผาไหม้อยู่เช่นนั้นเป็นเวลากว่าสิบนาทีเต็มก่อนที่ฉินเย่จะยอมสงบใจลง ร่างวิญญาณของชายคนนั้นใกล้จะสลายไปเต็มที และอีกฝ่ายก็ทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
“ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ายังไม่เคยได้ยินวลีดังกล่าวบอกข้าให้รู้ว่าเจ้ายังตายได้ไม่นานนัก เพราะอย่างไรแล้ว วิญญาณที่อายุมากกว่าร้อยปีล้วนต้องวิ่งหนีทันทีที่ได้ยินวลีเมื่อครู่นี้” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกและสูงส่ง ราวกับเขาอยู่คนละระดับกันอย่างสิ้นเชิง
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาย่อมมีอำนาจเหนือกว่าวิญญาณที่มีระดับขั้นพลังต่ำกว่าหรือเท่ากับตนเอง!
ทุกอย่างที่เขาทำล้วนเต็มไปด้วยพลังอำนาจ!
หากพูดกันตามตรง เขาแผ่ความกดดันออกไปมากจนตัวเองยังต้องประหลาดใจ! เจ้าจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ! จักรวรรดิชูริม่าเอ๋ย… จักรพรรดิของพวกเจ้ากลับมาแล้ว! [1]
“ข้าอยากรู้เสียจริง” เขาย่อตัวลงและเอ่ยกับวิญญาณที่สั่นเทา “เจ้าสามารถทำทั้งหมดนั้นได้อย่างไร? แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถแยกแยะภาพลวงตาออกจากความเป็นจริงได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนแรกที่ข้าได้เห็นความจริงของชานชาลาที่ถูกทิ้งร้างเมื่อลงมาจากรถไฟ สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของข้าก็คือตัวเองเผชิญหน้าเข้ากับวิญญาณกลายพันธุ์เข้าแล้ว – วิญญาณตนที่อาร์ทิสเคยเตือนให้ข้าระวังเป็นพิเศษ”
“แต่เจ้ากลับไม่ได้แข็งแกร่งนัก แถมยังเพิ่งปรากฏขึ้นอีกด้วย ไม่เช่นนั้น หากเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ ผู้มีอำนาจก็คงจะตัดเส้นทางการเดินทางสายนี้ออกโดยสมบูรณ์มากกว่าที่จะปิดสถานีแห่งนี้ไว้เท่านั้น ขั้นนักล่าวิญญาณหรือ? หรืออย่างมากที่สุดก็อาจจะขั้นยมทูตขาวดำ นี่เป็นเพียงการเดินเล่นของข้าเท่านั้น อันที่จริง นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการรวบรวมกองทัพทหารวิญญาณราตรีของข้าก็ได้… เอาล่ะ บอกมาว่าหัวหน้าของเจ้าอยู่ที่ใด ข้าจะได้ไปหาเขาและนั่งจิบชาด้วยกันสักถ้วย?”
วิญญาณตรงหน้าครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด คลื่นความเจ็บปวดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนแล่นไปทั่วร่าง ทำให้เขาไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว เขาไม่เคยเจอหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับโซ่ตรวนที่เจาะทะลุผ่านร่างมาก่อน! นอกจากนี้ เขาไม่มีร่างเนื้อด้วยซ้ำ แต่โซ่ที่เจาะผ่านร่างวิญญาณของเขากลับให้ความรู้สึกไม่ต่างกับเหล็กร้อนที่ถูกประทับลงมาที่ร่างเลยสักนิด! มันไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจเลยหากร่างวิญญาณของเขาจะสลายจนเหลือเพียงกลุ่มก้อนควันหากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป
น่ากลัวเกินไป… คนตรงหน้าจะต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนอย่างแน่นอน! พวกผู้ฝึกตนไม่มีวิชาที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้! โซ่เส้นนั้น…คือสิ่งที่ถูกทำมาเพื่อลงโทษดวงวิญญาณโดยเฉพาะ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนสามารถใช้ได้!
หนี… เขาจะต้องหนีไปจากที่นี่… ความคิดของเขาในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว ทว่าก่อนที่เขาจะคิดเรื่องนี้เสร็จ ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็พุ่งขึ้นมาที่หัวของเขาอีกครั้ง และเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกรีดร้องออกไปสุดเสียง
“อ๊ากกกกก!!!”
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็ดึงโซ่ตรวนวิญญาณของตนกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง “นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ ช่วยแสดงความเคารพกันสักนิดไม่ได้หรือ? การหยิ่งยโสมากไปไม่ใช่เรื่องดีนักหรอกนะ เจ้า—…”
แววตาของฉินเย่วูบไหวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ
ทุกอย่างโดยรอบเงียบลงอย่างกะทันหัน
มันเป็นเวลากลางคืน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นเวลากลางคืนก็ไม่จำเป็นต้องหมายถึงความเงียบสนิท เงียบสนิท…นั้นใช้สำหรับอธิบายสถานที่อย่างห้องเก็บศพเท่านั้น
แต่ความรู้สึกของฉินเย่ในตอนนี้กลับเป็นเช่นนั้น เสียงลม เสียงปลิวของใบไม้ และแม้แต่เสียงร้องของแมลง…ทั้งหมดล้วนหายไปโดยไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว!
เด็กหนุ่มลุกยืนขึ้นในความเงียบนั้น
ไม่… มันไม่ใช่แค่ไม่มีเสียงเท่านั้น อันที่จริง แม้แต่เงาดำที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาก็หยุดนิ่ง แทบจะเหมือนกับว่า…ทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์!
“หนึ่งในสิบประเภทของวิญญาณ… วิญญาณหลอน? วิญญาณโดดเดี่ยว? วิญญาณตะกละ? ทั้งหมดนี้ล้วนมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าครั้งนี้จะเป็นวิญญาณประเภทใด? ไม่เลว… ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับเรื่องประหลาดใจเช่นนี้ทันทีที่เดินทางออกจากมณฑลอันฮุ่ย นี่จะต้องเป็นเขตไล่ล่าระดับสูงในพื้นที่แห่งนี้แน่ ๆ… เอาเป็นว่าข้าจะยอมช่วยสักครั้งก็แล้วกัน”
เขากวาดตาไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้น ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา แสงสว่างจากชานชาลาก็ดับลง และหลอดไฟทั้งหมดก็ระเบิดพร้อมกัน!
สถานีรถไฟทั้งหมดมืดลงในฉับพลัน ชานชาลาที่มืดมิดดูไม่ต่างอะไรจากอสูรที่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเอง เงาดำเหนือชานชาลาก็ขยับเล็กน้อย แววตาของฉินเย่ไหววูบ และเขาก็เอนศีรษะหลบแท่งเหล็กขึ้นสนิมที่พุ่งตรงมาที่ตนได้อย่างฉิวเฉียด ฉึก! มันพุ่งผ่านศีรษะของเขาและปักลงบนพื้นด้านหลังราวกับมีดร้อนที่ตัดผ่านเนยสด
ซ่ากกก! อ๊ากกกก!!! มันแทงทะลุร่างของวิญญาณด้านหลัง และร่างวิญญาณดังกล่าวก็กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยกนิ้วปาดข้างแก้มตัวเอง และเขาก็พบว่ามันมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้” สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และเสี้ยววินาทีต่อมา พลังหยินอันรุนแรงก็ปะทุออกมาจากร่าง ราวกับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดไปทั่วทุกที่ เสียงกรีดร้องของผีผู้หญิงดังขึ้นให้ได้ยินขณะที่พื้นโดยรอบลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกซึ่งขยายตัวออกเป็นวงกว้าง
แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้คิดจะไล่ตาม เขาขมวดคิ้วเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม
ความฉลาดทางจิตวิญญาณ
หากพูดกันตามตรง… มันค่อนข้างชัดเจนเสียด้วย ฆ่าพวกเดียวกันเพื่อปิดปาก?
นี่มันอะไรกัน? เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
แต่ฉินเย่ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจกับเรื่องแบบนี้ ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือการหาที่พัก เพราะอย่างไรแล้ว ระยะทางจากเมืองเป่าอันและเมืองกู่เฉิงก็อยู่ราว ๆ 200 กิโลเมตร ดังนั้นหน้าที่ถัดไปของเขาก็คือการระบุตำแหน่งสำหรับการปักตะเกียงหวนหยางดวงแรก
ดังนั้น เขาจึงเดินตรงไปที่ประตูเหล็กซึ่งถูกปิดผนึกอยู่
……………………………………..
ประตูเหล็กถูกปิดสนิท และรถตำรวจประมาณสิบคันก็ถูกจอดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ หัวหน้าของคนกลุ่มนี้คือเจ้าหน้าที่ระดับร้อยตำรวจเอก
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดยืนอยู่ด้านหลังของเทปกั้นที่ติดอยู่ห่างจากประตูออกมาประมาณร้อยเมตร ทุกคนมีอาวุธครบมือและหันหน้าเข้าหาประตูเหล็กโดยตรง ประตูบานใหญ่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ขนาดใหญ่ห้าเส้น แต่ละเส้นล้วนถูกแปะด้วยยันต์ที่ทรงพลังซึ่งเปล่งแสงสีแดงออกมาพร้อมกับกระพืออย่างรุนแรง
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา และคนทั้งหมดก็มีสีหน้าตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ชายสวมสูทที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ของร้อยตำรวจเอกคนนั้นก็กำลังจ้องเขม็งไปที่ประตูเหล็ก
“เฮ้อ–…” หลังจากผ่านไปสักพัก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ถอนหายใจออกมาและกัดฟันกรอดขณะที่เงยหน้ามองฟ้า “เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่… แล้วทำไมคืนนี้ถึงเกิดเรื่องขึ้นทั้งคืนแบบนี้…”
ชายในชุดสูทมีรูปร่างผอมแห้งอย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็ดูเหมือนจะอายุ 30 ต้น ๆ เท่านั้น เขาปรับระดับแว่นตาของตัวเองและเอ่ยขึ้น “เรื่องแบบนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ คุณไม่จำเป็นต้องคิดมากนักหรอก”
“ผมได้ยินมาว่าส่วนอื่น ๆ ของจีนนั้นย่ำแย่กว่าเราเสียอีก?” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจจุดบุหรี่ของตนและสูดเข้าสุดปอด “ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่นี่จะะไม่ย่ำแย่นักเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ โดยรอบ”
ชายในชุดสูทส่ายหน้า ก่อนจะหันไปมองประตูเหล็กด้วยแววตาที่ซับซ้อน “ไม่แน่เหรอ? เขตไล่ล่าแบบนี้ไม่ควรปรากฏขึ้นในเมืองนี้ด้วยซ้ำ… แต่ไม่ว่าจะเป็นมณฑลเจียงซูหรือมณฑลซานตง พวกเราก็เห็นว่ามีเขตไล่ล่าปรากฏเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมา นี่มันไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลาเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเรากลับไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าผู้ฝึกตนในการควบคุมสถานการณ์เหล่านี้เลยสักนิด!”
“ทันทีที่พวกมันระเบิด…” เสียงของเขาแผ่วเบา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาและหลับตาลง “สวดภาวนา… วิงวอน… ขอให้มีผู้เสียชีวิตน้อยที่สุด และขอให้ผู้ฝึกตนที่เราร้องขอไปมาถึงโดยเร็วที่สุด…”
เคร้ง… ทันใดนั้น ประตูเหล็กก็ส่งเสียงดังก้อง
คนทั้งหมดแน่นิ่งไป เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ตึงเครียดขึ้นทันที พวกเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งขณะที่ศูนย์เล็งไปทางประตูเหล็ก แววตาของชายในชุดสูทวาวขึ้นเล็กน้อย และคลื่นพลังปราณที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ปะทุออกมาจากร่าง
เขาคือผู้ฝึกตนขั้นยมเทพ
เงียบ
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดชักปืนขึ้นและกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
คนทั้งหมดมีเม็ดเหงื่อเย็นไหลลงมาตามหน้าผาก ทันใดนั้นประตูเหล็กก็ส่งเสียงดังและสั่นไหวอีกครั้ง และก่อนที่คนทั้งหมดจะทันได้ตอบสนอง โซ่เหล็กบนประตูก็เหมือนกับถูกกระชากออกอย่างแรง และประตูบานใหญ่ก็เปิดออก!
อึก… เจ้าหน้าที่หลายคนลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลและจับอุปกรณ์สื่อสารของพวกตนแน่น นี่คือครั้งแรกที่สถานการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่พวกเขาปิดล้อมพื้นที่แห่งนี้มา! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?
แต่แล้วคำสั่งยิงที่พวกเขารอคอยก็ไม่ดังขึ้น เพราะพวกเขาเห็นร่างของชายผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา
อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่ม ที่อายุไม่น่าจะถึง 20 ด้วยซ้ำ อันที่จริง เด็กหนุ่มตรงหน้ายังมองพวกเขาราวกับไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นอีกด้วย
เขาเป็นคนหรือผี?
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา พวกเขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงเม็ดเหงื่อที่หยดลงบนพื้นของตัวเอง
“อย่ายิง” ชายในชุดสูทเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เขามีเงา! และตะเกียงไฟทั้งสามของเขาก็ยังคงลุกโชนอยู่!”
ฉินเย่จ้องมองคนทั้งหมดด้วยความมึนงง เฮ้อ… ทำไมประตูหลักถึงอ่อนแอขนาดนี้? ผู้ฝึกตนเหล่านี้อ่อนแอเพียงใดกัน? หากคนพวกนี้เข้าไปที่ยมโลกในตอนนี้ พวกเขาก็เป็นได้เพียงคนงานทั่วไปเท่านั้น…
แต่เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือคนพวกนี้หันปืนมาทางเขาทำไม?
หรือว่าเป็นเพราะเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน?
เด็กหนุ่มกระแอมเบา ๆ และโบกมือให้คนทั้งหมด “HEY… HOW ARE YOU?”
เกิดความเงียบขึ้นกะทันหัน
ร้อยตำรวจเอกตรงหน้ากระแอมออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน “I’m fine, thank you, and you?”
เยี่ยม… กระบอกปืนทั้งหมดถูกลดลงในทันที
การพูดคุยเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าพวกเขาคือมนุษย์เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าวิธีการยืนยันพวกนี้จะค่อนข้างโบราณ แต่มันก็สามารถบรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ทั้งหมดได้
[1] อ้างอิงจากเกม LoL ชูริม่าคือดินแดนอารยธรรมที่รุ่งเรืองและมีอาณาเขตไพศาลครอบคลุมทั่วทั้งทวีป มันถูกต่อตั้งขึ้นในยุคสมัยอันไกลโพ้นโดยนักรบผู้แข็งแกร่งแห่งเหล่าเทพจุติและรวบรวมผู้คนกลุ่มต่างๆ ที่อาศัยอยู่ทางใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขเป็นเวลาช้านาน