ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 382 รอยแยก
บทที่ 382: รอยแยก
ฉินเย่เมินคำถามของอาร์ทิส เขาเริ่มเดินไปรอบ ๆ โดยเอามือไพล่ไปด้านหลัง ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าที่เกิดจากคำพูดของพระกษิติครรภโพธิสัตว์เท่านั้น”
เขาเอ่ยคำพูดสุดท้ายของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ให้อาร์ทิสฟังด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันยุ่ง “คำตอบ? คำตอบอะไรกัน? แนวทางปฏิบัติต่อไปที่ข้าสมควรจะทำคืออะไร? มันจะเป็นสิ่งใดไปได้อีก? พระกษิติครรภโพธิสัตว์ยังพูดอีกด้วยว่าสิ่งนี้มีความสำคัญยิ่งกว่ากระดิ่งอสูรวิญญาณเสียอีก”
อาร์ทิสก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
หลังจากข่มความรู้สึกเกี่ยวกับการปรากฏตัวของพระกษิติครรภโพธิสัตว์เอาไว้ นางก็หลุบตาต่ำและครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง หลายวินาทีต่อมา อาร์ทิสก็ส่ายศีรษะ “ข้าขอรายละเอียดมากกว่านี้ ท่านไปพบกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้อย่างไร? มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านพูดว่าอย่างไร? แล้วสภาพแวดล้อมตอนนั้นเป็นอย่างไร? อย่าพลาดรายละเอียดอะไรแม้แต่น้อย”
ฉินเย่พยักหน้า ครั้งนี้ เขาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเวลากว่า 15 นาทีเต็ม หยุดเป็นครั้งคราวเพื่อตอบคำถามของอาร์ทิส หลังจากนั้น นางก็คลึงขมับของตัวเองและเดินไปมาด้วยความหงุดหงิด
“ข้าพิจารณาถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ แล้ว แม้ว่าข้าไม่ต้องการจะยอมรับ แต่…ข้าก็เชื่อว่าคำเตือนของพระกษิติครรภโพธิสัตว์นั้นน่าจะหมายถึงการออกเดินทางไปสำรวจดินแดนทางตะวันออก แต่มันจะเป็นอะไรกันแน่? สิ่งใดกันที่สำคัญถึงขนาดที่ทำให้พระกษิติครรภโพธิสัตว์ต้องมาเอ่ยเตือนด้วยตัวเอง?” ฉินเย่เอ่ยต่ออย่างสับสน “ข้ายังได้พิจารณาถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย เมืองหวู่หยางไม่ได้โด่งดังและไม่ได้เป็นสมรภูมิรบในประวัติศาสตร์ อันที่จริง มันเพิ่งเป็นที่รู้จักในฐานะของเมือง ๆ หนึ่งหลังจากการก่อตั้งแผ่นดินจีนในยุคสมัยใหม่ด้วยซ้ำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้…สิ่งใดกันที่จำเป็นจะต้องได้รับความสนใจอย่างเร่งด่วน? เจ้าพอจะคิดออกบ้างหรือไม่?”
เขารู้ดีว่าในการออกสำรวจครั้งนี้ อันตรายมากมายกำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นอสูรวิญญาณหรือความน่าสะพรึงกลัวของธรรมชาติ ภายใต้สิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ควรค่าแก่คำเตือนของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ย่อมต้องมีความสำคัญอย่างแน่นอน!
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
อาร์ทิสยังคงลูบหัวคิ้วของนางอย่างเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งฉินเย่ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เจ้าพอจะนึกอะไรออกบ้างหรือไม่?”
อาร์ทิสชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
ถ้าเช่นนั้นก็หยุดทำท่าเหมือนว่ารู้อะไรบางอย่างที่ข้าไม่รู้ได้แล้ว!!!
ทว่าก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยความไม่พอใจของตัวเองออกไป อาร์ทิสก็ขยับมือ และเส้นผมสีขาวเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
“มันคืออะไร?” ฉินเย่ถาม – นี่อีกฝ่ายกำลังจะบอกเขาว่าเขากำลังแก่ขึ้นหรืออย่างไร?
“อาลยวิญญาณ ยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะของตถาคตครรภ์” อาร์ทิสเป่าเส้นผมสีขาว ปล่อยให้มันลอยไปในอากาศ ก่อนที่มันจะเกิดการเผาไหม้ขึ้น “นี่คือสัมผัสที่ 8 มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ที่อยู่บนแดนมนุษย์จะฝึกฝนอาลยวิญญาณ ในขณะที่มีเพียงยมทูตขั้นตุลาการนรกขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถเริ่มฝึกฝนมันได้… อาลยวิญญาณช่วยให้คนคนหนึ่งสามารถเปิดดวงตาของจิต และมองเห็นสิ่งที่วิญญาณไม่สามารถมองเห็นได้ นอกจากนี้…มันยังสามารถคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย”
เส้นผมดังกล่าวยังคงถูกลุกไหม้ด้วยเปลวไฟและกลายเป็นเพียงขี้เถ้าที่กระจายตัวไปในสายลม อาร์ทิสหันไปหาฉินเย่ “ข้าใช้อาลยวิญญาณเมื่อครู่ และคำถามแรกที่ข้าถามก็คือท่านต้องพบเจอกับภยันตรายระดับใดภายในเมืองกู่เฉิง”
ฉินเย่ขนลุกชัน “แล้ว—…”
“เส้นผมสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวภายในเวลาไม่ถึง 20 วินาที” มุมปากของอาร์ทิสยกยิ้มขึ้นอย่างแปลกประหลาด “มีบางสิ่งบางอย่างที่อันตรายแฝงตัวอยู่ในเงามืดของเมืองกู่เฉิง พวกเรากำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำให้ตุลาการนรกตายได้ แต่…มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะหากมันเป็นสถานการณ์ที่อันตรายถึงตายจริง ๆ เส้นผมจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที”
“คำถามที่สองที่ข้าถามก็คือเมืองกู่เฉิงและการสำรวจดินแดนตะวันออกนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร…” นางมองไปที่พื้น “ท่านลองดูด้วยตัวเองเถิด”
ฉินเย่ก้มลงไปมอง และเขาก็พบว่าขี้เถ้าสีดำจากเส้นผมที่ถูกเผาไหม้ได้ก่อตัวเป็นวงกลมอยู่บนพื้น
อาร์ทิสรีบอธิบายทันที “นี่หมายความว่าทุกสิ่งในเมืองกู่เฉิงนั้นเกี่ยวข้องกับการสำรวจดินแดนตะวันออกอย่างไม่สามารถแยกออกได้ แต่นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าพยายามคิดอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ข้าก็ยังคิดไม่ออก!”
นางจ้องมองฉินเย่อย่างไม่ละสายตาขณะที่เอ่ยต่อ และโดยไม่รู้ตัว นางได้โน้มหน้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มจนใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตร ฉินเย่เอนตัวถอยห่างด้วยความอึดอัด “อย่าเข้ามาใกล้ ระยะห่างแค่นี้…มันทำให้ข้ารู้สึกราวกับว่าเราเป็นคู่รักกัน”
“ท่านยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสหัวเราะเบา ๆ ขณะที่โบกมือเบา ๆ และหน้าจอพลังหยินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉินเย่
มันคือกระจก
ฉินเย่อ้าปากค้างทันทีที่เห็นมัน
มัน…มีสัญลักษณ์สีดำอยู่บนใบหน้าของเขา!
อันที่จริง สัญลักษณ์ดังกล่าวคือตัวอักษรจีนสีดำของคำว่า ‘水’ (Shuǐ น้ำ)
มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉินเย่แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ฉินเย่พยายามจะถูมันออกไป และก็พบว่ามันเอาไม่ออก!
“ท่านจำได้หรือไม่ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?” อาร์ทิสถาม
ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง และแววตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายเย็นยะเยือก “สถานีรถไฟเมืองกู่เฉิง แท่งเหล็กขึ้นสนิมแท่งหนึ่งพุ่งลงมาจากหลังคา หากข้าตอบสนองช้ากว่านี้ ข้าก็คงกลายเป็นเนื้อเสียบไม้ไปแล้ว แต่…มันเฉียบแก้มของข้าไป”
อาร์ทิสพยักหน้า แต่สีหน้าของนางก็ยังคงเคร่งเครียดดังเดิม “ข้า…จำตราประทับนี้ได้”
“ในยมโลกแห่งเก่ามีกลุ่มและตระกูลระดับสูงหลายร้อยตระกูล ส่วนใหญ่ล้วนมาจากพวกราชวงศ์และตระกูลขุนนาง และสัญลักษณ์บนหน้าของท่าน ดูเหมือนจะตรงกับหนึ่งในกลุ่มเหล่านี้” สีหน้าของนางดูซับซ้อน ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและถาม “ใคร?”
อาร์ทิสเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ขงจื๊อแห่งซานตง นอกจากนี้ ข้ายังสามารถบอกได้ด้วยว่ามันคือตราสัญลักษณ์ขงจื๊อของยมโลก มีเพียงยมโลกเท่านั้นที่ใช้ตราสัญลักษณ์นี้”
“หากให้แบ่งกลุ่มในยมโลกออกมาเป็นระดับต่าง ๆ ขงจื๊อคือหนึ่งในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาประกอบด้วยเจ็ดกลุ่ม และพวกเขาทั้งหมดล้วนเคยเป็นสาวกและลูกหลานของขงจื๊อเอง ซึ่งประกอบไปด้วย เม่งจื๊อจากตระกูลเม่ง ซุนจื๊อจากตระกูลซุน ตงจงซูจากตระกูลตง เฉิงห่าวและเฉิงอี้จากตระกูลเฉิง จูซีจากตระกูลจู และโจวดันอี้จากตระกูลจูล พวกเขาทั้งหมดล้วนใช้ตราสัญลักษณ์นี้ ดังนั้นข้าจึงไม่มั่นใจนักว่าผู้ใดกันที่กำลังหมายชีวิตท่าน”
แผ่นหลังของฉินเย่ในเวลานี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขงจื๊อ…ลัทธิขงจื๊อ!
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!
เด็กหนุ่มพยายามสงบจิตใจของตนเอง มันมีเรื่องน่าสงสัยเต็มไปหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาหลับตาลงและพยายามครุ่นคิดเป็นเวลากว่าสิบนาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พวกคนดังในลัทธิขงจื๊อสมควรที่จะถูกพระกษิติครรภโพธิสัตว์พาไปยังสรวงสวรรค์ในตอนที่ท่านตรัสรู้ไปแล้ว พระกษิติครรภโพธิสัตว์ยังได้บอกกับข้าก่อนหน้านี้ด้วยว่าผู้ที่สามารถเล็ดลอดผ่านไปได้มีเพียงราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าลัทธิขงจื๊อควรจะสำรวมและมีมารยาทหรอกหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงต้องตั้งเป้าหมายมาที่ข้าด้วย?”
อาร์ทิสที่ได้ยินก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ผู้ที่ท่านกำลังพูดถึงในตอนนี้คือกลุ่มขุนนางระดับสูง ท่านคิดหรือว่าทุกคนในกลุ่มจะยึดถือค่านิยมและหลักการเดียวกับขงจื๊อเอง? พวกขุนนางมีวิธีการดำเนินชีวิตของพวกเขาเอง ท่านต้องดูจากสถานะของพวกเขา ความเคารพที่พวกเขาได้รับ และยังความหรูหราที่พวกเขาได้ดื่มด่ำเพลิดเพลิน ผู้ที่กำลังตามล่าท่านอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มของขงจื๊อ แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าของพวกเขาเอง ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในกลุ่มล้วนมีสิทธิ์ในการใช้ตราสัญลักษณ์นี้เพื่อระบุสถานะและตัวตนของตนเองทั้งสิ้น”
“แล้วถ้าอย่างนั้น เขาสามารถรอดไปจากการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้อย่างไร? แม้แต่ราชาผีก็ไม่สามารถป้องกันตัวจากการพาไปสวรรค์ของท่านได้ ดังนั้นสิ่งใดที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้อื่น?” ฉินเย่วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น
ทันใดนั้นเอง อาร์ทิสก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ และนางก็โพล่งออกมาทันควัน “ลิมโบ!”
แววตาของฉินเย่ไหววูบ เขามีลางสังหรณ์ว่าอาร์ทิสเพิ่งจะค้นพบกุญแจในการปลดล็อกความน่าสงสัยพวกนี้เจอ และพวกเขาก็กำลังจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด
“ลิมโบ…เคยเป็นดินแดนของผู้พลัดถิ่น เมื่อใดก็ตามที่ยมโลกเนรเทศใครสักคนไปยังลิมโบ มันยังเป็นการลบชื่อของพวกเขาออกจากบันทึกนรกด้วย แต่ถึงกระนั้น วิญญาณที่ถูกเนรเทศจะติดอยู่ในลิมโบ จำต้องล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายไปชั่วนิรันดร์ มันพอจะสมเหตุสมผลหากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะพระกษิติครรภโพธิสัตว์เองก็คงไม่ได้พิจารณาถึงการมีอยู่ของพวกเขาตั้งแต่แรก อีกความหมายหนึ่งก็คือ เรากำลังพูดถึง…เหล่าคนบาปของขงจื๊อ”
“ส่วนคำถามของท่านเกี่ยวกับผู้กระทำผิด มันมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้กระทำจะเป็นผู้ที่ค้นพบถึงความสำคัญของเมืองกู่เฉิงเข้า หรืออาจจะเป็นผู้ที่กระทำเรื่องร้ายแรงบางอย่าง มันเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วไม่ใช่หรือว่าเมืองกู่เฉิงไม่ได้มีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าขั้นยมเทพเลยแม้แต่คนเดียว? อย่างน้อยมันก็เป็นก่อนที่ท่านจะปรากฏตัวขึ้น และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ท่านทำลายแผนการของพวกเขา มันจึงเป็นธรรมดาที่จะกำจัดท่านเพื่อจบปัญหาตั้งแต่ต้น หากพูดอีกอย่างก็คือ…ท่านได้ก้าวเข้าไปอย่างผิดที่ผิดเวลา”
ฉินเย่เงียบไปและเงยหน้ามองเพดานอย่างครุ่นคิด ไม่…มันยังไม่หมดเท่านั้น นี่ยังไม่ใช่ความจริงที่พระกษิติครรภโพธิสัตว์พูดถึง สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่านี่ยังไม่ใช่คำตอบ สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่ามันยังมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น
กลุ่มเมฆแห่งความน่าสงสัยนั้นปกคลุมไปทั่ว และมันมีเพียงการหาเงื่อนงำจากทั้งหมดนี้ให้ได้เท่านั้นที่จะสามารถรับประกันความปลอดภัยของเขาได้อย่างแท้จริง
หลังจากผ่านไปหลายนาที ฉินเย่ก็พึมพำออกมาอีกครั้ง “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า…พวกเขาคือผู้ที่ถูกเนรเทศไปยังลิมโบใช่หรือไม่?”
อาร์ทิสพยักหน้าอย่างงง ๆ
ฉินเย่หันกลับไปสบตากับอีกฝ่าย “นั่นคือแมนเทิลนะ และหากพวกเขาอยู่ในแมนเทิลจริง ๆ…พวกเขาสามารถขึ้นมาที่เปลือกโลกได้อย่างไรกัน?”
“พวกเขาคือวิญญาณที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยมโลก และมันก็สมเหตุสมผลแล้วที่พวกเขาถูกเนรเทศไปยังลิมโบ แต่นั่นก็แค่อธิบายว่าเหตุใดพวกเขาถึงสามารถหลบจากพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้เท่านั้น แต่…ผู้ที่อยู่ในลิมโบเข้าไปสู่แดนมนุษย์ได้อย่างไร?”
เปรี้ยง!
การวิเคราะห์ของฉินเย่เป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาและทำลายกลุ่มเมฆที่ปกคลุมความคิดของอาร์ทิสอยู่ ครั้งนี้ แม้แต่นางก็สัมผัสได้ว่าพวกนางอยู่ห่างจากความจริงอีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
ทั้งสองเงียบไป หลังจากผ่านไปห้านาที ทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยออกมาพร้อมกัน “พระกษิติครรภโพธิสัตว์!”
“เข้าใจแล้ว…ข้าเข้าใจแล้ว!” อาร์ทิสรีบเอ่ยออกมา “พระกษิติครรภโพธิสัตว์พยายามจะบอกเราว่าผลกระทบจากการล่มสลายของยมโลกคงจะทำลายกำแพงของลิมโบและสร้างรอยแยกซึ่งเป็นเส้นทางระหว่างลิมโบและแดนมนุษย์! ใช่แล้ว… ท่านยังจำเชาโยวเต๋าได้หรือไม่? และท่านยังจำทางเข้าสู่รังของเขาได้หรือไม่?! มันเป็นที่นั่นเองที่พวกเราค้นพบถึงการปรากฏตัวของท่านตี้ทิงเป็นครั้งแรก!”
แววตาของฉินเย่ลุกโชนขึ้นราวกับไฟนรก “ใช่แล้ว! หน่วยสอบสวนพิเศษเองก็ค้นพบถึงการมีอยู่ของลิมโบ เพราะพวกเขาค้นพบรอยต่อระหว่างลิมโบและแดนมนุษย์! มันเป็นความผิดพลาดของเราเองที่ไม่พิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดตั้งแต่ตอนนั้น!”
“พูดอีกอย่างก็คือ ผู้ร้ายที่เคยถูกเนรเทศจากยมโลก…อาจจะใช้รอยแยกเหล่านี้ในการลอบเข้ามายังแดนมนุษย์! อาร์ตี้ เจ้าคิดว่ามันมีผู้ถูกเนรเทศอยู่ประมาณเท่าใด?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “ตั้งแต่สมัยอดีตกาลนั้นมีวิญญาณบาปมากมาย…และมีเพียงผู้ที่กระทำความผิดที่รุนแรงที่สุดเท่านั้นที่จะถูกเนรเทศไปยังลิมโบ ข้าจำได้ไม่แน่ชัดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจก็คือ…”
นางสบตากับฉินเย่ “มีคนไม่มากนักที่สามารถมีชีวิตรอดจากโทษทัณฑ์นี้ได้! เพราะอย่างไรแล้ว ลิมโบ…เอาเถอะ มันคือดินแดนที่พวกเราจะต้องเดินทางผ่านสำหรับการสำรวจที่จะมาถึง เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะได้เห็นมันด้วยตัวเอง ผู้ที่สามารถรอดชีวิตจากที่นั่นได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาเลย!”
และด้วยเหตุนี้ กล่องแพนโดร่าจึงถูกเปิดออกในที่สุด
ผู้กระทำผิดคืออาชญากรของยมโลก และคนบาปของขงจื๊อ อีกฝ่ายน่าจะอยู่ขั้นตุลาการนรกหรืออาจจะอ่อนแอกว่านั้นเล็กน้อย และก็โชคดีมากพอที่อยู่ใกล้กับรอยแยกของลิมโบซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการล่มสลายของยมโลก จนสามารถหนีไปยังแดนมนุษย์ได้ วันนี้…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ที่เขาไปถึงเมืองกู่เฉิง
“ท่านต้องการให้ข้าไปที่นั่นกับท่านด้วยหรือไม่?” อาร์ทิสเสนอความช่วยเหลือของตนออกมาเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ นางมักจะโจมตีฉินเย่เพื่อฝึกความกล้าให้กับอีกฝ่าย แต่ครั้งนี้… นางรู้ดี – อาลยวิญญาณไม่เคยโกหก
เมืองกู่เฉิงยังคงถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับที่แม้แต่พวกนางก็ไม่สามารถมองทะลุได้
“ไม่…เจ้าอยู่ที่นี่” ฉินเย่เอ่ยอย่างกล้าหาญ “หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า เจ้ายังสามารถหาทางออกได้ ข้าจะมอบกระดิ่งอสูรวิญญาณนี้ไว้ให้ เมื่อเกิดเหตุจำเป็น เจ้าสามารถปลุกตี้ทิงให้ตื่น…”
ทันใดนั้น เขาก็ชะงักไป
“เกิดอะไรขึ้น?” อาร์ทิสถาม ฉินเย่หันกลับไปและเอ่ยต่อ “หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า? นั่นข้าพูดบ้าอะไรกัน?”
อาร์ทิสทำหน้ายุ่ง “แน่นอน…ประสาทในการรับรู้ถึงอันตรายของท่านนั้นเฉียบคมราวกับสุนัขล่าเนื้อเสียอีก แม้แต่ภยันตรายที่อยู่ห่างออกไปถึง 800 กิโลเมตรท่านยังสัมผัสได้ มันก็ไม่มีทางเลยที่จะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับท่าน…”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึง! ข้าดูเหมือนพวกที่ต้องการคำยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้หรืออย่างไร” ฉินเย่ตะโกนตอบอย่างโมโห “นอกจากนี้ ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร เหตุใดจึงไม่ยอมเปิดสมองของตัวเองเหมือนอย่างที่ชอบเปิดหน้าอกของตัวเองเสียบ้าง?!”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตะคอกกลับ “นี่ท่านพูดเรื่องบ้าอะไรกัน?! มีปัญหาอะไรกับหน้าอกที่ใหญ่มหึมาของผู้หญิง? มันเรียกว่าการอวดในสิ่งที่ตนมี! นอกจากนี้ นี่คือท่าทางที่ท่านควรจะมีเมื่อพูดกับสตรีสูงศักดิ์เช่นข้าอย่างนั้นหรือ?!”
เมื่อพบว่าพวกเขากำลังจะออกนอกเรื่องอีกครั้ง ฉินเย่ก็ยั้งตัวเองและดึงสมาธิกลับมาที่เรื่องในมือ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ข้าขอถามอะไรเจ้าอย่าง เหล่าอาชญากรที่ถูกเนรเทศไปที่ลิมโบ…ล้วนไม่ได้แข็งแกร่งกว่าขั้นตุลาการนรกใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว… ท่านรู้ได้อย่างไรกัน?” อาร์ทิสจ้องตอบอย่างตกตะลึง
“เงียบ! ข้ายังมีเรื่องจะถามอีก…” ฉินเย่สบตาอีกฝ่ายนิ่ง “ในเมื่อข้าเองก็อยู่ขั้นตุลาการนรก…เหตุใดข้าจึงรู้สึกถึงการคุกคาม?”
“เหตุใดพระกษิติครรภโพธิสัตว์จึงต้องปรากฏตัวและเอ่ยเตือนข้าด้วยตัวเอง? เหตุใดอาลยวิญญาณของเจ้าจึงบอกให้ข้าควรดำเนินการทุกอย่างด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง?”