ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 383 หลุมของโครงกระดูกนับพัน
บทที่ 383: หลุมของโครงกระดูกนับพัน
อาร์ทิสนิ่งไป
นั่นสิ… ภยันตรายจะมาจากที่ใดกัน?
ในเมื่ออีกฝ่ายมีพลังอยู่ในขั้นเดียวกันกับวิญญาณร้ายที่เขาเผชิญหน้า เขาก็ย่อมสามารถสังหารพวกมันได้ในทันที ดังนั้นทำไมอาลยวิญญาณถึงยังเผยให้เห็นถึงภยันตรายที่อาจถึงชีวิตอยู่อีก? แล้ว…ทำไมพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ถึงต้องปรากฏตัวเพื่อเตือนฉินเย่เกี่ยวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง?
“ประการแรก บอกข้ามาว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณที่ถูกเนรเทศไปยังลิมโบนั้นอยู่ไม่เกินขั้นตุลาการนรก ข้าจำได้ว่าตัวเองไม่เคยบอกท่านเรื่องนี้มิใช่หรือ?” อาร์ทิสถาม
ฉินเย่ส่งเสียงฮึดฮัด “นั่นง่ายมาก มันก็เป็นเพราะว่าข้าคือพวกขี้ขลาดที่เต็มไปด้วยความกลัวอย่างไรเล่า! หากข้าตายไปจะเป็นอย่างไร? ผู้ใดจะดูแลเหล่าวิญญาณในยมโลกที่ต้องพึ่งพาข้า? มันเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องประเมินความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ที่อาจจะได้เผชิญหน้า และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงนึกถึงจ้าวนรกองค์ที่สอง”
“…ไม่คิดเลยว่าท่านจะสามารถพูดให้ความขี้ขลาดและความกลัวพวกนั้นดูเป็นเหมือนสิ่งที่ถูกต้องและกล้าหาญได้ ข้าชินกับการแสดงของท่านแล้ว พูดต่อเถิด… เมื่อครู่นี้ท่านพูดถึงท่านจ้าวนรกองค์ที่สองไม่ใช่หรือ?”
ฉินเย่พยักหน้า “ลองคิดดู หากข้าเป็นจ้าวนรกองค์ที่สอง และขั้นฝู่จวินมีความไม่หวังดีต่อข้า ข้าจะเนรเทศเขาไปอยู่ที่ลิมโบจริง ๆ น่ะหรือ? นั่นจะไม่เป็นการทำให้ชีวิตของเขายากกว่าที่เป็นอยู่หรืออย่างไร?”
“หากข้ามีทางเลือก ข้าก็คงจะเลือกให้พวกเขาได้รับโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์ไปจนกว่าดวงจิตของพวกเขาจะแหลกสลายไปแล้ว ยิ่งผลของโทษรุนแรงมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการยับยั้งมาขึ้นเท่านั้น ด้วยความเด็ดขาดและไร้ซึ่งเมตตาของจ้าวนรกองค์ที่สอง เจ้าคิดว่าท่านจะยอมให้ผู้กระทำผิดเหล่านั้นหนีไปอย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย “นั่นเป็นไปไม่ได้”
ฉินเย่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ถูกต้อง ขั้นฝู่จวินนับเป็นหนึ่งในยมทูตระดับสูงของยมโลก ระดับขั้นที่สูงกว่านั้นก็คือพระยม ยมโลกแห่งเก่ามีวิญญาณนับล้านล้าน และมีขั้นฝู่จวินอยู่เพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น เจ้าสามารถพูดได้เลยว่ามันคงเป็นการไม่รับผิดชอบกับวิญญาณอื่น ๆ หากพวกเขายอมปล่อยตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไปยังลิมโบ ดังนั้น…ผู้ที่ถูกเนรเทศไปยังลิมโบทั้งหมดจึงไม่ควรจะแข็งแกร่งกว่าขั้นตุลาการนรก”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็เงียบไป
คำเตือนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และอาลยวิญญาณต่างชี้ไปยังรอยแยกของลิมโบ น่าเสียดาย ที่พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนได้คาดเดานั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของผิวชั้นแรกของกล่องแพนโดร่าเท่านั้น
สิ่งที่ยังซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองกู่เฉิงยังคงถูกปกคลุมด้วยความลึกลับ
“ข้ามีลางสังหรณ์…” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองเพดาน “ว่าตอนที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์บอกข้าว่าคำตอบนั้นมีผลต่อการกระทำต่อไปของข้า ท่านอาจจะไม่ได้หมายถึงการสำรวจดินแดนทางตะวันออก เพราะว่า…”
“ท่านอาจจะหมายถึงทุกอย่าง!”
“รวมถึงการฟื้นฟูยมโลกด้วย!”
“มันเปล่าประโยชน์ที่จะคาดเดา” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “พวกเราไม่มีทางรู้อะไรได้เว้นแต่จะตรวจสอบดูด้วยตนเอง หากมีสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นจริง ๆ… เราก็อาจจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะปลุกท่านตี้ทิง”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา ใช่แล้ว…คาดเดาไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจะรู้ก็ต่อเมื่อได้ทดสอบทฤษฎีเหล่านี้แล้วเท่านั้น… แต่คำตอบพวกนั้นมันควรจะเป็นอะไรกัน?! เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้!
มันเกี่ยวข้องทั้งกับคำเตือนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และอาลยวิญญาณของอาร์ทิส! ทั้งหมดนี้จะอันตรายมากเพียงใดกัน?
มันเหมือนกับมีเลอบลองที่พยายามซ่อนตัวเพื่อรอโจมตีปีศาจธีโมที่ไม่ทันสังเกตตัวนี้อยู่! [1]
มันเป็นเรื่องดีที่เราจะนำข้อสันนิษฐานมาทดสอบ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาต้องมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการทดสอบนี้ด้วยนี่มัน… ทำให้มันดูน่ารังเกียจกว่าที่ควรจะเป็น… สีหน้าของฉินเย่มุ่ยลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระแอมออกมาเบา ๆ “เกี่ยวกับเรื่องนี้… มันมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะ—…”
“ไม่ ไม่มีทาง ไปซะ!” อาร์ทิสตัดความหวังอีกฝ่ายทันที จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “มันไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่อาลยวิญญาณนั้นถูกใช้บนร่างของท่านโดยเฉพาะ หมายความว่าหากมีผู้อื่นไปแทน ผลที่ออกมาก็จะแตกต่างออกไป ท่านสามารถเลือกที่จะไม่ไป หรือเปลี่ยนจุดหมายเป็นที่อื่นได้ ด้วยวิธีนี้ ท่านจะสามารถหลีกเลี่ยงภยันตรายที่รออยู่ข้างหน้าได้อย่างแน่นอน แต่…มันก็หมายความว่าเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าคำตอบที่อยู่ภายในเมืองกู่เฉิงคืออะไร”
“ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากลางสังหรณ์ของท่านเป็นจริงขึ้นมาจะเป็นอย่างไร? หากคำตอบที่ว่านั้นส่งผลกระทบกับทุกสิ่งที่กำลังก้าวไปข้างหน้า รวมถึงการฟื้นฟูยมโลกให้กลับสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของมัน อย่างน้อยมันก็ควรค่าที่จะตรวจสอบและเปิดเผยเรื่องนี้! นี่คือประตูแห่งโอกาส! เราจะหลีกเลี่ยงมันและมาเสียใจในภายหลังเมื่อเกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา
เขานึกว่าตัวเองแค่ต้องเล่นเป็นฝ่ายสนับสนุนเสียอีก แต่จู่ ๆ ก็ถูกผลักให้ไปกลายเป็นแทงค์เสียอย่างนั้น เด็กหนุ่มเกลียดที่สุด… [2]
…………………………………………………
ณ ศาลากลางของเมืองกู่เฉิง
ตอนนี้เป็นเวลา 19.00 น. และอาคารทั้งหลังก็ยังคงสว่างไสว
เช่นเดียวกันกับเมืองซินคังใหม่ เมืองกู่เฉิงเองก็ได้จัดตั้งค่ายทหารขึ้นรอบ ๆ ศาลากลางเช่นกัน แม้ว่ามันจะเลยเวลาประกาศคำเตือนสาธารณะไปแล้ว แต่ที่ตั้งของศาลากลางก็ยังคงได้รับความมั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ภายในนั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน
เจิงไสว่จ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดด้านนอกอย่างเหม่อลอย วันนี้คือเทศกาลลอยโคม มันยังคงอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และท้องฟ้าก็มืดเร็วกว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาเพียงหนึ่งทุ่ม แต่ทั่วทั้งสถานที่กลับส่องสว่างไปด้วยแสงสว่างของหลอดไฟ
“เหล่าเจิง” ทันใดนั้น ใครบางคนก็ผลักประตูเข้ามา และชายผู้มีสีหน้าเหนื่อยล้าและแผ่ไอพลังปราณออกมาจากร่างก็เดินเข้ามาก่อนจะยื่นกระติกน้ำร้อนให้เจิงไสว่ “นี่โจ๊กไก่ คุณทานอะไรสักหน่อยเถอะ”
เจิงไสว่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะที่เหลือบมองกระติกน้ำร้อนด้วยสีหน้าเรียบ “ผมจะไปทานลงดะ–…”
“ต่อให้ไม่อยากทานก็ต้องทาน” ชายสูงวัยนั่งลงบนเตียงและจุดบุหรี่ของตน เมินเฉยต่อข้อบังคับของทางหน่วยแพทย์อย่างสิ้นเชิง เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวง ๆ ขณะที่แหงนหน้ามองเพดาน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้น “เกิดเหตุขึ้นอีกแล้ว มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น”
หางตาของเจิงไสว่กระตุกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา
“ทหารสองหน่วยที่เฝ้าคุ้มกันบริเวณทั้งหมด 60 นาย…ตายเรียบ” เขาดูดบุหรี่เข้าไปสุดปอด “ดังนั้นคุณจะต้องรีบหาย ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเราที่ประสบกับเรื่องเหล่านี้ ทุกส่วนของมณฑลเจียงซูต่างประสบกับการระบาดของเหตุเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่มีคนจากหน่วยสอบสวนพิเศษมาช่วยเรา หากคุณไม่รีบหาย… ผมเกรงว่าอีกไม่นานคุณอาจจะต้องไปเก็บศพผมแทน”
เจิงไสว่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และตัวสั่นเทา “ทุกอย่าง…มันรุนแรงขึ้นมากขนาดนั้นเลยหรือ? ไม่ใช่ว่าทางสำนักงานใหญ่กำลังจะส่งกำลังเสริมมาหรอกเหรอ?”
“กำลังเสริม?” อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “สถานการณ์ในแต่ละที่นั้นแตกต่างกันออกไป บางส่วนของมณฑลยังย่ำแย่กว่าเราเสียอีก ดังนั้น ใครจะกล้าโทรขอกำลังเสริมกัน?”
เงียบ
เจิงไสว่มองออกไปนอกหน้าต่าง เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็หันกลับมา ราวกับต้องการพึ่งความหวังสุดท้าย “เหล่าเฉิน คุณ…ได้รับการตอบรับจากคุณฉินบ้างหรือเปล่า?”
ชายสูงวัยหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะไปมา
เจ้าหน้าที่ระดับสูง… ว่ากันว่าเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำ แต่เขาก็คงจะมีเรื่องด่วนที่ต้องให้ไปทำ ดังนั้นพวกเขาจะหวังให้อีกฝ่ายอยู่ในเมืองเล็ก ๆ และจัดการกับปัญหาของพวกเขาได้อย่างไร? เด็กหนุ่มคนนั้นบอกว่าตัวเองมีบางอย่างต้องไปทำ และจะกลับมาในอีกสองสามวัน ไม่ใช่ว่านั่นเทียบได้กับการปฏิเสธอย่างสุภาพหรอกหรือ?
ยิ่งตั้งความหวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น เหล่าเฉินวางมือลงบนไหล่ของเพื่อนร่วมงานของตนและถอนหายใจออกมา “แทนที่จะหวังพึ่งคนอื่น บางทีมันอาจจะดีกว่าที่เราจะพึ่งพาความสามารถของตัวเอง…”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ชายสูงวัยรับโทรศัพท์และฟังอยู่ประมาณห้าวินาที ก่อนจะตัดสายและพุ่งออกไปนอกห้อง! ชายสูงวัยสบถออกมาในใจขณะที่วิ่งไปที่ประตู เพราะตอนนี้เขาเผลอกำบุหรี่ที่ยังไม่ได้ดับของตัวเองเอาไว้ในฝ่ามือจนมันเผาเข้าเนื้อตัวเอง
เหล่าเฉินรีบพุ่งตรงไปที่ทางเข้าของศาลากลาง เขาไม่แม้แต่จะคิดที่จะปกปิดรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเอง แม้ว่าตอนนี้เขาจะอายุ 40 กว่าแล้ว แต่…ชายสูงวัยก็เอ่ยทักผู้มาใหม่ด้วยความเคารพ!
เด็กหนุ่มในวัยมัธยมปลายคนหนึ่งกำลังยืนเอาหลังเอนพิงประตูของศาลากลางอยู่ เหล่าเฉินมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายอย่างกังวลและเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าอย่างระแวดระวัง “คุณฉิน?”
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมามองและยื่นมือออกมาเพื่อจับมือ “คุณคือเพื่อนของคุณเจิง?”
ตูม!
ราวกับมีพลุถูกจุดขึ้นภายในใจของเหล่าเฉิน
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งได้รับโทรศัพท์มาบอกว่าคุณฉินกำลังต้องการพบเหล่าเจิง ถึงแม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกไป เพราะเขาไม่ต้องการที่จะทำให้ขั้นยมทูตขาวดำไม่พอใจหากอีกฝ่ายมาที่นี่จริง ๆ! และ…ฉินเย่ก็มาจริง ๆ!
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีพลังปราณของขั้นยมทูตขาวดำแผ่ออกมาจากร่างของฉินเย่ แต่ชายสูงวัยก็ยังแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนคนนี้สามารถขึ้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำทั้ง ๆ ที่ยังเด็กขนาดนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือฉินเย่รักษาสัญญา และกลับมาที่นี่! เด็กหนุ่มยินดีที่จะช่วยเหลือเมืองกู่เฉิง!
“ครับ… ผมชื่อเฉินเหนียน เป็นหนึ่งในสิบเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจากหน่วยสอบสวนพิเศษ ยินดีที่ได้พบครับ!” เขาเช็ดเหงื่อออกจากมือของตัวเองก่อนจะยื่นไปจับมืออีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณฉิน…นี่มันวิเศษไปเลย! เมืองกู่เฉิงปลอดภัยแล้ว! พวกเราไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคุณจะยอมกลับมา…ขอบคุณ! ขอบคุณจริง ๆ ครับ!”
เขาสัมผัสได้ถึงกลุ่มก้อนพลังปราณของขั้นยมทูตขาวดำปะทะเข้ากับฝ่ามือของตัวเอง และชายสูงวัยก็ตื่นเต้นจนแทบจะกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง! ทำไมเจิงไสว่ถึงโชคดีขนาดนี้?! คนตรงหน้าเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำระดับสูงเชียวนะ!!!
พึงรู้ว่าผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำระดับสูงนั้นมักจะรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติการที่เมืองหลวงของมณฑล หรือไม่ก็เป็นรองผู้บังคับบัญชาการเป็นอย่างต่ำ พวกเขาคือเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มักจะได้เห็นในหน้าจอโทรทัศน์เท่านั้น หากพูดกันตามความจริง คนส่วนใหญ่ที่สมัครเข้าหน่วยสอบสวนพิเศษก็ล้วนหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พบเข้ากับหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำในตำนานทั้งสิ้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เจอกับคนเหล่านี้ในวันนี้!
เขาจะไม่ยอมล้างมือไปอีกหนึ่งอาทิตย์…
“นี่เอกสารประจำตัวของผม นอกจากนี้ ตารางเวลาของผมค่อนข้างแน่นพอสมควร หากเป็นไปได้ เราเริ่มกันโดยเร็วที่สุดเลยได้หรือเปล่าครับ?” ฉินเย่แย้มยิ้มบางและเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
เฉินเหนียนรีบตรวจสอบเอกสารทั้งหมดขณะที่พยายามข่มเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ภายในใจของตัวเอง จากนั้น เขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส “แน่นอนครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอเชิญให้คุณนั่งพักในเลานจ์ตรงนี้สักครู่ ผมจะรีบไปแจ้งทางท่านผู้ว่าและเลขา รวมถึงท่านผู้กำกับให้ทราบทันที จากนั้นเราจะนำทางคุณไปยังที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด!”
ฉินเย่พยักหน้า และถูกพาไปนั่งพักที่เลานจ์โดยพนักงานคนหนึ่ง เลานจ์ของศาลากลางของเมืองไม่ได้หรูหราอย่างศาลากลางของนครหรือมณฑล มันมีธงประจำชาติแขวนอยู่บนผนัง พร้อมด้วยหนังสือพิมพ์และนิตยสารวางกลาดเกลื่อนอยู่บนโต๊ะน้ำชา นอกเหนือจากนี้ มันก็ยังมีเก้าอี้และโต๊ะที่ทำจากไม้มะฮอกกานีอยู่สองชุด รวมถึงกระถางต้นไม้วางอยู่ที่มุมห้อง ฉินเย่นั่งรอไม่นานนัก เพราะไม่นานประตูก็ถูกเปิดอีกครั้ง และชายวัยกลางคนสามคนก็รีบเดินเข้ามา
“คุณฉิน!” ผู้เป็นหัวหน้าของคนทั้งหมดคือชายสวมแว่นในวัย 40 ปีที่มีเส้นผมสีขาวแซมให้เห็นและใบหน้าเหลี่ยม ทันทีที่เขาเข้ามา เขาก็รีบยื่นมือไปจับมือของฉินเย่และเขย่ามันอย่างกระตือรือร้น “ผมเป็นผู้ว่าการของเมืองกู่เฉิง ซูเตอฝาง ขอบคุณครับ…ผมขอบคุณจริง ๆ! การที่คุณยอมสละเวลาอันมีค่าของคุณเพื่อมาช่วยเรา…เป็นเหมือนกับแสงสว่างในยามมืดมิดสำหรับประชาชนในเมืองกู่เฉิงอย่างแท้จริง!”
“ผมเป็นคนดูแลเรื่องนี้ ตอนนี้เลขาของผมไปข้างนอกและพยายามปลอบขวัญประชาชนอยู่ ผมต้องขออภัยแทนเขาด้วยนะครับ”
ท่าทางของเขานั้นเต็มไปด้วยความถ่อมตัว ฉินเย่ยิ้มและพยักหน้าตอบคร่าว ๆ เมื่อผู้ว่าการซูผละมือไป ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่ก็รีบเดินเข้ามาแนะนำตัวทันที “หัวหน้าของกองกำลังรักษาความมั่นคง หลู่ผิง ครับ” “กองกำลังติดอาวุธ หมายเลข 85478 หลี่เจิ้งครับ”
นักการเมือง ตำรวจ และทหาร เห็นได้ชัดเลยว่าทุกคนที่ทราบเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น จะขาดไปก็เพียงเลขานุการที่ออกไปทำหน้าที่ของตน ฉินเย่สามารถสัมผัสได้เลยว่าการปรากฏตัวของเขานั้นมีความสำคัญกับที่นี่เพียงใด เมื่อมองย้อนกลับไป เขายังเห็นเลยว่าตอนนี้แผ่นดินจีนนั้นขาดแคลนจำนวนผู้ฝึกตนมากแค่ไหน
เมื่อการแนะนำตัวจบลง ฉินเย่ก็หุบยิ้มและเอ่ยออกไปอย่างตรงประเด็น “ทุกท่าน ผมคิดว่าเราคงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินจีนในตอนนี้ พวกคุณเองล้วนเคยได้ประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาแล้วทั้งสิ้น แต่ที่อื่น ๆ เองก็เช่นกัน อีกไม่นานผมจำเป็นจะต้องไปที่ซานตง ดังนั้นผมคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานมากนัก และในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้น เหตุใดเราถึงไม่…เดินไปคุยไปกันล่ะ? ส่วนเรื่องเล็กน้อยอื่น ๆ เอาไว้ทีหลังเถอะ”
คนทั้งหมดสบตากัน ก่อนที่ซูเตอฝางจะตบมือเสียงดัง “เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะฉะนั้นเรารีบไปกันเถอะ ผมจะพูดให้ฟังระหว่างทาง”
หลังจากนั้นเขาก็โค้งคำนับให้ฉินเย่อย่างเคารพพร้อมกับผายมือเชิญ “คุณฉิน…พวกเราฝากด้วยนะครับ!”
พวกเขามุ่งหน้าตรงไปที่สถานที่เกิดเหตุทันทีโดยมีหลู่ผิงเป็นคนขับรถ ในขณะที่ฉินเย่ผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับคอยสังเกตสภาพแวดล้อมรอบ ๆ โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
ทุกสถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นย่อมได้รับผลกระทบทางระบบนิเวศทั้งสิ้น ยิ่งปรากฏการณ์เหล่านี้คงอยู่นานเท่าไหร่ สถานที่ดังกล่าวก็จะไร้ซึ่งผู้คนมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมืองกู่เฉิงกลับไม่เป็นเช่นนั้น หากพูดกันตามตรง มันกลับกันอย่างสิ้นเชิง – ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ใจกลางเมืองมากเพียงใด ความเข้มข้นของพลังหยินก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่โรงเรียนและร้านค้าที่อยู่โดยรอบก็ไม่ได้อพยพเช่นกัน
หรือว่านี่…จะเป็นการแพร่ระบาดอย่างกะทันหัน? ฉินเย่ละสายตาและถามขึ้นอย่างครุ่นคิด “เกิดอะไรขึ้นที่นี่ครับ? มีใครพอจะอธิบายสถานการณ์ให้ผมฟังได้ไหม?”
ทั้งรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันที
จากนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลู่ผิงก็กัดฟันและเอ่ยออกมา “หลุมของโครงกระดูกนับพัน”
“เมื่อสามวันก่อน ที่นี่ถูกจัดระดับให้เป็นเขตนักล่าอย่างเป็นทางการ… คุณ…คงไม่สามารถจินตนาการได้แน่ว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินี้มันรุนแรงและน่ากลัวมากเพียงใด… แม้แต่เมืองของมณฑลก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลยแม้แต่น้อย…”
[1] อ้างอิงจากเกม LoL
[2] อ้างอิงจากเกม MOBA