ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 385 การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม (2)
บทที่ 385: การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม (2)
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คุณได้ตรวจสอบศพที่อยู่ด้านล่างหรือยัง?”
“ยังครับ…” เสิ่นโม่กลืนน้ำลายขณะตอบอย่างหวาดกลัว “ทุกคนที่ตั้งใจจะลงไปในหลุม…ล้วนตายหมด…”
“ผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตไปมีทั้งผู้สืบสวนสองคนและคนงานที่ทำหน้าที่วางโครงสร้าง… ทันทีที่พวกเขาลงไปในหลุม นั่งร้านและคานเหล็กที่สร้างเอาไว้ก็ถล่มลงมา ตกลงไปในหลุมราวกับสายฝน…” เสียงของเขาสั่นเทาเล็กน้อย และเขาก็หลับตาลง “มันน่าตกใจมาก…แท่งเหล็กบางแท่งแทงทะลุกะโหลกหรือปากของพวกเขา เสียบเข้าไปตามแนวลำตัวและทะลุกระดูกเชิงกรานออกมา ราวกับว่าพวกเขาถูกเล็งเป้าโดยลูกธนูไม่มีผิด!”
ฉินเย่พยักหน้ารับฟังเงียบ ๆ และดวงตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ไม่มีสิ่งใดสามารถหลบหนีไปจากสายตาของจ้าวนรกได้ ในแวบแรก เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าหลุมของโครงกระดูกนับพันตรงหน้านั้น…มีพลังหยินที่มากมายมหาศาลจนดูเหมือนกับมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต!
พลังหยินเหล่านั้นหนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ หนากว่าเขตไล่ล่าทั้งหมดที่เขาเคยพบมา แต่ถึงอย่างนั้น…
มันกลับดูขุ่นมั่ว
เช่นเดียวกันกับพลังหยินในแดนมนุษย์ มันมักจะมีสีเขียวขุ่น แต่ในมหาสมุทรพลังหยินเขียวขุ่นนี้กลับผสมไปด้วยกลุ่มก้อนพลังสีเข้ม นอกจากนี้ มันยังไม่สามารถมองเห็นที่สิ่งที่อยู่ภายใต้พลังหยินเหล่านั้นได้เลย มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถมองเห็นก้นหลุมได้ด้วยตาเปล่า แต่ดวงตาของยมทูตกลับสามารถมองเห็นเพียงพื้นผิวของพลังหยินเท่านั้น
พลังหยินพวกนี้กลิ้งไปมาจนทำให้มันดูไม่ต่างกับพลังหยินที่เขาเห็นในยมโลก และบางครั้งสีหน้าของความเจ็บปวดก็มักจะปรากฏขึ้นให้เห็น พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ก่อนจะถูกกลืนไปโดยใบหน้าอื่น ๆ มันดูไม่ต่างอะไรกับหม้อต้มพลังหยินที่กำลังเดือดเลยสักนิด
และหากมันเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่มนุษย์เหล่านี้เห็นก็คงจะเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น… นี่คือสถานที่ที่ถูกผนึกไว้โดยใครบางคน ฝีมือของนักพรตเต๋าผู้นั้นอย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายน่าจะอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเป็นอย่างต่ำ… ฉินเย่ละสายตาและหรี่ตาลงขณะที่มองลงไปในหลุม ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจ
มันคือคำเตือนจากสัมผัสที่หกของเขา – เตือนว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ที่ก้นบึ้งของหลุมนี้จะต้องไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน! ภยันตรายที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และอาลยวิญญาณของอาร์ทิสเตือนอาจจะรอเขาอยู่ใต้นี้!
ดวงตาของตุลาการนรกของเขามองเห็นกลุ่มก้อนพลังหยินมาบรรจบกัน ณ จุด ๆ นี้ ดังนั้นที่นี่จะต้องเป็นแก่นของการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเมืองกู่เฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย และมันก็ยังเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดในการปักตะเกียงหวนหยางอีกด้วย
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของฉินเย่ เฉินเหนียนก็เอ่ยขึ้น “คุณฉินครับ?”
ฉินเย่ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะมองลงไปด้านล่างและสังเกตหาร่องรอยคำใบ้เท่าที่ตนจะสามารถหาได้ หากไม่ใช่เพราะคำเตือนที่ได้รับจากทั้งพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และอาลยวิญญาณของอาร์ทิส เขาก็คงจะกระโดดลงไปในหลุมนี้นานแล้ว
ข้อเท็จจริงที่ว่าพลังหยินบริเวณนี้หนาแน่นมาก…หมายความว่ามันมีเพียงม่านบาง ๆ ที่กั้นระหว่างลิมโบกับแดนมนุษย์ เขาสามารถพนันได้เลยว่าหากขุดลงไปอีกประมาณสิบเมตร พวกเขาก็จะพบเข้ากับรอยแยกที่นำไปสู่ลิมโบ
นอกจากนี้… เขาพึมพำเบา ๆ
ดินแดนพลังหยินแห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนธรรมดา
ไม่เพียงอันแน่นไปด้วยพลังหยิน แต่เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นซากศพอันน่าสะอิดสะเอียนเล็ดลอดออกมาจากด้านในอีกด้วย แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือ…มันยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ใหม่มากสำหรับเขา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังหยิน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันกลับแฝงไปด้วยความสุกใสและความชอบธรรม
การรวมกันของพลังหยินทั้งสามประเภท… พลังหยิน กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ และความรู้สึกที่ไม่รู้จัก… แถมไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ก้นหลุมได้ ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง ไม่แปลกใจเลยที่จะมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอยู่ที่นี่ การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม…หากเราปล่อยมันไว้นานกว่านี้อีกประมาณสิบกว่าปี มันจะต้องเกิดวิญญาณขั้นตุลาการนรกอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น…
เขายังต้องพิจารณาถึงวิญญาณร้ายที่ถูกผนึกอยู่ในนี้ด้วย อีกฝ่ายออกมาจากหลุมเพราะว่าไม่สามารถต้านทานกลิ่นเลือดและเนื้อสดได้อย่างนั้นหรือ? หรือว่า…ออกมาฆ่ามนุษย์เพื่อปกปิดบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้ภายในกันแน่?
ความแตกต่างระหว่างความเป็นไปได้ทั้งสองนี้กว้างเกินไป หากเป็นเหตุผลแรก คำถามที่ยังเหลืออยู่ก็คือใครกันที่เป็นคนลอบโจมตีเขาที่สถานีรถไฟ ไม่เพียงแต่ถือว่ามีความผิดปกติในหมู่วิญญาณด้วยกัน แต่มันยังมีสติปัญญาอีกด้วย ความสามารถในการปิดปากวิญญาณตนอื่นเพื่อปกปิดความลับนั้นไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณธรรมดาที่ไร้ซึ่งความฉลาดทางสติปัญญาจะสามารถทำได้
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ฉินเย่ก็ถามขึ้นในที่สุด “เสิ่นโม่ เมื่อเร็ว ๆ มานี้คุณตรวจจับการเคลื่อนไหวอะไรจากวิญญาณร้ายได้บ้างหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ” เสิ่นโม่ปฏิเสธทันที “เนื่องจากทั้งเมืองได้ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดเนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างถูกจัดให้เป็นเขตไล่ล่า ดังนั้นผมจึงประจำการอยู่แถวนี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด อาณาเขตเวทด้านนอกสามารถสกัดกั้นภูตผีคลุ้มคลั่งได้นานสามชั่วโมง ไม่ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดเพียงใด แต่พวกเราก็มั่นใจว่ากำลังเสริมจะต้องมาถึงก่อนที่มันจะเสื่อมพลังลง และผมก็สามารถรับรองได้เลยว่าอาณาเขตเวทที่ว่านี้ยังไม่เคยถูกเปิดใช้งานเลยสักครั้งเดียว”
สิ่งที่ได้ยินทำให้คิ้วของฉินเย่ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม
หากพื้นที่โดยรอบถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์… แล้ววิญญาณร้ายออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรกัน?
เด็กหนุ่มมองไปยังส่วนอื่น ๆ ของเมืองกู่เฉิงที่อยู่นอกพื้นที่ก่อสร้างออกไป – หากสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเป็นความจริง และวิญญาณร้ายตนนั้นก็ยังไม่สามารถออกไปไหนได้ เช่นนั้นมันก็มีเพียงแค่ความเป็นไปได้เดียว
และนั่นก็คือ…มีคนอื่นอยู่ที่นี่
มีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด จับตาดูเขาอยู่ทุกฝีก้าว
นี่ใช่…สิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และอาลยวิญญาณของอาร์ทิสพยายามจะเตือนเขาหรือเปล่า?
เด็กหนุ่มเริ่มสัมผัสได้ถึงห่อชั้นที่สองของกล่องเวทมนตร์ที่เขาพยายามจะเปิดออก น่าเสียดายที่มันถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควัน เขาจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้
ฉินเย่จ้องมองไปยังหลุมของโครงกระดูกนับพันอยู่อีกประมาณครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพุ่งตัวออกไปโดยไม่บอกกล่าว!
ต้องเห็นกับตาเท่านั้นถึงจะสามารถรู้ได้ เพราะอย่างไรแล้ว วิญญาณทุกตนที่อยู่ขั้นตุลาการนรกหรือต่ำกว่านั้นก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้
“คุณฉิน!” คนทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบ ๆ หลุมอ้าปากค้างด้วยความหวั่นสะพรึงและร้องออกมาอย่างตกใจ
น่าเสียดาย เสียงร้องของพวกเขานั้นเบาและสายเกินไป พวกเขาไม่ได้รับคำตอบจากฉินเย่ด้วยซ้ำ ทันทีที่เด็กหนุ่มกระโดดลงไป เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าตัวเองถูกแยกออกจากความเป็นและความตาย ท้องฟ้าด้านบนของเขามืดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเท้าของเขาสัมผัสกับพื้นอีกครั้ง ทุกอย่างโดยรอบก็มืดสนิท!
กลุ่มก้อนพลังหยินสีเขียวปนดำเริ่มลอยอยู่เหนือศีรษะ ปิดกั้นแหล่งกำเนิดแสงโดยรอบทั้งหมด บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือก และอุณหภูมิในตอนนี้ก็น่าจะไม่เกินสามองศาเท่านั้น ฉินเย่กำลังจะยืดตัวตรง แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักไป
เขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่บนโครงกระดูก
หากพูดอย่างเจาะจงก็คือ เขากำลังเหยียบอยู่บนกะโหลกของโครงกระดูกชุดนี้
โครงกระดูกดังกล่าวมีสีเหลือง และยังมีคราบสีดำในบางส่วน เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาพักหนึ่งแล้ว มันนอนอยู่บนพื้นโดยที่แขนทั้งสองข้างไขว้กันอยู่บนอก ส่วนใหญ่ของมันจมลงไปในดิน มีเพียง 5 หรือ 6 ส่วนเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้
“โครงกระดูกของผู้หญิง” เด็กหนุ่มย่อตัวลงและไล่นิ้วไปตามช่วงไหล่และกระดูกเชิงกรานของโครงกระดูก ช่วงหัวไหล่และสะโพกนั้นมีความกว้างเท่านั้น มันจะต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ผู้หญิงก็มักจะมีกระดูกเชิงกรานที่ใหญ่กว่าผู้ชาย ในขณะที่ผู้ชายนั้นมักจะมีกระดูกโคนขาที่ยาวกว่าผู้หญิง
จากนั้น เขาจึงขูดพื้นผิวของกระดูกตรงหน้าเบา ๆ แกะคราบชั้นสีเหลืองที่อยู่ด้านนอกออก และเผยให้เห็นโครงกระดูกสีขาวราวหิมะซึ่งอยู่ด้านใน มีเพียงกระดูกของมนุษย์เท่านั้นที่จะไม่เปลี่ยนเป็นสีดำ แม้ว่าจะถูกเผาไหม้ไปแล้วก็ตาม
“สิ่งนี้บอกให้เรารู้ว่าพวกนางล้วนตายก่อนที่จะถูกเผา นี่ไม่ใช่การเผาศพ เพราะกระบวนการเผาไม่มีทางทำให้กระดูกของมนุษย์ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่นนี้ได้ ในทางกลับกัน หากนางถูกเผาจนตายจริง ร่างของนางก็คงจะกระตุกเกร็งก่อนตาย และไม่มีทางที่จะอยู่ในท่วงท่าที่สงบสุขแบบนี้ได้” เขาไล่นิ้วไปตามกระดูกช่วงอกจนกระทั่งขึ้นไปถึงกะโหลก จากนั้น…รูม่านตาของเขาก็หดเข้าหากัน
เพราะสิ่งที่อยู่ด้านบนของกะโหลก…คือเท้าอีกคู่หนึ่ง
เท้าของโครงกระดูก
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองไปรอบ ๆ เพียงเพื่อจะพบว่า…ทุกส่วนของพื้นที่ที่เขาเห็นล้วนถูกปกคลุมไปด้วยโครงกระดูกที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ!
มันมีอยู่เต็มไปหมด! จากการคาดคะเนของเขา มันน่าจะมีโครงกระดูกอยู่อย่างน้อย 1,000 ชุด!
นอกจากนี้ โครงกระดูกทั้งหมดยังเป็นโครงกระดูกของผู้หญิงอีกด้วย!
ความรู้สึกขนลุกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง พลังหยินโดยรอบและลูกไฟนรกลอยไปมาอย่างช้า ๆ ในขณะที่เสียงร้องครวญครางยังคงดังก้องมาจากกลุ่มก้อนพลังหยินด้านบน รองเท้าของเขาส่งเสียงกรอบแกรบเบา ๆ ขณะที่เขาเหยียบย่ำไปตามโครงกระดูกทั้งหมดอย่างระมัดระวัง “อึก…ฮึก” เสียงของมันเหมือนกับเสียงสะอึกสะอื้นไม่มีผิด ทุกอย่างโดยรอบเงียบสนิทจนเขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ ณ ใจกลางของหลุมของโครงกระดูกนับพันอย่างไม่ต้องสงสัย!
และเขาก็เป็นคนที่มีชีวิตเพียงคนเดียวในที่นี้
โครงกระดูกเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกสะกดโดยบางสิ่งบางอย่าง… และขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็พลันรู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลัง
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยายามสู้กับความหวาดกลัวภายในใจขณะที่ก้มมองลงไปด้านล่าง และเขาก็เห็นมือที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีม่วงเข้มข้างหนึ่งที่ชูขึ้นมาจากพื้นและจับมือของเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น!
แม้แต่ยมทูตก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทากับภาพตรงหน้า เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนทันควัน แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น…ตุบ!
เขา…ชนเข้ากับบางอย่าง
บางอย่าง…ที่ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา…ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
มันยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหวติง จ้องมองมาที่ฉินเย่ราวกับว่ามันคือศพ
ฉินเย่ยังคงยืนนิ่ง เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือมีอะไรบางอย่างกำลังยืนอยู่ด้านหลังของเขาในตอนนี้
จากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบที่บีบคั้นนี้ – มือสีดำสนิทข้างหนึ่งแตะลงบนไหล่ของฉินเย่
ในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแผ่วเบาของผู้ที่อยู่ด้านหลัง ขณะที่เสียงแหบพร่าของผู้หญิงดังขึ้นอยู่ใกล้ ๆ “ผ้าไหม… ผ้าไหม…”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น มันแผ่วเบา แต่กลับติดค้างอยู่ในอากาศเป็นเวลาพักหนึ่ง แทบจะเหมือนกับว่าคนตายมากมายได้กระซิบตอบกับเสียงนี้
ขนบริเวณท้ายทอยของฉินเย่ลุกชันขึ้น ก่อนจะสงบลงอีกครั้งหลังจากที่เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบใจลง ทุกอย่างด้านล่างนี่…เลวร้ายกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย และเหลือบมองไปที่ไหล่ของตัวเอง
มือที่จับอยู่ที่ไหล่ของเขาไม่ได้ดำเพราะเสื้อผ้าที่สวมอยู่ของอีกฝ่าย
กลับกัน…มันเป็นเพราะมือนั้นถูกเผาจนไหม้เกรียม! มันคือมือของคนตาย!
ผิวของอีกฝ่ายดำสนิทและยังมีรอยแตกในบางส่วน เผยให้เห็นเนื้อสีแดงไหม้ที่ซ่อนอยู่ภายใน หยดเลือดยังคงหยดลงมาจากแขนของนางอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ฉินเย่พบว่าเขากำลังยืนอยู่ในจุดที่มีศพซึ่งถูกเผาไหม้เกรียมโน้มกายมาบนหลังท่ามกลางความมืดมิด
“หันมา… และมองข้า…” อีกฝ่ายเอ่ยประโยคเดิมซ้ำ ๆ ด้วยความคับแค้นใจเป็นอย่างมาก
มันมักจะบอกกันว่าหากคุณเดินไปตามความมืดในยามค่ำคืนเพียงลำพัง และได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตัวเอง จงอย่าหันหลังกลับไปเป็นอันขาด
เพราะว่าทันทีที่คุณทำเช่นนั้น ตัวตนที่มิอาจรู้ได้นั้นจะดับตะเกียงไฟสองดวงบนไหล่ของคุณทันที และจากนั้น…คุณก็จะได้พบกับสิ่งที่คุณไม่ต้องการจะเห็นตลอดไป
ฉินเย่แค่นหัวเราะอย่างเหยียดหยาม จากนั้นจึงเอ่ยตอบออกไป “รู้อะไรหรือไม่? เจ้าตัวเหม็นมากนะ”
สิ้นสุดเสียงพูด ปากกาแห่งการพิพากษาก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาและแทงไปด้านหลัง!
ฉึก!!
“กรี๊ดดดดดด—!!!” เสียงกรีดร้องดังขึ้น แต่มันก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่หันไปมองด้านหลังของตนในที่สุด และวิสัยทัศน์ของเขาก็ไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาอีกต่อไป กลับกัน…เขามองเห็นโรงงานขนาดใหญ่!
นอกจากนี้ เขายังพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางถนนที่กว้างมากอีกด้วย
เขาคุ้นเคยกับรูปแบบสถาปัตยกรรมในยุค 40 และยุค 50 เป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เคยใช้ชีวิตในช่วงเวลาเหล่านั้นมาแล้ว
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่กลางถนนที่เปล่าเปลี่ยวเส้นนี้ บ้านเรือนทั้งสองฝั่งทางถูกปักด้วยธงญี่ปุ่น คลื่นแห่งความรกร้างอันน่าขนลุกพุ่งตรงมาที่เขาราวกับกระแสน้ำที่ซัดสาด ถนนดูทอดยาวอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด ขนาบข้างด้วยเสาไฟฟ้าสีดำสนิทที่เรียงรายไปตามสองข้างทาง ในขณะที่หมอกพลังหยินบาง ๆ ลอยไปรอบ ๆ เขายังมองเห็นร้านค้ามากมายที่แทรกตัวอยู่ในหมู่อาคารบ้านเรือน รวมถึงร้านขายยา ธัญพืช และงานฝีมือต่าง ๆ มันมีแม้กระทั่งร่างเงาของผู้ที่ดูแลร้านแต่ละแห่งอีกด้วย
แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เขาก็พบว่าเงาพวกนั้นไม่ใช่คน
แต่มันคือคนกระดาษ!
บางตัวชะงักค้างอยู่ในท่วงท่าราวกับว่าพวกมันกำลังพูดคุยกับลูกค้า ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ดูเหมือนกับกำลังหยิบของบางอย่างจากชั้นวางของของร้าน แต่ภาพอันน่าหัวเราะของการพยายามลอกเลียนความเป็นจริงของช่วงเวลาเหล่านั้นกลับดูน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้สำหรับฉินเย่ในตอนนี้ มันรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากการก้าวเดินไปตามถนนของผู้ล่วงลับในช่วงกลางดึกเลยแม้แต่น้อย มันมีความกลัวที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ และยังมีความอึดอัดที่ดูเหมือนจะโอบล้อมร่างของเขาอยู่
“นี่คือ…สภาพดั้งเดิมของสถานที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ?” เขามองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง หลอดไฟของหนึ่งในเสาไฟฟ้าที่ปลายถนนก็กะพริบและสว่างขึ้น
จากนั้น ไฟดวงที่สองก็สว่างขึ้น ตามมาด้วยดวงที่สาม… ภายในไม่กี่วินาที เสาไฟที่ตั้งอยู่สองข้างทางก็สว่างขึ้นจนหมด!
มันน่าตกใจเป็นอย่างมาก แสงสีแดงส่องสว่างไปทั่วสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวอยู่แล้ว และจากนั้น…คนกระดาษที่แน่นิ่งอยู่กับที่มาตลอด…ก็พลันขยับเคลื่อนไหว
พวกมันยังคงรักษาท่วงท่าเดิมของตัวเอง แต่พวกมันทั้งหมดกลับหมุนตัวและมองไปที่ฉินเย่ – จับจ้องไปยังมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่กลางถนน