ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 386 การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม (3)
บทที่ 386: การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม (3)
แสงไฟสีแดงส่องสว่างอยู่ทั้งสองฝั่งทาง
บ้านและร้านค้าที่มืดมิดตั้งอยู่ภายใต้แสงไฟที่น่าขนลุกนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกพลังหยิน เปลวไฟนรกสีเขียวหยกลุกโชนอย่างโชติช่วงภายในดวงตาของคนกระดาษขณะที่พวกมันจ้องมองมาที่ฉินเย่จากบ้านและร้านของตนเอง ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ปรากฏให้เห็นบนถนนที่ฉินเย่ยืนอยู่ และหากเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เขาก็คงจะหวาดกลัวจนเสียสติไปแล้ว
ทันใดนั้น อาคารสามชั้นที่ตั้งอยู่ในที่ดินกว้างประมาณ 1,000 เมตรก็สว่างขึ้น
มันถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบสถาปัตยกรรมของสมัยช่วงต้นของปี 1900 ควบคู่ไปกับอิฐสีขาวและประตูไม้สีน้ำตาล แม้ว่าจะไม่มีคนเลยแม้แต่น้อย แต่ประตูไม้ก็ยังคงเปิดออก
ฟิ้ว~… สายลมพัดเบา ๆ ส่งผลให้ป้ายถนนหมุนไปมาและชี้ตรงมาที่ฉินเย่ เด็กหนุ่มยังได้ยินแม้กระทั่งเสียงพูดคุยพึมพำของผู้หญิงจำนวนมากดังมาตามสายลมอีกด้วย
แต่เขาก็ไม่สามารถได้ยินชัดนักว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรกัน ทุกอย่างดูเลือนรางมากสำหรับเขา เขาเดินไปตามถนนสายหลัก ตั้งใจฟังเสียงพวกนั้นเพื่อที่จะจับใจความจากบทสนทนาเหล่านั้น จนกระทั่ง…เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารสามชั้นขนาดใหญ่ จากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปด้านในโดยผ่านทางประตูทางเข้าด้านนอก
ปัง ประตูทางเข้าปิดลงตามหลัง
ทันใดนั้น เสียงทั้งหมดที่เขาได้ยินด้านนอกก็เงียบไป แม้แต่เสียงของสายลมก็ดูเหมือนจะเงียบหายไปเช่นกัน
ท้องถนนด้านนอกกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ในขณะที่เหล่าคนกระดาษหมุนตัวกลับที่เดิมและนิ่งแข็งอีกครั้ง มันแทบจะเหมือนกับว่าภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
“มิติเสมือนจริง…” ฉินเย่พึมพำกับตัวเอง “พลังหยินที่นี่หนาแน่นถึงขนาดที่ก่อตัวเป็นภาพดั้งเดิมของสถานที่แห่งนี้เชียวหรือ?”
เขามองไปรอบ ๆ และก้าวเข้าไปในอาคารเพียงหลังเดียวที่ยังสว่างอยู่
แสงภายในอาคารยังคงเป็นสีแดงเลือดเช่นเคย เขาเดินไปที่หน้าประตูและเคาะประตูเบา ๆ
ก๊อก… มันเป็นการเคาะเบา ๆ แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มเคาะลงไปบนประตู คนกระดาษทั้งหมดที่อยู่บนถนนก็เงยหน้าขึ้นและหันไปมองทางฉินเย่อีกครั้ง ราวกับว่าพวกมันกำลังมองไปที่เขา แสงของอาคารกะพริบอยู่หลายครั้ง และแสงสีแดงของมันก็เข้มขึ้นกว่าเดิม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก! ไม่มีผู้ใดตอบกลับ ฉินเย่เคาะประตูอยู่อีกสองสามครั้ง ก่อนที่บานประตูจะเปิดออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยดดดด….
สายลมพัดออกมาจากด้านใน เงินกระดาษปลิวว่อน มันให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการยืนอยู่หน้าโถงไว้ทุกข์ที่มีเงินกระดาษกระจัดกระจายไปทั่วเลยสักนิด
เอี๊ยดดดด… เสียงประตูไม้ฟังดูเหมือนกับเสียงกรงเล็บของแมวที่ครูดไปตามกระดานดำ แต่มันก็เผยให้เห็นเพียงความมืดมิดด้านในที่ดูไม่ต่างจากที่ทำงานของอสูรร้ายเลยแม้แต่น้อย ฉินเย่พยายามจ้องมองไปด้านในอย่างระแวดระวัง เขาพบว่ารูปแบบการตกแต่งภายในของที่นี่อยู่ในสไตล์ยุค 40-50 โถงขนาดใหญ่ด้านในที่มีเพดานสูงสิบเมตร ทั้งสองฝั่งถูกปกคลุมไปด้วยผ้าม่านยาว ขณะที่เคาน์เตอร์ไม้สำหรับต้อนรับที่กว้างประมาณสองเมตรถูกวางอยู่ด้านหน้าสุด เงาร่างหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้น
อีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบของกองทัพญี่ปุ่น นั่งหลังตรงอยู่ที่เคาน์เตอร์ ล้อมรอบด้วยโคมไฟติดผนังสีแดงที่ให้ความสว่างกับโต๊ะของเขา
แต่เขาเองก็เป็นคนกระดาษเช่นกัน
ขณะที่ฉินเย่เดินเข้าไปใกล้ ดวงตาของคนกระดาษตรงหน้าก็หันมามองเขา จากนั้น…มันก็พูดขึ้น!
“ท่านมาสาย” เขายื่นเหรียญตราที่ทำจากไม้มาให้ “อย่าให้มีครั้งหน้าอีก”
“แน่นอน มันจะไม่มีครั้งหน้า” ฉินเย่รับเหรียญตราดังกล่าวมาและมองดูมัน หมายเลขทะเบียนบนเหรียญคือ ‘0-81’ จากนั้นเขาจึงหนีบมันไว้ใต้วงแขน ก่อนจะแตะปากกาแห่งการพิพากษาไปในอากาศ ซึ่งเป็นทิศทางของคนกระดาษตัวนั้น ดวงตาของฝ่ายตรงข้ามเบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่าน่าเสียดาย หัวของมันระเบิดออกก่อนที่มันจะทันได้กรีดร้องออกมา
พรวด! มันดูไม่ต่างอะไรกับศีรษะที่ถูกระเบิดออกเลยแม้แต่น้อย น้ำพุเลือดพุ่งทะลักออกมา กระจายไปทั่วทุกที่ และส่วนหัวที่ระเบิดก็กลายเป็นกลุ่มก้อนเงินกระดาษที่กระจายไปทั่ว ฉินเย่มองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
เลือดสีแดงเข้มพุ่งผ่านอากาศ กระเด็นไปเปื้อนหลอดไฟที่แขวนอยู่บริเวณใกล้เคียง โคมไฟติดผนังโดยรอบกะพริบอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเสียงซ่าเบา ๆ ทันใดนั้น ประตูหน้าของอาคารก็ปิดลงอย่างแรง
ฉินเย่ไม่ได้สนใจอะไร เขาผลักประตูที่นำไปสู่ห้องแต่งตัวและเดินเข้าไปด้านใน
มันมืดมาก ภายในห้องไม่มีหลอดไฟคอยให้ความสว่างอยู่แม้แต่ดวงเดียว โชคดีที่ดวงตาของตุลาการนรกทำให้เขาสามารถมองทะลุความมืดไปได้ เด็กหนุ่มพบว่าทั้งสองฝั่งของห้องล้วนเต็มไปด้วยตู้เสื้อผ้า โดยแต่ละตู้จะมีหมายเลขระบุเอาไว้ นอกจากนี้ มันยังมีประตูเหล็กที่สูงสองเมตรและกว้างเมตรครึ่งพร้อมกับลูกบิดทรงกลมตั้งอยู่ที่ตรงปลายอีกฝ่ายหนึ่งของห้องอีกด้วย
ห้องแต่งตัวนั้นค่อนข้างใหญ่ และความยาวของมันก็อยู่ที่ประมาณ 20 เมตร จากนั้น ขณะที่ฉินเย่เดินไปตามทาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยิน…เสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง
เขาชะงักและมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าตู้เสื้อผ้าที่เขาเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้…ทั้งหมดถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ภายในตู้ทั้งหมดเต็มไปด้วยเสื้อผ้าคนงานที่สกปรก พวกมันถูกแขวนอยู่ในตู้อย่างไม่ไหวติง แทบจะเหมือนกับศพที่ถูกแขวนอยู่รอบ ๆ คอยจับสังเกตมนุษย์เพียงคนเดียวที่เดินอยู่ภายในสถานที่ที่แสนรกร้างนี้
ฉินเย่ไม่เห็นสิ่งอื่นนอกจากนี้
เขาละสายตาและเดินไปข้างหน้าต่อ ทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน ตู้เสื้อผ้าทั้งหมดจะถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงที่น่าขนลุก เอี๊ยด… เอี๊ยด… ประตูตู้จำนวนมากถูกเปิดออกภายในความมืด เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะฝีเท้าของฉินเย่ที่ดังขึ้นเช่นกัน แม้แต่ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะถูกกดดันจากบรรยากาศที่แสนจะบีบคั้นนี้ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เด็กหนุ่มรีบเดินตรงไปที่ประตูเหล็ก ก่อนจะรีบหันกลับไปมองแม้ว่าเขาจะวางมือบนลูกบิดแล้วก็ตาม
ไม่มี
ไม่มีใครหรือวิญญาณตนใดให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่…รอยเท้าเปื้อนเลือดกลับปรากฏขึ้นบนพื้น เหมือนกับว่ากำลังมีบางอย่าง…กำลังเดินตามเขามาที่ประตู!
หากพูดกันตามตรง รอยเท้าพวกนี้ยังดูหนาแน่นและชุลมุนอย่างไม่น่าเชื่อ มันแทบจะเหมือนกับว่ามีกลุ่มคนนับร้อยที่เดินตามหลังเขา และตอนนี้ก็กำลังยืนล้อมรอบเขาอยู่ สายลมพัดผ่าน ส่งกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนให้แพร่กระจายไปทั่ว
ใครกัน… หรือว่ามีคนกำลังจับตามองเขาอยู่จากอีกมิติหนึ่ง?
“ไม่เลวนี่…เจ้ากำลังพยายามทำบรรยากาศให้มันน่ากลัวยิ่งขึ้น” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงบิดลูกบิดประตู “แต่เจ้ายังเป็นวิญญาณที่อยู่ไม่ถึงขั้นยมเทพด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเจ้าจะไปสามารถทำสิ่งใดกับวิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ได้?”
กึก กึก กึก กึก…ประตูเหล็กค่อย ๆ เปิดออก และประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นของฉินเย่ก็ถูกโจมตีด้วยกลิ่นเหม็นอับทันที ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มได้ยินเสียงบทสนทนาของเหล่าสตรีจำนวนนับไม่ถ้วน
มันเป็นห้องขนาดใหญ่
เห็นได้ชัดเลยว่าห้องแต่งตัวที่อยู่ทั้งสองฝั่งของเคาน์เตอร์ต้อนรับล้วนนำมาสู่ห้องเดียวกัน ห้องนี้มีความยาวประมาณ 400 เมตร และมันก็ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ โดยแต่ละส่วนล้วนมีโต๊ะยาวสำหรับวางหม้อและอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องจักรไม้ขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่ที่ปลายสุดของโต๊ะ โดยเครื่องจักรดังกล่าวดูเหมือนจะมีที่เหยียบและวงล้อขนาดใหญ่ติดอยู่กับกลไกของมันด้วย
ห่างออกไป มันยังมีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ที่ใจกลางห้อง ท่อมากมายถูกต่ออยู่เหนือศีรษะ ซึ่งประกอบไปด้วยช่องระบายอากาศที่ปรากฏอยู่โดยรอบ มันยังมีกระจกจำนวนมากที่ถูกแขวนลงมาด้วยความสูงเท่า ๆ กันอย่างเป็นระเบียบ พร้อมด้วยอ่างล้างมือที่อยู่ต่ำลงมา ซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในอาคาร ส่งผลให้เกิดเป็นเสียงเบา ๆ ที่คล้ายกับเสียงครวญครางของวิญญาณนับหมื่นตน ไอน้ำสีขาวพวยพุ่งออกมาจากหม้อ ในขณะที่วงล้อของเครื่องจักรไม้หมุนอย่างต่อเนื่อง เสียงสนทนากันของผู้หญิงจำนวนมากดังขึ้นให้ได้ยิน แต่…มันกลับไม่มีใครอยู่ภายในโรงงานเลยสักคนเดียว!
หากมองตามทฤษฎีแล้ว อุณหภูมิภายในห้องควรจะสูงมาก แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะในความจริงแล้ว อุณหภูมิภายในนี้กลับอยู่ต่ำกว่าศูนย์องศา! ละอองฝุ่นปลิวว่อนไปตามแรงลม แทบจะเหมือนกับม่านบาง ๆ ของแดนมนุษย์ถูกดึงขึ้นและเผยให้เห็นโรงงานที่เต็มไปด้วยผีร้าย
“เครื่องปั่นไหมแบบสมัยเก่า” ฉินเย่ละสายตาจากเครื่องจักรตรงหน้า จากนั้นจึงพยักหน้าเบา ๆ
นี่คือโรงงานผลิตไหมอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเคยเห็นสิ่งเหล่านี้มามากในอดีต
ไหมทั้งหมดจะถูกต้มก่อน จากนั้นจึงถูกดึงขึ้นมา กลิ่นของกระบวนการพวกนี้ดูคุ้นเคยกับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
หากพูดกันตามตรง…มันค่อนข้างแตกต่างออกไป เพราะกระบวนการนี้ยังส่งกลิ่นเหม็นที่น่าสะอิดสะเอียนออกมาอีกด้วย
ปึ้ง… ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังมาจากข้างหลังของเขา ประตูเหล็กหนาถูกปิดลงอย่างแรง ในขณะเดียวกัน แสงไฟในโรงงานทั้งหมดก็กะพริบอย่างบ้าคลั่ง
พรึ่บ! พรึ่บ! ภายในห้องสลับกันระหว่างความมืดและแสงสีแดง แทบจะเหมือนกับว่าพื้นที่แห่งนี้กำลังคร่อมอยู่ระหว่างแดนมนุษย์และโลกของคนตาย จากนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อไฟกลับมา ฉินเย่ก็ต้องพบกับภาพที่น่าตกตะลึง แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากด้วยความหวั่นสะพรึงและรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง!
คน…
ตอนนี้…ทั้งโรงงานแออัดไปด้วยผู้คน!
เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ด้วยตาเปล่า ผู้หญิงกว่าร้อยคนในชุดทำงานของยุค 30 และยุค 40 ต่างยืนประจำที่ของตนโดยหันหลังให้เขา บางคนมีผมสั้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ถักเปีย เขาสามารถมองเห็นพวกนางได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ไฟติดเท่านั้น ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้สังเกตอย่างละเอียด แสงไฟก็ดับไปอีกครั้ง
เสี้ยววินาทีต่อมา แสงไฟก็สว่างขึ้นอีกครั้ง มันไม่ต่างอะไรจากการดูหนังสยองขวัญแบบเฟรมต่อเฟรมเลยสักนิด ครั้งนี้…ผู้หญิงทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่ต่างหันหน้ากลับมาและก็กำลังจ้องตรงมาที่เขา!
และที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือ เขาสามารถบอกได้ด้วยว่าไม่มีใครที่มาจากแดนมนุษย์เลยสักคน!
ร่างของคนทั้งหมดล้วนถูกเผาจนไหม้เกรียม – สัญญาณที่บ่งบอกถึงการถูกเผาจนตาย เนื้อสดของพวกนางโผล่ออกมาให้เห็นจากรอยแตก ผิวสีดำเข้ม ทำให้พวกนางดูไม่ต่างอะไรกับวิญญาณที่กระทำบาปหนักที่สุดในโลกใต้พิภพไม่มีผิด!
กึก กร๊อบ กร๊อบ… ศีรษะของคนทั้งหมดหมุน 180 องศา พวกนางยังคงทำงานในมืออยู่ดังเดิม แต่ศีรษะของพวกเธอกลับหันมาด้านหลัง จ้องมองมายังแขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น
พรึ่บ ไฟดับไปอีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง ฉินเย่อ้าปากค้างด้วยความหวาดกลัว และคลื่นความกลัวก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง!
นี่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเขารู้สึกว่ามีมือ ๆ หนึ่งกำลังลูบหน้าของเขาอยู่ในความมืด
อือ…อึก… เสียงครางฮือในลำคอดังขึ้นข้าง ๆ หูของฉินเย่ หากพูดกันตามตรง เขายังรู้สึกได้ถึงลมหายใจของใครบางคนที่กระทบเข้ากับขนที่หลังหูของตัวเองอีกด้วย
ความกลัวเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณ ดังนั้น แม้ว่าฉินเย่จะเป็นยมทูต แต่เขาเองก็เช่นกัน รู้สึกหวาดกลัวและหวั่นสะพรึง ด้วยเหตุนี้ มันจึงสามารถพูดได้ว่าภาพและเสียงที่เขากำลังประสบในหลุมของโครงกระดูกนับพันได้ถูกจัดให้อยู่อันดับต้น ๆ ในหมู่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เขาเคยเผชิญมาทั้งหมด
เลือดในกายพุ่งพล่าน แต่น่าเสียดาย…มันยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น! เพราะก่อนที่เขาจะได้หันกลับไป ใครบางคนก็คว้ามือของเขาเอาไว้ในความมืด
อืออออ… อือออ… เสียงครางฮือในลำคอที่คล้ายกับก่อนหน้านี้ดังขึ้นจากด้านข้างของเขา อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันมี ‘คน’ มากกว่าหนึ่งคนที่มายืนอยู่ใกล้กับเขาภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
หมับ หมับ หมับ… ทีละข้าง ฉินเย่รู้สึกได้ว่ามีมือจำนวนมากเอื้อมมาหาร่างของเขา บางข้างจับเข้าที่เอว ในขณะที่บางข้างจับเข้าที่ขาและแขน ไม่นาน เขาก็ไม่สามารถนับจำนวน ‘คน’ ที่อยู่ล้อมรอบตัวเองได้อีกต่อไป จากนั้น ไฟก็ติดขึ้นอีกครั้ง
ในวินาทีนั้น ฉินเย่เห็นใบหน้าสีดำไหม้ที่มีเลือดไหลออกมามากมายกำลังจ้องมองมาที่เขาโดยอยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งฟุต ใบหน้าของพวกนางทั้งหมดล้วนดูบิดเบี้ยวอย่างผิดรูป
ผมเผ้ายุ่งเหยิงที่ตกลงมาปิดบังใบหน้า แต่ก็ไม่สามารถปิดบังดวงตาสีดำสนิทของพวกนางได้ หน้า หน้า และหน้าเต็มไปหมด! ไม่ว่าฉินเย่จะมองไปทางไหน เขาก็เห็นแต่ใบหน้า มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังถูกรายล้อมด้วยกำแพงใบหน้าอันน่ากลัวที่กำลังจ้องมองมาที่เขาเขม็งไม่มีผิด!
อึก…อือ… เสียงครางในลำคอยังคงดังต่อไป กำแพงดวงตาสีดำดูลึกล้ำราวมหาสมุทร พรึ่บ…ไฟในห้องกะพริบอีกครั้ง และภาพต่อมาที่เด็กหนุ่มเห็นก็ทำให้เขานึกถึงภาพของเหยื่อที่ถูกล้อมรอบด้วยฝูงหมาป่าที่ดุร้าย!
ในความมืด ฝ่ายตรงข้ามอ้าปากกว้าง
กว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าพวกนางคืองูตัวใหญ่ที่ตั้งท่าจะกลืนกินมนุษย์เข้าไปทั้งร่าง นอกจากนี้เขายังมองเห็นฟันอันแหลมคมที่อยู่ในปากพวกนั้นอีกด้วย
และครั้งนี้ แสงไฟก็ไม่สว่างขึ้นอีกเลย