ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 387 อดีตอันยาวนาน (1)
บทที่ 387: อดีตอันยาวนาน (1)
ฉินเย่มองเห็นช่องสีดำเข้มอันน่าสยดสยองที่กำลังเล็งมาที่ตนในความมืดได้ราง ๆ
เสี้ยววินาทีต่อมา วิญญาณที่อยู่ล้อมรอบเขาก็คำรามออกมาสุดเสียงขณะที่พุ่งตรงเข้ามาที่ลำคอของฉินเย่
ติดต่อกัน ทีละชั้น ๆ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในโรงงานกองอยู่บนร่างของฉินเย่ เปลี่ยนจากการปิดล้อมให้กลายเป็นกองซากร่างคน ซากศพสีดำสนิทคำรามออกมา ในขณะที่มือหลายสิบข้างขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะจิกทึ้งร่างของเป้าหมายที่อยู่ด้านล่าง หนอนจำนวนมากคลานยั้วเยี้ยเข้าและออกจากผิวหนัง ในขณะที่วิญญาณที่อยู่ชั้นในสุดก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาและกัดไปที่เป้าหมายอย่างดุเดือด
มันเป็นเหมือนกับการเต้นรำที่ยุ่งเหยิงของเหล่าวิญญาณนับพัน
ทันใดนั้น เสียงแค่นหัวเราะอย่างดูถูกก็ดังออกมาจากใจกลางความมืด “เจ้ารู้หรือไม่…พวกหนังสยองขวัญมักจะสูญเสียเสน่ห์ของมันไปในทันทีที่มีพวกวิญญาณเผยตัวตนที่แท้จริงของมันออกมา”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที คลื่นพลังหยินอันไร้ขอบเขตก็ปะทุออกมาจากกองศพทั้งหมดราวกับระเบิดที่รุนแรง วิญญาณร้ายที่เกาะอยู่บนร่างของฉินเย่ต่างกรีดร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะถูกซัดกระเด็นออกไปในทุกทิศทางราวกับเศษระเบิดของระเบิดมือ
อ๊ากกกก–!!! กรี๊ดดดดด!!! พวกนางกรีดร้องออกมาสุดเสียง จากนั้น… แปล่บ… แปล่บ… ไฟที่ดับไปเมื่อครู่ก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
ฉินเย่ยังไม่ได้อยู่ในสถานะยมทูตอย่างเต็มตัว ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบของขั้นตุลาการนรก แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงเป็นร่างมนุษย์ เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ เพียงเพื่อที่จะพบว่าทั้งโรงงาน…กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง
มันไม่มีอะไรเลย
แทบจะเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น
กลุ่มหมอกพลังหยินยังคงล่องลอยไปตามพื้นโรงงานร้าง ในขณะที่หม้อต้มยังคงเดือดปุด ๆ และมีไอน้ำสีขาวออกมา แต่หนึ่งสิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือบนพื้นตอนนี้เต็มไปด้วยกระดาษหลายแผ่น
เด็กหนุ่มกระดิกนิ้วเบา ๆ และกระดาษทั้งหมดก็ลอยเข้ามาในมือและจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ
“ช่างเป็นความแค้นที่รุนแรงจริง ๆ…” เขาเอ่ยออกมาทันทีที่นิ้วสัมผัสเข้ากับกระดาษที่เย็นชืด กระดาษพวกนี้ขาดรุ่งริ่งและกลายเป็นสีเหลืองไปจนหมด ตัวหนังสือมากมายถูกเขียนเอาไว้ ไม่ใช่ด้วยปากกา แต่เป็นด้วยดินสอ ไม่มีใครรู้ว่ามันผ่านมากี่ปีแล้ว แต่ตัวหนังสือทั้งหมดกลับเด่นชัดจนดูราวกับว่าพวกมันเพิ่งถูกเขียนขึ้นมาใหม่ ๆ
“วันที่ 11 ธันวาคม ปีค.ศ. 1947”
“ฉันอยากให้เรื่องทั้งหมดนี้มันจบลงเสียที” ประโยคแรกของหน้ากระดาษทำให้หัวใจของฉินเย่เต้นผิดจังหวะ มันเป็นเพียงประโยคธรรมดา ๆ แต่ฉินเย่กลับสามารถสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของผู้เขียนได้อย่างชัดเจน
“เมื่อไหร่วันเหล่านี้จะจบลง… ตอนนี้ก็เดือนธันวาคมแล้ว แต่ฉันกลับยังไม่มีเสื้อผ้าเพียงพอที่จะสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเองในตอนกลางคืนได้ มันน่าตลกแค่ไหนกันถ้าจะบอกว่าเวลาเดียวที่ฉันรู้สึกอบอุ่นคือตอนที่ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตไหม? ฉันแทบจะไม่มีข้าวให้กินด้วยซ้ำ… แล้วลูกในท้องของฉันจะเติบโตและแข็งแรงได้อย่างไรกัน…? อนาคตช่างดูมืดมนและสิ้นหวังเหลือเกิน…”
เห็นได้ชัดว่านี่คือบันทึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานในโรงงานแห่งนี้ นอกจากนี้ เขายังสามารถบอกได้อีกด้วยว่าผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคนที่มีการศึกษาพอสมควรในช่วงเวลานั้น
ฉินเย่ยังคงอ่านต่อ “มันเปล่าประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ทุก ๆ วันต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว หากปีศาจพวกนั้นรู้ว่าฉันท้อง ฉันคงไม่สามารถทำงานที่นี่ได้อีก… ฉันต้องทำแม้กระทั่งรัดเข็มขัดจนแน่นทุกวันเพื่อปกปิดทุกอย่าง มันอาจจะยาก แต่มันก็เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ฉันยังสามารถหาเงินได้ ฉันยังต้องดูแลพ่อกับแม่อีกด้วย… ดังนั้นฉันจะเสียงานนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด! แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องทำงานให้กับพวกญี่ปุ่นก็ตาม!”
“แล้วยังเด็กในท้องที่ต้องเติบโตอย่างขาดสารอาหารอีกเล่า… ฉันไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ วันใช้ชีวิตราวกับตกนรกทั้งเป็น แต่ละวัน…ผ่านไป…วันแล้ววันเล่า… มันช่างน่าเศร้าและสิ้นหวังเหลือเกิน ฉันกลัว…กลัวมาก… ปีศาจพวกนั้นเคยพูดว่าหากเราคนใดก็ตามที่รู้เรื่องอะไรที่ควรจะรายงานแต่เลือกที่จะปิดบัง พวกเราทั้งหมดจะต้องรับผิดชอบในความผิดนั้นอย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกับฉันล้วนเสี่ยงที่จะถูกโดนไล่ออกทั้งสิ้น ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น… หากพวกเขารู้ว่าฉันท้อง…”
ฉินเย่ยังคงมีสีหน้านิ่งสงบขณะที่พลิกหน้ากระดาษต่อไป เขาเคยเห็นความตายและการจากลามานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรจากบันทึกนี้
แต่มันกลับเห็นได้ชัดเจนว่าหน้าต่อมาถูกเขียนโดยใครอีกคน
“วันที่ 12 ธันวาคม ปีค.ศ. 1947”
“อวี๋ลี่ซานท้อง! เธอจะต้องท้องแน่ ๆ!”
ลายมือของคนคนนี้ถูกกดย้ำมากกว่าคนก่อนหน้า มันเผยให้เห็นอารมณ์ของผู้เขียนไปในเวลาเดียวกัน – ความวิตกกังวล ความหวาดกลัว และความลังเล “จะทำอย่างไรดี… ฉันควรจะทำอย่างไรดี?!”
“หากพวกปีศาจรู้เรื่องนี้ กลุ่มของเราทั้งหมดจะถูกไล่ออก! แต่ ฉันไม่ต้องการรายงานเรื่องของเธอ! ฉันบอกเธอให้เธอลาออกเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่เธอก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา เธอเอาแต่ร้องไห้ ฉันรู้ดีว่าเธอยังมีพ่อแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตในวัย 60 กว่าให้ต้องดูแล แต่…ฉันเองก็มีพ่อแม่เหมือนกัน!”
“และฉันยังมีลูกสาววัยหกขวบที่ต้องเลี้ยงดูอีกด้วย! ทุกอย่างตอนนี้…มันเหมือนกับว่าพวกเรากำลังอยู่ในนรก ฉันยังสามารถเก็บอาหารที่เหลือจากที่นี่ได้ แต่ถ้าฉันถูกไล่ออก… ฉันอาจจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดในช่วงฤดูหนาวได้ด้วยซ้ำ!”
“แต่…ท้องของเธอก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มันจะสามารถปิดบังไปอีกได้นานแค่ไหนกัน? เมื่อพวกปีศาจรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็จะไล่เราออกทั้งหมด! ฉันจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!”
ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนแรกเขานึกว่านี่เป็นโรงงานผลิตไหมที่ถูกยึดโดยผู้รุกราน และคนงานทั้งหมดที่อยู่ภายในก็ถูกเผาทั้งเป็น แต่แล้ว…มันกลับไม่เป็นแบบนั้น
ธรรมชาติของมนุษย์
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่สามารถคาดเดาได้ คนคนหนึ่งสามารถใจดีและบริสุทธิ์เหมือนกับพระแม่มารี แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็สามารถเลวทรามราวกับพวกโจรชั่วได้เช่นกัน
ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว ฉินเย่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสูงศักดิ์สักเพียงใด แต่เขาก็ย่อมคิดถึงตนเองก่อนผู้อื่นเสมอ
“และ ‘ปีศาจ’ ที่ว่าก็คงจะหมายถึงพวกทหารญี่ปุ่นที่คอยควบคุมการทำงานของโรงงานผลิตไหมที่นี่” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะพลิกไปยังหน้าที่สาม “ถึงแม้ว่าไม่อยากจะพูด แต่เรารู้สึกเหมือนว่าจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ มันไม่มีความเป็นไปได้อื่นแล้วจริง ๆ เพราะอย่างไรเสีย หากคนงานผู้หญิงเป็นเหยื่อของพวกทหารญี่ปุ่นจริง เช่นนั้นการยึดคืนดินแดนและก่อตั้งดินแดนใหม่อย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ก็คงจะสามารถจัดการกับความคับแค้นที่อยู่ภายในใจของพวกนางไปได้นานแล้ว และจากนั้น พวกนางก็คงสามารถพักได้อย่างสงบสุข และคงไม่ต้องติดอยู่ที่นี่ ดังนั้นมันเห็นได้ชัดเจนว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น… เฮ้อ~… มนุษย์หนอมนุษย์…ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง…”
และหน้าที่สามก็เป็นลายมือของคนอีกคนหนึ่ง
“วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 1948”
“อวี๋ลี่ซานท้อง… ท้องของเธอเริ่มแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว… พวกเราทุกคนต่างอยู่ในความเสี่ยง แม้กระทั่งหัวหน้าของกลุ่มก็ได้ไปพูดกับเธอด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น… เธอก็ยังคุกเข่าลงตรงหน้าและขอร้องไม่ให้เรารายงานเรื่องเธอกับพวกปีศาจ เธอสัญญาว่าจะลาออกทันทีที่ฤดูหนาวจบลง ฉัน…ไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรทำอย่างไร”
“พวกเราต่างก็มีครอบครัว ต่างมีพ่อแม่และลูกให้ดูแล แต่…เมื่อได้เห็นเธอคุกเข่าขอร้องเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า โน้มหน้าผากติดกับพื้นจนมีเลือดซิบออกมา สุดท้าย…เราก็ยอม”
“เดี๋ยวพอถึงเดือนเมษายนอากาศก็จะอุ่นขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ? มันเหลืออีกแค่เดือนเศษ ๆ เท่านั้น บางที…ทุกอย่างอาจจะผ่านไปได้ด้วยดีก็ได้…”
พรึ่บ…ฉินเย่พลิกไปยังหน้าถัดไป “วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 1948″
“พระเจ้าช่วย! พวกปีศาจรู้เรื่องแล้ว! ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามปกปิดมัน…แต่ผู้ดูแลทรยศก็เริ่มถามหัวหน้ากลุ่มของเราแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!”
“วันนี้หัวหน้ากลุ่มของเราเรียกรวมพลลับ พวกเราไม่สามารถชักช้าไปกว่านี้ได้อีกแล้ว! เธอจะต้องไป! ฉันเองก็ไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เช่นกัน แต่เราก็ไม่สามารถใช้ชีวิตภายใต้ความกลัวต่อไปได้! ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า!”
“ฉันแค่หวังว่ามันจะไม่สายเกินไป! พวกปีศาจจะสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเองในบ่ายของวันนี้…”
หน้าถัดไป “วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 1948”
“อวี๋ลี่ซานตายแล้ว…”
นี่คือประโยคแรกที่บันทึกถูกเปิดขึ้น กระดาษแผ่นนี้ดูยับเยิน และมันยังเปื้อนน้ำอีกด้วย ฉินเย่ไล่นิ้วไปที่ส่วนนั้นของกระดาษ เขาสามารถเดาได้ว่าผู้เขียนคงเขียนมันทั้งน้ำตา
เพราะเมื่อน้ำตาหยดลงบนกระดาษที่มีคุณภาพต่ำ มันย่อมทิ้งคราบเอาไว้เมื่อมันแห้ง ผู้ที่เขียนจดหมายในอดีตล้วนเคยประสบเรื่องพวกนี้มาแล้วทั้งสิ้น
“ฉันกลัว…ฉันใกล้จะเป็นบ้าเต็มที! ฉันจะออกไปจากที่นี่… ฉันจะออกไปจากที่นี่ทันทีที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง! พวกญี่ปุ่นไม่ใช่มนุษย์! พวกมันคือปีศาจ! ปีศาจที่โหดเหี้ยมและเลวทราม!!!!”
ประโยคนั้นถูกเขียนเครื่องหมายอัศเจรีย์ติดต่อกันถึงสี่ครั้ง โดยทั้งหมดล้วนถูกเขียนด้วยแรงและอารมณ์มากมาย แม้แต่กระดาษก็ฉีกขาดออก
“ทุกคนต่างซ่อนตัวภายใต้ผ้าห่ม จดบันทึกความคิดของตัวเองลงในบันทึกประจำวัน ไม่มีใครพูดคุยกับใคร… เมื่อเช้านี้… เช้าของวันนี้…” ฉินเย่สามารถจินตนาการถึงภาพผู้เขียนที่ตัวสั่นเทาอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ข่มกลั้นความหวาดกลัวภายในใจขณะที่จดบันทึกประจำวันของตัวเองต่อไป “ปีศาจมาถึง และเขา… เขาก็ทำร้ายอวี๋ลี่ซานจนตายตรงหน้าของพวกเราทุกคน!!”
“มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้… มันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น! พวกเราแค่ขอให้เธอออกไปจากที่นี่! ไม่มีใครอยากให้เธอต้องตาย! ใครกันที่เป็นคนหักหลังเธอ? พวกเราคนใดกันที่เป็นคนบอกปีศาจเกี่ยวกับความลับนี้?!”
“และ…และปีศาจนั่น! ขะ เขา… เขายังผ่าท้องของอวี๋ลี่ซานต่อหน้าสาธารณะและดึงตัวทารกในท้องของเธอออกมา! อ๊ากกกกก!!!!”
หน้ากระดาษด้านหลังฉีกขาดเล็กน้อย ฉินเย่สามารถจินตนาการถึงภาพที่น่าสยดสยองนั้นได้อย่างชัดเจน แล้วแม้แต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคนที่เขียนบันทึกนี้ดูมีอารมณ์มากเกินไป บันทึกหน้านี้จบลงที่ตรงนั้น แต่หน้าต่อไปก็ยังคงเป็นลายมือของผู้เขียนคนเดิม
“ทารกคนนี้ตายไปแล้ว” ดูเหมือนว่านางจะสงบลงแล้วเมื่อมาเขียนบันทึกในหน้านี้ ลายมือของนางน้ำหนักเบาลงกว่าครั้งก่อนหน้า “อวี๋ลี่ซานรัดเข็มขัดจนแน่นเพื่อที่จะปกปิดเรื่องท้องเอาไว้ และเด็กน้อย…ก็จบลงด้วยการตายอยู่ในท้องเพราะขาดอากาศหายใจ เด็กหญิงตัวน้อย… ฉันจะไม่มีทางลืมภาพนี้ไปตลอดชีวิต – ทารกตัวม่วง…ถูกชูขึ้นกลางอากาศโดยฝีมือของปีศาจ ก่อนจะถูกโยนลงไปในบ่อน้ำเดือดที่ใช้สำหรับต้มไหม…”
“เขามันไม่ใช่มนุษย์… เขาไม่เหมาะที่จะเป็นมนุษย์! แถมเขา…ยังบอกให้เราทำงานต่อไปหลังจากที่ทำแบบนั้น! รวมถึง…ใช้น้ำบ่อนั้นต่อไป! กรรมจะต้องตามทัน และเขาก็จะต้องถูกเนรเทศไปยังนรกขุมที่ลึกที่สุดเมื่อตายไป! ฉันรู้ว่าท่านจ้าวนรกจะไม่ยอมนิ่งเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง! ฉันเชื่อว่ามันยังมีความยุติธรรมอยู่ในโลกนี้!!!”
บันทึกหน้านี้จบลงเพียงเท่านั้น
แต่มันก็ยังมีอีกหลายสิบหน้าต่อจากนี้
ฉินเย่มีข้อสงสัยของตัวเอง ทั้งหมดนี้คือความทรงจำของเหล่าคนตาย วิญญาณทั้งหมดที่มีความคับแค้นใจย่อมทิ้งบันทึกความทรงจำหรือสิ่งที่บันทึกความแค้นของพวกเขาเอาไว้ และมันก็กลายเป็นหลักฐานของการสืบสวนทั้งหมดของพวกยมทูต แต่บันทึกประจำวันเหล่านี้หมายความว่า…เขาเพิ่งอ่านมาถึงบทนำของเรื่องเท่านั้น
เขาอ่านต่อ แต่ถึงกระนั้น บันทึกหน้าถัดไปกลับมีคำอยู่เพียงไม่กี่คำ
“มีผีอยู่ที่นี่!!!”
และมันก็ไม่มีอะไรอีก
จากนั้น กระดาษหน้าถัดไปก็ถูกขีดเขียนอย่างลวก ๆ ราวกับผู้เขียนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง “มีผี…ที่นี่มีผี! มันมีผีอยู่จริง ๆ!!! อ๊ากกกก!!! ฉันจะอยู่ที่นี่ไปนานกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องเป็นบ้าแน่ ๆ!!”
เขารีบพลิกดูหน้ากระดาษกว่าสิบแผ่น และทั้งหมดก็ถูกบันทึกในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน – “มีผี…ที่นี่มีผีสิงอยู่… แต่พวกปีศาจก็เฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า พวกเขาไม่ยอมให้พวกเราออกไปจากที่นี่จนกว่าเราจะทำงานเสร็จ!!!” “มันเป็นโรงงานผีสิง… ฉันรู้… พวกเธอ… พวกเธอกลับมาแล้ว! วันนี้เป็นวันที่เจ็ดนับตั้งแต่ที่เธอตายไป!” “ผีหลอก!”
พรึ่บ… พรึ่บ… เด็กหนุ่มพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว จากนั้น หลังจากพลิกมาประมาณ 15 หน้า เขาก็มาถึงหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความอีกครั้ง
แต่กระดาษแผ่นนี้กลับแตกต่างออกไป
ครึ่งบนของกระดาษเต็มไปด้วยข้อความมากมาย ในขณะที่ครึ่งล่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
“วันที่ 12 มีนาคม ปีค.ศ. 1948 เวลาเที่ยงคืน”
เห็นได้ชัดว่าผู้เขียนกำลังตัวสั่นเทา แทบจะเหมือนกับว่าเธอกำลังพยายามข่มความหวาดกลัวภายในใจ “ฉันเป็นคนต่อไป… ฉันเป็นคนต่อไปแน่ ๆ…”
“คนอื่น ๆ ตายหมดแล้ว… สมาชิกในกลุ่มของอวี๋ลี่ซานตายหมดแล้ว! เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น… มันมีผี… มีผีอยู่จริง ๆ… ในทุก ๆ คืน ฉันยังคงนอนอยู่ภายในห้องที่มีไว้สำหรับคน 20 คน… แต่ตอนนี้มีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่เหลืออยู่ ฉันรู้สึกได้…ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเธอกำลังใกล้เข้ามา! เมื่อใดก็ตามที่ฉันล้มตัวลงนอน ฉันสัมผัสได้ถึงเด็กทารก…เด็กทารกที่ถูกโยนลงไปในน้ำต้มที่เดือด…กำลัง…จ้องมองมาที่ฉันอย่างเงียบ ๆ…ด้วยดวงตาสีดำสนิท…ตลอดทั้งคืน….”
“และที่ฉันรู้ว่ามันเป็นความจริงก็เพราะว่าในทุกเช้า ตอนที่ฉันตื่นมา ฉันจะเห็นร่องรอยของเด็กทารกที่มานอนอยู่บนเตียง!!!”
“ฉันไม่กล้าที่จะไปห้องน้ำ…ไม่กล้าที่จะพูด… ฉันเปิดไฟไว้ตลอดทั้งคืน… แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังกลัวว่าเด็กนั่นจะร้องไห้ออกมาทันทีที่ฉันส่งเสียงอะไรออกไป… ฉันกลัวว่าตัวเองจะปลุกมันให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล… ตะ แต่…คืนนี้ ตอนที่ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ฉันมองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันจากด้านหลัง!!!”
“นั่นเป็นแค่เงาสะท้อนหรือเปล่า? ฉันไม่รู้…ฉันไม่รู้อะไรแล้ว… มันมีบางอย่างอยู่ที่นี่… มันจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่แน่ ๆ! เธอกำลังจะมาฆ่าฉัน! อวี๋ลี่ซานและลูกของเธอกำลังจะมาฆ่าฉัน!! ฉันไม่ควรบอกเจ้าปีศาจนั่นเลยว่าเธอท้อง! ฉันไม่คิดว่ามันจะฆ่าเธอ! ฉันแค่อยากให้พวกมันไล่เธอออกก็เท่านั้น!!!”