ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 391 หลบหนีจากความตาย
บทที่ 391: หลบหนีจากความตาย
“ด้วยพลังหยินของตัวเองเพียงลำพัง ท่านคิดว่าตัวเองจะทนอยู่ได้นานสักเพียงใดกัน?” ชายในที่ประทับชั่วคราวหลังแรกเอ่ยออกมาขณะที่หัวเราะอย่างน่าสะพรึงกลัว “หนึ่งวัน? สองวัน? พลังหยินของค่ายกลสู้รบนี้จะไม่มีทางลดลง ยอมแพ้ต่อโชคชะตาซะ… ยมโลกได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว และสิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็ควรจะตายไปพร้อมกับมันเช่นกัน–…หืม? นี่มัน–… นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?!!!”
ม่านในที่ประทับเคลื่อนที่พลันถูกปัดไปด้านข้าง และร่างที่สวมชุดเสื้อคลุมยาวสีดำก็พุ่งออกมาและจ้องเขม็งไปที่ฉินเย่ด้วยความตกตะลึง
ฉินเย่เองก็ผงะไปเช่นกัน เพราะทันใดนั้น ลูกบอลแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างของเขาเอาไว้ ลูกธนูทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาพลันหยุดอยู่กับที่เมื่อมันสัมผัสเข้ากับลูกบอลแสงนี้ จากนั้น พวกมันก็เริ่มเลือนราง สั่นไหวและกระเพื่อมราวกับผิวน้ำ ก่อนที่จะสลายหายไปกลางอากาศ
ตราจ้าวนรก?
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองที่อกของตัวเองอย่างดีใจ
ในที่สุดเจ้าก็ตอบรับ… ถึงแม้ว่ามันจะช้าไปบ้าง… แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถกลับไปยังยมโลกได้ภายในอีกไม่กี่สิบวินาที…
ไม่แปลกใจเลย…ไม่แปลกใจเลยที่อาร์ทิสบอกว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจอันตราย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถหลบหนีได้
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก…จะ เจ้ามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกอยู่กับตัว?!” ชายที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำเงยหน้ามองด้วยดวงตาสีแดงก่ำ “เจ้าจะต้องไม่ใช่ตุลาการนรกธรรมดา ๆ เป็นแน่… บอกมา… เจ้าเป็นใคร?!”
แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่กลับไม่คิดที่จะตอบอีกฝ่าย เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง ในที่สุดเขาก็ปลอดภัยแล้ว ตัวเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกของยมโลกแห่งใหม่ได้อีกครั้งแล้ว
เขาจะกลับไประดมกองทัพ และเราจะมาพบกันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ความขี้ขลาด…แต่มันเป็นการรักษาชีวิตของตัวเอง
ครืดดด…แรงสั่นสะเทือนจากเศษตราจ้าวนรกรุนแรงขึ้นและเร็วขึ้น จากนั้นร่างของเด็กหนุ่มก็เริ่มเลือนราง ชายในชุดดำสูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้า…เรากำลังรออะไรกันอยู่?!”
ทันใดนั้น กองกำลังทั้งหมดที่ล้อมรอบฉินเย่อยู่ก็ยิงลูกธนูไฟออกไปอีกครั้ง! ท้องฟ้าที่มืดสนิทพลันเต็มไปด้วยการโจมตีที่รุนแรงราวกับฝนดาวตกไม่มีผิด!
บนพื้นดิน ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ภายใต้ร่างของฉินเย่ราวกับฝูงมดที่โผล่ออกมาจากรัง ทหารทั้งหมดจ้องมองไปที่ฉินเย่เขม็ง ตั้งตารอที่จะโจมตีอีกฝ่ายทันทีที่เข้ามาอยู่ในระยะ!
ฉึก! ฉึก! ฉึก! แต่ทันทีที่ลูกธนูพุ่งเข้ามาอยู่ในรัศมี 100 เมตรจากจุดที่ฉินเย่อยู่ พวกมันทั้งหมดก็ช้าลงทันที มันช้าเสียจนการเคลื่อนไหวทั้งหมดสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และปรากฏการณ์แปลกประหลาดยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าลูกธนูจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม อาณาเขตของเศษตราจ้าวนรกทำให้ลูกธนูทั้งหมดแทบจะหยุดนิ่งไป พวกมันทำได้เพียง ‘พุ่ง’ เข้าใส่ฉินเย่ทีละนิ้ว ๆ หากพูดกันตามความจริง แม้แต่เหล่าทหารวิญญาณที่ยืนอยู่ในรัศมีร้อยเมตรก็พบว่าตนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วไปกว่าหอยทากเช่นกัน
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด สิบวินาที… ดูเหมือนว่าเขาจะปลอดภัยในอีกสิบวินาทีหลังจากนี้
เขามองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยลูกธนูไฟด้วยความโล่งใจ เขาแทบไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่จะตามมาหากเศษตราจ้าวนรกไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย มันจะน่ากลัวเพียงใดกันหากลูกธนูถาโถมเข้าใส่ร่างของเขาพร้อมกันในคราวเดียว?
ทันใดนั้นเอง หางตาของเขาก็ต้องกระตุก และเด็กหนุ่มก็หันไปมองทางชายชุดดำทันที
ไพ่ตาย…คนพวกนี้จะต้องมีไพ่ตายลับที่สามารถเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาซ่อนอยู่อีก!
“ความผันผวนเหล่านี้บอกข้าว่ามันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น…อย่างที่ข้าบอก ลิมโบจะสามารถข่มอำนาจของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้อย่างไร? ยมโลกนั้นตกต่ำจนถึงจุดนี้แล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่คิดเลยว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้ามีอยู่จะเป็นเพียงเศษชิ้นส่วนเล็กน้อยของมันเท่านั้น…” สายตาของอีกฝ่ายจ้องมาที่ฉินเย่เขม็ง แขนเสื้อของเขาสะบัดอย่างรุนแรงเมื่อเขายกมือขึ้น เผยให้เห็นแขนซีดเผือดที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำช้ำของศพ
“แต่ข้าคงต้องขอพูดเลยว่า…ข้านั้นค่อนข้างโชคดีทีเดียว”
ฟึ่บ! เขาคลายมือออก เผยให้เห็นตะเกียงไฟขนาดเล็กที่อยู่กลางฝ่ามือ แต่ทันใดนั้นเอง ตะเกียงดังกล่าวก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพอ ๆ กับศีรษะของมนุษย์
ตะเกียงดังกล่าวมีทั้งหมดหกหน้า แต่ละหน้าถูกวาดเป็นภาพของวิญญาณขุนนางที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ทัพ ภายในไม่กี่วินาที มันก็เริ่มหมุน เร็วขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเปลวไฟสีทองขนาดเล็กก็ลุกโชนขึ้นที่ใจกลางของตะเกียง ฉายเงาของคนคนหนึ่งออกมา
พรึ่บ… ในขณะเดียวกัน ทหารวิญญาณที่ล้อมรอบฉินเย่อยู่ก่อนหน้าก็ถอยกลับไปราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ยังคงนิ่งเฉยขณะที่จ้องมองไปยังตะเกียงหมุนตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นี่จะต้องเป็นวัตถุหยินอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นวัตถุหยินมามาก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่ามันน่าจะอยู่ในประเภทเดียวกันกับวัตถุหยินที่เชาโยวเต๋าใช้
แต่…วัตถุหยินที่ดูแปลกประหลาดนี้กลับดูทรงพลังกว่าที่เชาโยวเต๋าใช้มาก! อันที่จริง…เขายังสัมผัสถึงพลังของขั้นฝู่จวินแผ่ออกมาจากมันได้อีกด้วย!
อีกความหมายหนึ่งก็คือ นี่คือวัตถุหยินระดับขั้นฝู่จวิน!
ใช่แล้ว การล่มสลายของยมโลกทำให้สมุดแห่งความเป็นตายกระเด็นไปไกลถึงช่องแคบสึชิมะ ตราจ้าวนรกเองก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกระจัดกระจายไปทั่ว และแม้แต่ปากกาแห่งการพิพากษาก็ยังคงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหากวัตถุหยินขั้นฝู่จวินจะกระเด็นจากยมโลกไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกไม่ใช่หรือ?
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนว่าตนเพิ่งถูกราดด้วยน้ำที่เย็นยะเยือก
ขณะที่ตะเกียงดังกล่าวหมุนไปเรื่อย ๆ มันก็ทำให้สายลมที่อยู่โดยรอบก่อตัวขึ้นและหลั่งไหลเข้าไปข้างในตะเกียง ภายในเวลาไม่กี่วินาที พายุหมุนขนานใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น เกิดเป็นเฮอริเคนขนาดร้อยเมตรที่หมุนวนอยู่รอบ ๆ ตะเกียง จากนั้นพื้นที่โดยรอบก็พลันสั่นสะเทือน และเสียงปล่อยลูกธนูก็ดังขึ้น
ฉึก!
มันรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ วิญญาณที่อยู่โดยรอบยังคงถอยกลับไปเรื่อย ๆ ขณะที่ประกายแสงกะพริบปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉินเย่ เด็กหนุ่มเอนตัวหลบไปทางด้านข้างทันที แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากไหล่ของตัวเอง
“อ๊ากกก–!!!” ความเจ็ดปวดดังกล่าวนั้นรุนแรงจนเขาอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาสุดเสียง ฉินเย่กุมเข้าที่หัวไหล่ตัวเอง ก่อนจะพบว่า…มันเต็มไปด้วยเลือด
หากเมื่อครู่นี้เขาหลบไม่ทัน จุดหมาย…ก็คงจะเป็นลำคอของเขาแทน
กึก…เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นจากการต่อสู้กับความเจ็บปวดที่เกินจะบรรยาย เขามองไปที่ไหล่ของตัวเองและก็พบว่ามันมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่
การโจมตีเมื่อครู่ทะลุผ่านหัวไหล่ของเขาจนเกิดเป็นรู
“หึหึ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคดีไม่เบา…” เมื่อมองจากระยะไกล อีกฝ่ายดูอ่อนแอกว่าเขา แต่ถึงกระนั้น ชายคนนั้นยังคงยืนหยัดขณะที่ชูตะเกียงขึ้นด้วยแขนที่สั่นเทา “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีเศษเสี้ยวของวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว หากข้าไม่ลงมือ เจ้าก็อาจจะสามารถหนีไปได้แล้ว แต่ตอนนี้…”
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฉินเย่ได้ยินเสียงปล่อยสายธนูดังขึ้นอีกสามครั้ง ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงแหวกอากาศ
“เจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียว”
หน้าผากของฉินเย่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาพยายามรวบรวมเศษเสี้ยวพลังหยินทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างเพื่อป้องกันตัว แต่มันก็เปล่าประโยชน์
ลูกธนูพวกนั้นเร็วมาก
เร็วจนเกินไป! เสียงปล่อยสายธนูและเสียงแหวกอากาศดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณขณะที่เขามองลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาตน ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
นี่เขา… จะจบลงเท่านี้อย่างนั้นหรือ?
ช่างน่าเสียดายจริง ๆ… ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาด สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขาตอนนี้กลับไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความเสียดาย
ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งได้รู้ถึงการมีอยู่ของคู่แท้ของตัวเอง เซี่ยจิ่นเส้อ เขายังไม่เคยได้พบหน้านางเลยสักครั้ง… อันที่จริง เขาสมควรที่จะได้ใช้เวลากว่าพันปีในการเพลิดเพลินไปกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต… แต่ในทั้งหมดทั้งมวล เขากลับเลือกรับเศษตราจ้าวนรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดนี้…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉินเย่ก็หลับตาลงในที่สุด
ช่างมันเถอะ ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องระวังตัวมากกว่านี้ในชีวิตหน้า เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องมาพัวพันกับอะไรแบบนี้อีก…
แต่ทันใดนั้นเอง บริเวณอกของฉินเย่ก็สว่างวาบขึ้นด้วยแสงสีทองและจางหายไปอย่างรวดเร็ว และร่างของฉินเย่เองก็หายไปเช่นกัน
เงียบ
สามวินาทีต่อมา ฝ่ายตรงข้ามเก็บตะเกียงของตนกลับไป จากนั้น พร้อมกับฟันที่กัดแน่น เขาตะโกนออกไปอย่างเดือดดาล “หาตัวเขา… รีบค้นหาให้ทั่วทั้งเมืองกู่เฉิงและหากายเนื้อของเขาให้เจอ! เราจะปล่อยให้ยมทูต…มีชีวิตรอดอยู่ในโลกนี้อีกไม่ได้!! ไม่แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส! เขาจะต้องตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!!”
“รับทราบ!!” ทหารวิญญาณนับหมื่นตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะกระจายตัวไปทำหน้าที่ของตนและหายตัวไปจากลิมโบภายในไม่กี่วินาทีต่อมา
สภาพแวดล้อมโดยรอบตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ชายในชุดคลุมสีดำเดินกลับเข้าไปในที่ประทับชั่วคราว ที่ซึ่งเขานั่งลงและหยิบแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมา เคร้ง…พร้อมกับเสียงร้าวเบา ๆ แก้วไวน์ในมือพลันแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ช่างน่าขันนัก” ทันใดนั้น เสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ประทับที่ว่างเปล่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าคือผู้เดียวที่สามารถหลบหนีออกมาจากการล่มสลายของยมโลกได้หรอกหรือ? ไม่คิดเลยว่าการรวมค่ายกลสู้รบขนาดใหญ่ของหลายตระกูลจะไม่สามารถหยุดตุลาการนรกเพียงตนเดียวได้”
อย่างไรก็ตาม ชายชุดดำเพียงถอนหายใจออกมา “เจ้าโง่… เจ้าไม่รู้หรือว่าการปรากฏตัวของยมทูตที่แท้จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร? วิญญาณที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้…ช่างโง่เขลาเสียจริง”
“แล้วอย่างไร? อย่างไรเสียข้าก็อยู่ระดับเดียวกันกับท่านอยู่ดี ข้าเลือกที่จะเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินในปากมากกว่าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อการบ่มเพาะ” เสียงนั้นเอ่ยตอบเรียบ ๆ “จะอย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่ขอพูดให้มากความ ที่พวกเรายอมให้ความร่วมมือด้วยก็เพราะว่าท่านบอกเราว่ายมทูตนั้นอันตรายมากเพียงใด แต่ลองดูผลที่ออกมาสิ…”
“พวกเราทั้งหมดต่างรู้ดีว่าแผ่นดินจีนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด แต่เรากลับยอมระดมกำลังจำนวนมากโดยเปล่าประโยชน์ หึหึหึ… ท่านนี่สมควรแล้วที่จะถูกเรียกว่าเป็นอนุสรณ์จากยุคอดีต…”
เคร้ง!! แก้วไวน์ใบหนึ่งถูกปาไปกระแทกเข้ากับฝาผนัง จากนั้น ชายชุดดำก็หันไปมอง “เจ้าหนู เจ้าควรจะเรียนรู้ที่จะเคารพผู้อาวุโสของตัวเองเสียบ้าง ความรุ่งโรจน์ของยุคสมัยก่อน…ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณอายุน้อยอย่างเจ้าจะสามารถเข้าใจได้”
เสียงนั้นเบาลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งจางหายไปในที่สุด “ฮ่า ๆๆๆ…นี่ท่านกำลังโกรธอย่างนั้นหรือ? ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อส่งสารให้ท่านเท่านั้น – เราจะจัดการกับภาระทั้งหมดต่อจากท่านเอง…”
ชายในชุดคลุมสีดำพึมพำเสียงเบา “เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ตามต้องการ แต่ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง… ยมทูตตนนี้… มีบางอย่างที่ทำให้แม้แต่ข้าก็รู้สึกขนลุก…”
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
สายลมด้านนอกพัดผ่านมาจนทำให้ผ้าม่านที่อยู่ด้านนอกปลิวไปมาอย่างแผ่วเบา
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ชายในชุดคลุมสีดำก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “หยิ่งยโสและไร้ซึ่งความกลัว…เอาเถิด เมื่อใดก็ตามที่เจ้าตระหนักได้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของพวกยมทูต เมื่อนั้นเจ้าก็จะกลับมาร้องขอความช่วยเหลือจากข้าเอง”
“นี่คงเป็นเพียงทางเดียวที่จะช่วยให้ฝ่ายอื่น ๆ ตระหนักได้ว่าตราบใดที่ยังมียมทูตอยู่ในโลกนี้ เราก็จะไม่มีทางมีอำนาจได้ตามที่เราปรารถนา”
“นายท่าน” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอกที่ประทับ “มันใกล้จะถึงเวลาเต็มที…”
อีกฝ่ายสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะตอบกลับไป “กลับ”
“เตรียมตัวออกเดินทาง~~~” ทันใดนั้นเสียงของปี่โหว ฆ้อง และกลองก็เริ่มดังขึ้นขณะที่ขบวนที่ประทับเคลื่อนที่เริ่มออกเดินทางไปในลิมโบ
หากลองมองไปยังทิศทางที่พวกเขามุ่งหน้าไป คุณอาจสังเกตเห็นเงาราง ๆ ของเมืองโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ปลายสุดของขอบฟ้า
………………………………………………………
เจ็บชะมัด…
เจ็บมาก… นี่เป็นเพียงความคิดเดียวที่อยู่ภายในหัวของฉินเย่
หากพูดกันตามตรง มันเจ็บเสียจนปลุกให้เขาตื่นจากการหลับใหล เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นช้า ๆ และสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะพบว่าตอนนี้ตนกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยที่ร่างทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“เวร…” เขาขยับตัวเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องงอตัวทันทีด้วยความเจ็บปวดบริเวณไหล่ เมื่อหันไปมอง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนเปลือยอกอยู่บนเตียงและมีผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงช่วงไหล่ ลวดลายของเพดานห้องที่เขาอยู่ดูไม่ต่างอะไรกับโถงภายในประตูนรกเลยสักนิด
จากนั้น เขาก็รีบยกผ้าห่มขึ้นเพื่อมองลงไปด้านล่างทันที
ให้ตายเถอะ…ใครถอดเสื้อผ้าของเขาไปจนหมด?! นี่ไม่รู้สึกอายเลยอย่างนั้นหรือที่จ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของเขาแบบนั้น?!
“มันค่อนข้างหายากนะที่ผู้ที่เพิ่งฟื้นขึ้นหลังจากหมดสติไปหลายวันจะตรวจสอบพรหมจรรย์ของพวกเขาเป็นอันดับแรก ไม่เลว ไม่เลว… ดูเหมือนว่าจิตใจของท่านจะยังดีอยู่” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบขณะที่นางยังคงปอกแอปเปิ้ลด้วยมีดปอกผลไม้ต่อไป
ฉินเย่หันไปกลอกตาใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเอนหลังพิงหัวเตียงและเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ใครเป็นคนถอดชุดข้า?”
“ซูตงเซวี่ยเป็นผู้อาสาทำมันด้วยตัวเอง”
เวร…เขาว่าแล้วว่าต้องเป็นนาง! นางคงจะรอโอกาสนี้มาโดยตลอด! นี่ส่วนที่ไม่สามารถสัมผัสของเขาต้องแปดเปื้อนไปแล้วหรือเปล่า…?
อาร์ทิสค่อย ๆ แกะสลักแอปเปิ้ลให้เป็นรูปร่างของหัวกะโหลก ไม่สนใจผู้ป่วยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเลยแม้แต่น้อย ฉินเย่มองอีกฝ่ายอย่างรำคาญ – ช่างมัน…เขากำลังคอแห้งพอดี แอปเปิ้ลฉ่ำ ๆ สักผลก็คงจะพอช่วยได้ เขาจะยอมปล่อยนางไปในครั้งนี้…
นอกจากนี้…มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถทำอะไรนางได้ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมให้อภัยนาง ไม่ใช่หรือ?
จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลในมือของอาร์ทิส นางก็โยนมันใส่ถังขยะ
ฉินเย่: ……
“มันทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม? นี่มันเป็นวิธีที่สร้างสรรค์ในการฆ่าเวลาหรืออย่างไร?” ฉินเย่กัดฟันแน่นและตะโกนเสียงดัง “ข้ากำลังจะคอแห้งตายอยู่แล้ว! เจ้าคิดจะปล่อยให้ข้ากลายเป็นศพที่แห้งเหี่ยวหรืออย่างไร?!”
“อ้าว ท่านอยากทานหรือ?” อาร์ทิสชะงักไป จากนั้น นางก็หยิบแอปเปิ้ลมาจากในถังขยะ เช็ดมันกับผ้าปูเตียงและนำไปจ่อมันที่ปากของฉินเย่ “อ้ามมม~~”
อ้ามบ้าอ้ามบออะไรเล่า!!!
ฉินเย่แทบจะไม่สามารถต้านทานความต้องการที่จะตบหน้าอีกฝ่ายแรง ๆ สักสองทีได้ เขาตะคอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วท่านจะปอกเปลือกมันทำไมหากไม่ใช่เพราะจะให้ข้ากินมัน?!”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับอย่างทันควัน “ข้าจะปอกมันให้ตัวเองไม่ได้หรืออย่างไรกัน? ข้าอาจจะทำฆ่าเวลาก็ได้ไม่ใช่หรือ?! นอกจากนี้ ท่านก็ดูเหมือนว่าจะหายได้ด้วยตัวเองไม่ใช่หรืออย่างไร? พอ ๆ หยุดพูดจาเพ้อเจอ! รีบบอกข้ามาว่าท่านไปเจอเรื่องสนุกอะไรมาในครั้งนี้! สิ่งใดกันที่ทำให้ท่านกลับมาโดยที่บาดเจ็บสาหัสแบบนี้?”