ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 393 ความหวาดหวั่น
บทที่ 393: ความหวาดหวั่น
“แต่เราจำเป็นจะต้องระวังเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่าพวกเขาอาจยังมีกองกำลังที่หลงเหลืออยู่ในเมืองกู่เฉิงอีก” และขณะที่เลือดของทุกคนเริ่มเดือด โนบูนางะก็ทำให้คนทั้งหมดเย็นลงด้วยการเอ่ยแย้งขึ้น “ถึงแม้ว่าข้าจะมองว่ามันไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่มันก็จะเป็นการดีกว่าที่เราจะเตรียมการสำหรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้”
พูดไปเถอะ
ฉินเย่นอนอยู่บนเตียงอย่างสบาย ๆ – เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากนักหรือ? ต้องการจะลอบสังหารข้าอย่างนั้นหรือ? เอาเถิด กองกำลังของข้าเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน! แล้วเรามาดูกันว่าผู้ใดจะน่ากลัวกว่ากัน
โนบูนางะประมือเคารพให้กับฉินเย่ “ท่านฉิน ข้าได้ถามท่านอาร์ทิสเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างทหารวิญญาณแล้ว และคำตอบของนางก็คือระดับการบ่มเพาะของพวกเขานั้นไม่ได้สำคัญมากนัก สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือความแข็งแกร่งของค่ายกลสู้รบ อาณาเขตเวท รวมถึงยุทโธปกรณ์ที่พวกเขาใช้ ข้าจึงอยากจะทราบว่าท่านพอจะเห็นสิ่งใดที่น่าสังเกตเกี่ยวกับทหารวิญญาณในตอนที่ท่านปะทะกับพวกมันบ้างหรือไม่?”
ฉินเย่หลุดจากภวังค์ของตัวเองทันที และเขาก็ขมวดคิ้วยุ่ง “อีกฝ่ายเองก็มีค่ายกลสู้รบเช่นกัน”
“ค่ายกลสู้รบ?!” อาร์ทิสอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร–… ไม่ มันเป็นไปได้ หากคนบาปแห่งขงจื๊ออยู่กับพวกเขา มันก็สมเหตุสมผลที่พวกเขาจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการวาดค่ายกลสู้รบ”
นางหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ก่อนที่จะถูกเนรเทศ ยิ่งคนบาปผู้นั้น ‘ยิ่งใหญ่’ มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งมีตำแหน่งอำนาจที่สูงขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว อาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดที่ประชากรทั่วไปในยมโลกจะก่อได้คืออะไร? ไม่ว่าอย่างไร ผลกระทบของมันก็มีขีดจำกัด หากพูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ ข้าเกรงว่าคนบาปแห่งขงจื๊อผู้นี้น่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่าข้าเมื่อพูดถึงลำดับขั้นในยมโลก บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าตระกูลของขงจื๊อนั้นถูกจัดให้เป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของยมโลก มันก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่อีกฝ่ายจะรู้เรื่องเกี่ยวกับค่ายกลสู้รบ...”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ “เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลสู้รบเลยหรือ?”
อาร์ทิสกระแอมเบา ๆ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ค่ายกลสู้รบอาจจะทรงพลัง แต่มันก็ต้องเสริมด้วยการใช้อาณาเขตเวทด้วย ท่านจะลองคิดแบบนี้ดูก็ได้ – ค่ายกลสู้รบนั้นเพิ่มความแข็งแกร่งของทหารวิญญาณ ในขณะที่อาณาเขตเวททำหน้าที่เปลี่ยนความแข็งแกร่งของทหารแต่ละนายให้กลายเป็นการสังหารพิฆาต เขาอาจจะรู้จักค่ายกลสู้รบ แต่เขาไม่มีทางมีความรู้เกี่ยวกับอาณาเขตเวทอย่างแน่นอน! เพราะอย่างไรแล้ว ขั้นตอนในการติดตั้งอาณาเขตเวททั้งหมดล้วนถูกซ่อนอยู่ภายในส่วนที่ลึกที่สุดของเมืองเฟิงตู!”
เงียบ
ด้วยมิตรภาพของพวกเขา ไม่มีผู้ใดคิดที่จะเอ่ยทักท้วงอาร์ทิสเกี่ยวกับการเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาของนาง
ความเงียบนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าอึดอัด
โชคดีที่ไม่นานความอึดอัดนั้นก็จางหายไป ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นจึงหันไปหากู่ชิง “เหล่ากู่ เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าบุคคลที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลนี้คือผู้ใด?”
“มากมายเหลือเกิน” กู่ชิงหัวเราะออกมา “ตระกูลขงประกอบด้วยหลายฝ่าย และแต่ละฝ่ายต่างก็บอกว่าอีกฝ่ายต่างเลวร้ายกว่าตน นอกจากนี้ ทุกราชวงศ์ต่างก็มีขันทีที่มาจากลัทธิขงจื๊อทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วพวกเราจะสามารถแยกพวกเขาได้อย่างไร?”
โนบูนางะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถูกต้อง แต่บางที ตัวตนของคู่ต่อสู้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ท่านฉิน ข้าคงต้องขอรบกวนให้ท่านช่วยนึกย้อนไปถึงตอนที่ท่านได้ปะทะกับพวกมัน และลองนึกดูว่ามีสิ่งอื่นอีกหรือไม่ที่โดดเด่นสะดุดตา หากไม่นับค่ายกลสู้รบ? ยกตัวอย่างเช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกมันใช้?”
“เพราะท้ายที่สุดแล้ว ค่ายกลสู้รบก็ไม่มีความหมายอะไรเมื่อต้องสู้กับหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมที่เรามี พวกเรายังมีสลักเกลียวอีกประมาณ 9 แสนดอกเหลืออยู่ในคลังแสง หากเข้าปะทะกันแบบซึ่ง ๆ หน้า เราอาจจะไม่ได้รับชัยชนะมาอย่างไร้ที่ติ แต่เราก็จะไม่ประสบกับปัญหาในการรักษาจุดยืนและป้องกันตัวเช่นกัน”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือคลึงขมับของตัวเองและคิดเกี่ยวกับการเผชิญหน้าเมื่อก่อนหน้านี้ – เขาจำได้ว่ามันยังมีอย่างอื่นอีก… ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้ถึงบางอย่าง “ใช่แล้ว มันยังมีสิ่งนี้อีก”
เด็กหนุ่มดีดนิ้ว และสิ่งของขนาดประมาณกล่องไม้ขีดไฟก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือของโนบูนางะ
ขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ มันก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นชุดเกราะกระดาษขนาดใหญ่ในที่สุด!
“ชุดเกราะ?” อาร์ทิสผงะไป “พวกมันมีของสิ่งนี้อยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
โดยไม่เว้นช่วง นางเอ่ยต่อ “ตามตำนานกล่าวว่าในโลกนี้มีสเป็คเตอร์อยู่ทั้งสิ้น 108 คน และทั้งหมดก็ล้วนสวมชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ชื่อว่า ‘คลอธ’ โดยสเป็คเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนของยมโลกก็คือราดาแมนทีส ไออาคอส และไมนอส ชุดเกราะกระดาษที่เจ้ากำลังถืออยู่น่าจะมาจากปาปิญอง สเป็คเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างของตัวเองได้เหมือนกับวงจรชีวิตของผีเสื้อ”
เงียบ
บรรยากาศโดยรอบพลันแปลกประหลาดมากกว่าเดิม
ไม่กี่วินาทีต่อมา กู่ชิงก็กระแอมออกมาแห้ง ๆ “ท่านอาร์ทิส…ข้าเองก็เคยอ่านเซนต์เซย่าภาคเจ้านรกฮาเดสในตอนที่มันถูกตีพิมพ์ออกมาครั้งแรกเช่นกัน…”
แววตาของฉินเย่ล่องลอยออกไปยังพื้นที่ว่างตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่เขากำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาภาพลักษณ์อันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ของจ้าวนรก แต่นางกลับพยายามทำลายทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ยมโลกจะยังสามารถเฟื่องฟูได้อีกหรือไม่หากมีผู้นำเช่นนี้? มันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในวงในหรือไม่? ใครก็ได้ ช่วยทีเถอะ…
อาร์ทิสกระแอมออกมาเบา ๆ “อะแฮ่ม…ขออภัย สิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อก็คือเราไม่ควรมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าเกราะชุดนี้ถูกทำขึ้นมาโดยกระดาษ ข้อเท็จจริงที่ว่ามันได้รับการเสริมความแข็งแกร่งและแฝงไปด้วยพลังหยินย่อมหมายความว่ามันสามารถสำแดงคุณสมบัติที่ไม่ต่างกับเหล็กหลอมในแดนมนุษย์ ท่านบอกว่า…พวกมันทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะที่คล้ายกับสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”
ฉินเย่พยักหน้า เขาเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขายังคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร
“ถ้าเช่นนั้นมันก็ทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมเสียอีก” ในที่สุดโนบูนางะก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก “ท่านฉิน ท่านอาร์ทิส ครั้งนี้…ข้าเกรงว่าเราอาจจะกำลังเผชิญหน้าเข้ากับอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ยมโลกได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาอีกครั้งเสียแล้ว!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” คนทั้งหมดหันไปมองโนบูนางะด้วยสีหน้าสงสัย
โนบูนางะพลิกชุดเกราะกระดาษในมือของตน และใส่พลังหยินของเขาเข้าไป ทันใดนั้น ชุดเกราะกระดาษก็เปล่งประกายวาววาบราวกับว่ามันคือเหล็กกล้า จากนั้น เขาจึงโจมตีมันด้วยฝ่ามืออันทรงพลัง และคนทั้งหมดก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าชุดเกราะตรงหน้าไม่แตกละเอียดอย่างที่คิด กลับกัน มันมีเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้นที่หักและหลุดออกไป แทบจะเหมือนกับว่ามันถูกทำขึ้นมาด้วยเหล็กไม่มีผิด
โนบูนางะลุกขึ้นและสะบัดมือ ประตูและหน้าต่างทุกบานของห้องพลันปิดสนิท หลังจากนั้น เจ้าตัวจึงสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “ท่านอาร์ทิส มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะหลอมชุดเกราะเช่นนั้นในแดนมนุษย์ จากนั้นคงจะเผามันเพื่อส่งมันมายังตำแหน่งที่ต้องการ?”
คำถามของโนบูนางะทำให้จิตวิญญาณของทุกคนตึงเครียดขึ้น อาร์ทิสส่ายหน้าตอบ “ไม่”
“เช่นนั้นมันก็หมายความว่ามันถูกทำขึ้นในโลกใต้พิภพ!” โนบูนางะกวาดตามองรอบห้อง “สิ่งนี้บอกเราอย่างหนึ่ง…ใครบางคน…กำลังทำชุดเกราะสำหรับโลกใต้พิภพ และผลผลิตของพวกเขาก็ก้าวข้ามยมโลกแห่งใหม่ไปแล้ว!”
โดยไม่เว้นจังหวะ เขาเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังมีความสามารถในการฝึกฝนทหารวิญญาณอีกด้วย พวกเขามีอุปกรณ์ครบครัน ตั้งแต่สำหรับฝึกฝนไปจนถึงใช้งานจริง พวกเขามีแม้กระทั่งพันธมิตรขั้นตุลาการนรกคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง!”
โนบูนางะจ้องมองเหล่าผู้นำของยมโลกอีกครั้ง
ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน รวมถึงตัวของฉินเย่เองด้วย จากนั้น ครู่ต่อมา เขาก็เข้าใจบางอย่าง และความรู้สึกหวั่นสะพรึงก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง!
อย่างนี้นี่เอง…
ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความหมายแฝงที่โนบูนางะต้องการจะสื่อกับพวกตน นอกจากนี้เขายังรู้แล้วด้วยว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติ ความหมายโดยนัยของเรื่องนี้มันมากมายเกินกว่าที่โนบูนางะจะกล้าพูดมันออกมา!
อันที่จริง ฉินเย่แทบจะมั่นใจเลยว่านี่คือแกนหลักของสิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ต้องการจะเตือนเขามาโดยตลอด! ในที่สุดชั้นที่อยู่รอบ ๆ กล่องปริศนาก็ค่อย ๆ ถูกลอกออกมา เผยให้เห็นความจริงที่น่าเหลือเชื่อซึ่งอยู่ภายใน!
มีเพียงความลับระดับนี้เท่านั้นที่ควรค่าแก่การที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ยอมเดินทางลงมายังแดนมนุษย์และเตือนฉินเย่ด้วยตัวเอง!
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้างุนงงของอาร์ทิสและกู่ชิง โนบูนางะก็พยายามเรียบเรียงคำพูดใหม่ “สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือ–…” แต่ฉินเย่กลับเอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน “โอดะซัง”
“นายท่าน” โนบูนางะประสานกำปั้นและฝ่ามือของตนตอบกลับด้วยความเคารพ
เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจ “เตรียมกองกำลังของเราให้พร้อม”
“รับทราบ!” โนบูนางะรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งและตอบกลับด้วยความกระตือรือร้น
กู่ชิงตกตะลึง และเขาก็ไม่ได้พยายามคิดถึงความหมายที่โนบูนางะต้องการจะสื่ออีกต่อไป “นายท่าน ท่านแน่ใจแล้วหรือ? แล้วความเป็นไปได้เกี่ยวกับสถานการณ์ไม่คาดคิดเล่า…“
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ฉินเย่หันไปยังคนทั้งสองที่ยังคงมึนงงและตอบกลับไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “การต่อสู้นี้จะต้องเกิดขึ้น”
“และจะต้องเกิดขึ้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่ที่เมืองกู่เฉิงหรือไม่ก็ตาม!”
ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยโต้แย้งใด ๆ เนื่องจากฉินเย่ได้ตัดสินใจไปแล้ว หลังจากนั้น เขาก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงและโบกมือ “เหล่ากู่ หลังจากนี้เจ้าช่วยรับผิดชอบเรื่องในยมโลกแทนข้าเป็นการชั่วคราว พวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้แล้ว โอดะซัง เจ้าอยู่ก่อน”
อาร์ทิสและกู่ชิงจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงโนบูนางะและฉินเย่ไว้เพียงลำพัง
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ยังคงเงียบ เขามองออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ยังคงตกใจเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งตระหนักได้เมื่อครู่นี้
สถานที่แห่งใดกันที่จะสามารถสนับสนุนอุตสาหกรรมการทหารได้?
สถานที่แห่งใดกันที่จะสามารถฝึกฝนทหารวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นได้?
มันมีคำตอบที่เป็นไปได้เพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
เมือง
เมืองผี!
นอกเหนือจากยมโลกแห่งใหม่…มันยังมีเมืองผีอีกจำนวนมากที่เริ่มปรากฏขึ้นทั่วส่วนต่าง ๆ ของแผ่นดินจีน!
ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ยิ่งดูสมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น ภูตผีและภูตผีคลุ้มคลั่งมีสติปัญญาเพียงพอที่จะสังเกตเห็นว่ายมโลกนั้นกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ยมทูตไม่ปรากฏตัวให้เห็น และแดนมนุษย์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่มีวิญญาณร้ายตนใดที่ตายภายในร้อยปีที่ผ่านมารู้จักถึงการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าโลกใต้พิภพ และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ?
การเกาะเป็นกลุ่ม!
วิญญาณที่ทรงพลังจะกลายเป็นเจ้าแห่งดินแดน! จีนจะถูกมองว่าเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งปราศจากผู้ปกครองอีกครั้ง! ผู้ใดก็ตามที่สามารถปักธงของตัวเองได้จะสามารถยึดครองดินแดนและเป็นเจ้าของมันได้! มันคือการเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งของยุครณรัฐ!
และยมโลกแห่งใหม่…ก็ไม่ต่างอะไรกับเล่าปี่ในยุคของสามก๊ก แน่นอนว่าพวกเขาคือจักรพรรดิที่แท้จริง แต่พวกเขาก็ยังถูกปฏิบัติราวกับตัวเองเป็นเพียงรัฐสาขาอื่น ๆ เท่านั้น
มีเพียงผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่คนสุดท้ายเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ในที่สุด! มีเพียงตอนนั้นเท่านั้นที่ฉินเย่จะสามารถพูดได้ว่าตนเป็นผู้ปกครองของยมโลกได้อย่างแท้จริง!
ตอนนี้ ตำแหน่งของฉินเย่นั้นได้มาจากมรดกที่ยายเมิ่งได้มอบให้เขา แต่ยมโลกยังไม่มีกำลังพอที่จะทำการทุกอย่างตามชื่อของมัน!
ใช่แล้ว…ต้องใช่แน่ ๆ! นี่จะต้องเป็นสิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ต้องการจะเตือนเขา อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการเตือนเขาเกี่ยวกับผู้ที่อาจเป็นภัยต่อชีวิตของเขา หรือข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอาจจะได้พบเจอกับวัตถุหยินที่ทรงพลังซึ่งอาจะส่งเขาไปยังประตูแห่งความตายได้ แต่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์กำลังบอกเขาถึงภาพรวมของมัน!
ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางอำนาจภายในโลกใต้พิภพของจีน!
“ข้าควรจะคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่นานมาแล้ว…” ฉินเย่ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงและหลับตาลง เขาหลงระเริงมากเกินไปเพียงเพราะว่ายมโลกกำลังพัฒนาไปตามมาตรฐานของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ความแตกต่างระหว่างยมโลกและเมืองผีนั้นเปรียบเสมือนเวลากลางคืนและกลางวัน
เขายังคงอยู่ในความมืดมิดเกี่ยวกับจำนวนเมืองผีที่ปรากฏขึ้นในจีน ในขณะที่ยมโลกยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุม ๆ หนึ่งของเมืองเป่าอัน หากไม่ใช่เพราะคำเตือนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ และการวิเคราะห์อย่างชาญฉลาดของโนบูนางะ เขาก็คงไม่รู้อะไรเลยแม้ว่าจะเห็นกองกำลังทหารวิญญาณที่สวมเกราะจำนวนมากขนาดนี้
ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมากขึ้น ตัวเขาเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรของคนบาปแห่งขงจื๊อ แต่เขากลับก้าวเข้าไปในอาณาเขตซึ่งคนเหล่านั้นมองว่ามันเป็นของตน การบุกรุกของขั้นตุลาการนรกย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกมองว่าเป็นการรุกรานของกองกำลังของฝ่ายศัตรู
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…คนบาปแห่งขงจื๊อสามารถรู้ได้ทันทีว่าเขาคือยมทูต
มันมีที่ว่างสำหรับยมโลกแห่งใหม่ท่ามกลางการเกิดยุครณรัฐของโลกใต้พิภพจริง ๆ น่ะหรือ? สิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องถูกจัดการก่อนที่มันจะเป็นภัยต่อการมีอยู่ของพวกเขา!
อย่างนี้นี่เอง… เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้นี่เอง…
ทันใดนั้น ราวกับสามารถได้ยินข้อสงสัยภายในใจของฉินเย่ โนบูนางะก็เอ่ยขึ้น “นายท่าน ตอนนี้มันคงยังมีจำนวนเมืองผีอยู่ไม่มากนัก มันเป็นการยากเพียงใดที่จะก่อตั้งเมืองผีขึ้นมาภายในระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ จะมีวิญญาณสักกี่ตนที่จะมีระดับสติปัญญาและความรู้พอ ๆ กับคนบาปแห่งขงจื๊อ? จากการคาดเดาของข้า มันแทบจะเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่จ้าวนรกองค์แรกได้วางฐานอำนาจของตนไปทั่วจีน แต่….ความหวังเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือพวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันและมีข้อมูลมากกว่าที่จ้าวนรกองค์ที่หนึ่งมาก!”
“ว่ากันว่าจ้าวนรกองค์แรกทรงต่อสู้เป็นระยะเวลากว่า 1,000 ปีในการก่อตั้งเมืองเฟิงตูซึ่งเป็นแกนหลักของยมโลก แต่ในเวลานั้นพระองค์ทรงต้องต่อสู้กับเมืองผีตั้งกี่เมืองกัน? แล้วตอนนี้มีอยู่เท่าใด? หากมีที่อื่นอีก ข้าก็คิดว่ามันน่าจะไม่เกิน 4-5 แห่งเท่านั้น และนี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ฉินเย่ “จะถูกเผยออกมาก็ต่อเมื่อเราแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองภายในเมืองกู่เฉิง!”
“มันจะต้องมีร่องรอยบางอย่างถูกทิ้งไว้ในขณะที่กองกำลังของอีกฝ่ายเดินหน้าอย่างแน่นอน และจากร่องรอยเหล่านี้ เราก็จะสามารถอนุมานอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับสถานะของโลกใต้พิภพในตอนนี้ได้ ดังนั้น การต่อสู้นี้จึงต้องเกิดขึ้น! เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของยมโลก รวมถึงเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการคาดเดาที่น่าสะพรึงกลัวนี้ของเรา!”
ฉินเย่พยักหน้า เขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากที่พวกตนตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ได้ก่อนล่วงหน้า
มันเป็นเรื่องดีที่พวกเขารู้เรื่องพวกนี้ก่อน ยิ่งพวกเขารู้เกี่ยวกับภาพรวมนี้เร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุด…พวกเขาก็สามารถสกัดกั้นแหล่งที่มาทั้งหมดของการก่อกบฏได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น!
การต่อสู้ครั้งนี้มีความจำเป็นอย่างมาก! มันมีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้นี้ที่แม้แต่โนบูนางะก็ไม่ได้พิจารณาถึง การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของยมโลกเท่านั้น แต่มันยังเป็นการประกาศต่อส่วนอื่น ๆ ของจีนว่ายมโลกยังคงอยู่! มันเป็นคำเตือนว่ากองกำลังทั้งหมดควรระวังในการกระทำของตนให้ดี!
และที่สำคัญที่สุด…
คนบาปแห่งขงจื๊อจะเลือกใช้สถานที่ใดในการก่อตั้งเมืองผีของเขากัน?
ไม่ว่าฉินเย่จะคิดอย่างไร มันก็มีเพียงคำตอบเดียว
มณฑลซานตง นครชฺวีฟู่![1]
มันคือจุดที่อยู่ห่างจากเมืองหวู่หยางเพียงสามเมืองเท่านั้น!
น่าเสียดาย ตำแหน่งผู้นำนั้นมีได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะยอมปล่อยให้มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายต่อตนเองอยู่อาศัยอยู่ในสวนหลังบ้านของพวกเขาได้อย่างไร?
ดาบ…จะต้องถูกชักออกมา!
[1] บ้านเกิดของขงจื๊อ สุสานขงจื๊อ และที่อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการของลูกหลานของเขาทั้งหมด