ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 394 เคลื่อนย้ายจักรวาล
บทที่ 394: เคลื่อนย้ายจักรวาล
เหตุผลเดียวที่เขามั่นใจว่าเมืองผีของฝ่ายตรงข้ามตั้งอยู่ที่นครชฺวีฟู่…ก็เพราะว่ามันมีความเชื่อมโยงกับลัทธิขงจื๊ออย่างไม่สามารถแยกได้จนสาวกทั้งหมดไม่สามารถไปที่ไหนได้
ด้วยแนวคิดนี้ พวกเขาจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะฝ่ายตรงข้ามยังไม่รู้ว่ายมโลกแห่งใหม่ตั้งอยู่ที่ไหน!
อีกความหมายหนึ่งก็คือ ข้อได้เปรียบของยมโลกในตอนนี้ก็คือการที่ศัตรูไม่สามารถโจมตีฐานที่มั่นของพวกเขาได้!
แต่มันก็ยังมีคำถามอีกมากมายที่ฉินเย่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้
ยกตัวอย่างเช่น เขาพบว่าวิญญาณมักจะปรากฏตัวขึ้นบนพื้นผิวของแดนมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์เช่นนั้นจะไม่ได้เป็นไปในทันทีที่เมืองผีถูกก่อตั้งขึ้น นี่ค่อนข้างแปลกมาก เพราะแม้แต่เมืองเฟิงตูที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการเปิดประตูมิติบนแดนมนุษย์ซึ่งจะนำพาเหล่าดวงวิญญาณไปที่ประตูนรกโดยตรง
ดังนั้นฉินเย่จึงคาดเดาว่าเมืองผีของตระกูลขงอาจจะตั้งอยู่ภายในลิมโบ และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมอีกฝ่ายถึงสามารถลอบสังหารเขาได้ในตอนนั้น
แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นเพียงการคาดเดาและการคาดคะเนเท่านั้น อาร์ทิสเองก็จะได้รู้รายละเอียดทั้งหมด แต่เขาแค่ยังไม่มีเจตนาที่จะเปิดเผยข่าวร้ายนี้ก่อนที่จะแน่ใจก็เท่านั้น
“หากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นมันก็มีอะไรหลายอย่างให้ต้องทำ… ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงการสำรวจดินแดนทางตะวันออก ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “พวกเราจะต้องทำการสำรวจผ่าน ‘แมนเทิล’ ของโลก และเปิดทางเข้าสู่เมืองท่าขึ้นในแดนมนุษย์ หากมณฑลซานตงอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลขงจริง พวกเขาจะต้องรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเราเป็นแน่ และเมื่อเวลานั้นมาถึง…”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น และประกายเย็นยะเยือกก็ฉายชัดออกมาในดวงตา
ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยการทำสงคราม
“เจ้าไปได้ อาศัยชัยชนะที่เพิ่งได้รับมา และอย่าปล่อยให้ทหารวิญญาณของเราหย่อนยานเป็นอันขาด เตรียมการทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการมุ่งหน้าไปยังเมืองกู่เฉิง”
“รับทราบ”
เมื่อเอ่ยจบ โนบูนางะก็จากไป ฉินเย่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงประสานมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่างและอัญเชิญนกส่งสารออกมา เขาบันทึกข้อความของตัวเอง ก่อนจะส่งมันบินออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน วิญญาณอีกตนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับโค้งทำความเคารพ “ท่านฉิน”
เขาคือหลี่จีสี่
ฉินเย่มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ในฐานะของผู้ที่เคยอยู่หน่วยอัลบาทรอส หลี่จีสี่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับอะไรแบบนี้ หลังจากผ่านไปไม่นาน ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “ข้ามีภารกิจลับสองภารกิจให้เจ้าทำ หากเจ้าสามารถทำมันออกมาได้ดี และหวังเฉิงห่าวยินดีที่จะให้อภัยเจ้า เช่นนั้นทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราก็จะถูกลบออกไปทั้งหมด เจ้าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการของยมโลกอย่างเป็นทางการ และข้า…ก็อาจจะเริ่มไว้ใจที่จะมอบหมายงานอื่น ๆ ให้กับเจ้า”
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า หลี่จีสี่คือผู้มีพรสวรรค์ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับยมโลก และฉินเย่ก็จะไม่ยอมปล่อยให้พรสวรรค์เหล่านั้นสูญเปล่า ไม่ใช่ว่าการให้คำสัญญาปากเปล่าและใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนคนนั้นคือพรสวรรค์สูงสุดของฉินเย่หรอกหรือ?
“รับทราบ” หลี่จีสี่ตอบกลับด้วยเสียงที่นิ่งเรียบไม่แพ้กัน
ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเป็นเวลาครู่หนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลง “ข้าต้องการให้เจ้าเดินทางไปที่ฟิลิปินัส ขอเข้าพบท่านหยางจีเย่ และขอให้เขาส่งกองกำลังไปที่เมืองเป่าอันโดยเร็วที่สุด ข้าจะฝากจดหมายปิดผนึกที่เจ้าจะต้องส่งมอบมันให้เขาด้วยตัวเองไปด้วย ภารกิจนี้จะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด!”
คนบาปแห่งขงจื๊อ… ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าคือใคร… แต่เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถครองโลกได้ด้วยกองกำลังทหารเพียง 6 หมื่นนายอย่างนั้นหรือ?
หากข้ารวบรวมกองกำลังทั้งหมดของข้าและเดินหน้าไปหาเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ากำลังเจอเข้ากับอะไร…
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้คิดจะระดมกำลังจากอวี๋เชียนแห่งลิชชาวีแต่อย่างใด เพราะอีกฝ่ายกำลังอยู่ในจุดที่ยากลำบาก เขตกันชนเพียงแห่งเดียวที่แยกยมโลกและโลกใต้พิภพของฮินดูสถานออกจากกัน ในระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมา อวี๋เชียนคงสูญเสียทหารไปจำนวนมากเพื่อที่จะป้องกันการบุกรุกของพันธมิตรของโลกใ้ต้พิภพพวกนั้น!
ไม่คิดเลยว่าจ้าวนรกองค์ที่สามจะต้องมาตามชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้นโดยจ้าวนรกองค์ที่สอง…นี่มันตรรกะแบบไหนกัน…
“รับทราบ”
“นอกจาก…” ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อเจ้ากลับมา ข้าต้องการให้เจ้าฝึกฝนอัลบาทรอสคนอื่น ๆ โดยเร็วที่สุด! ข้าจะให้เจ้าจัดการกับอาชญากรที่ร้ายแรงที่สุดทั้งหมดจากแดนมนุษย์ และเจ้าจะมีอิสระที่จะกระทำการสิ่งใดกับพวกเขาก็ได้ ผู้ใดก็ตามที่ถูกส่งมอบตัวให้กับเจ้าจะถูกลบชื่อออกจากบันทึกนรก มันจะเหมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน”
หลี่จีสี่ฟังอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะตอบออกไป “ท่านฉิน ในแดนมนุษย์ การฝึกฝนหน่วยอัลบาทรอสนั้นใช้เวลาประมาณสองปีจึงจะสำเร็จ แต่ในยมโลก...เนื่องจากพวกวิญญาณไม่จำเป็นต้องนอนหรือพักผ่อน ข้าเชื่อว่าข้าจะสามารถทำตามความต้องการของท่านให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาหนึ่งปี”
“ดีมาก หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ข้าต้องการให้เจ้าส่งพวกเขาไปตรวจสอบยังจุดต่าง ๆ ของจีนที่มีวิญญาณอยู่หนาแน่น ทันทีที่พวกเขาระบุตำแหน่งได้ ข้าต้องการให้พวกเขาเข้าไปที่นั่นและตรวจสอบมันให้ละเอียด โดยข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ภายในจะต้องถูกส่งมอบให้ข้าเป็นการส่วนตัว”
“รับทราบ”
“เจ้าไปได้แล้ว แล้วก็ช่วยเรียกอาร์ทิสให้มาพบข้าที” ฉินเย่หลับตาลงและค่อย ๆ พิจารณาเรื่องทั้งหมด จัดระเบียบความสำคัญของสิ่งที่ตนจะต้องทำต่อไป เซลล์สมองของเขาทำงานด้วยความเร็วสูงมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และตอนนี้เขาก็รู้สึกเหนื่อยและหมดแรงเป็นอย่างมาก
หลี่จีสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็จากไปทันที และไม่นานอาร์ทิสก็เคาะประตูและเดินเข้ามาในห้อง นางมองฉินเย่ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “คำสั่งใดกันที่ท่านไม่สามารถรับสั่งได้โดยที่มีข้าอยู่ด้วย? ท่านกับโนบูนางะพยายามจะปกปิดความลับอะไรกัน?”
“…เปล่านี่… เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองมีมุมมองที่แปลกมากเกี่ยวกับชีวิต...” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะกลับเข้าสู่ประเด็นของเรื่อง “ข้าได้ส่งคนให้ไปบอกหยางจีเย่ว่าให้ส่งกองกำลังของเขาไปที่เมืองเป่าอันโดยเร็วที่สุด เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“… นั่นมันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน?”
“…ไม่เอาน่า บอกมาได้แล้ว ข้าไม่อยากจะปรากฏตัวอยู่ในพงศาวดารในฐานะของผู้นำที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการและสั่งฆ่าทุกคนที่มาขวางทางของตัวเองหรอกนะ”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองอีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน “ท่านจะถูกเรียกว่าเป็นนักฆ่าหรือผู้ที่ทำการสังหารหมู่แล้วอย่างไร? ข้าเองก็เคยเป็นที่โจษจันในเรื่องของพลังที่สามารถสังหารวิญญาณพันตนได้ภายในดาบเดียว! สถานที่ที่อ่อนแออย่างเมืองกู่เฉิงไม่สามารถต้านทานปลายดาบอันทำลายล้างของข้าได้ด้วยซ้ำ ข้าเคยบอกสมญานามของข้าให้ท่านได้รู้หรือไม่? เครื่องบดเนื้อแห่งสวรรค์! เขตไล่ล่าและวิญญาณมีไว้เพื่อรักษาสมดุลบางอย่างระหว่างโลก มันจะไม่เป็นไรหากท่านต้องการจะกำจัดพวกมันทั้งหมดให้หายไปจากพื้นผิวโลก แต่สำหรับวิญญาณเร่ร่อนตนอื่น ๆ พวกเขาไม่มีแม้แต่สติปัญญาด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต่างอะไรกับวัชพืชที่เติบโตขึ้นในทุ่งหญ้า ฆ่าไปเสีย มีสิ่งใดให้ต้องคิดมากกัน?”
ข้าล่ะชอบความซื่อตรงของเจ้าจริง ๆ!
ฉินเย่เอ่ยชมอาร์ทิสในใจ – สมแล้วที่เป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรลอร์ดแดรอน...ข้าจะจำมุมมองนี้เอาไว้…
เขาเองก็รู้ดีว่าสาเหตุที่วิญญาณเร่ร่อนได้รับอนุญาตให้อยู่ในแดนมนุษย์นั้นก็เพื่อที่จะเพิ่มพลังหยินเพื่อทำให้เกิดความสมดุลระหว่างหยินและหยาง เขายังรู้ด้วยว่าวิญญาณจะสามารฟื้นคืนสติได้ก็ต่อเมื่อกลับมาสู่โลกใต้พิภพ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขานึกไปถึงข้อเท็จจริงที่ว่าวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ เขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดกับการตัดสินใจของเขาเองขึ้นมา เขาไม่ได้ต้องการทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โชคดีที่ผู้หญิงตรงหน้าสลายความคิดพวกนี้ไปได้ด้วยมุมมองที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาของนาง และฉินเย่ก็รู้สึกดีขึ้นทันที..
ดูเหมือนว่าใจของเขาจะยังไม่แข็งพอที่จะเพิกเฉยต่อการจากไปของความเป็นมนุษย์ของตัวเองได้…
“กลับเข้าเรื่องกันได้แล้ว” เขาหุบยิ้มและเอ่ยต่อ “ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ เมืองกู่เฉิงอยู่ห่างจากเมืองเป่าอันไปเพีงแค่ 200 เมตรเท่านั้น และเราก็ยังไม่ได้ปูเส้นทางระหว่างจุดทั้งสอง ดังนั้นเราจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป “ไม่ใช่ว่าท่านจะรอให้การสำรวจเริ่มขึ้นแล้วจึงทำลายเมืองกู่เฉิงไประหว่างทางหรอกหรือ?”
ฉินเย่ส่ายหน้าและเอ่ยปฏิเสธเสียงเรียบ “ไม่ เราจะต้องส่งกองทัพไปที่เมืองกู่เฉิงโดยเร็วที่สุด”
อาร์ทิสเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน นางลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบ ๆ ห้องด้วยความโมโห หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและพึมพำเสียงเบา “เคลื่อนย้ายจักรวาล” [1]
ว่าไงนะ?!!!
นี่ล้อกันเล่นหรืออย่างไร?!
ฉินเย่จ้องมองอาร์ทิสด้วยแววตาดูถูก แทบจะเหมือนกับว่ากำลังตำหนิอีกฝ่ายที่ยังมาล้อเล่นในเวลาเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม อาร์ทิสยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม “ข้าไม่ได้ล้อเล่น นี่คือชื่อของหนึ่งในศาสตร์ที่ซับซ้อนมากที่สุดของยมโลก ขึ้นอยู่กับระดับพลังหยินของผู้ใหญ่ มันสามารถเคลื่อนย้ายกองกำลังทหารวิญญาณตั้งแต่ 1 แสนไปจนถึง 1 ล้านนายไปที่ใดก็ได้ ข้าเคยเรียกมันว่า เรียกขานสายลม อัญเชิญสายฝน ไสยเวท ป่นขุนเขา แผ่นดินทลาย จันทรามืดมิด ท้องฟ้ากระจ่าง…”
“เดี๋ยวก่อน” ฉินเย่ยกมือขึ้น “ช่วยหยุดล้อเลียนงานของฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอมาเป็นเซียนเสียทีเถิด นิยายเรื่องนั้นถูกเขียนมาเกือบสิบปีแล้ว…เพราะฉะนั้นเลิกพูดจานอกเรื่องและวกเข้าประเด็นเสียที” [2]
อาร์ทิสชะงักไป จากนั้นก็มองฉินเย่ด้วยสายตาดุร้าย “ทั้งหมดเป็นความผิดของท่านเองที่แนะนำโลกแห่งอินเทอร์เน็ตให้แก่ข้า! ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านได้ทำลายความเยาว์วัยของข้าไปมากเพียงใดตั้งแต่ที่ท่านได้ทำให้ข้ารู้จักกับมัน?! นี่ท่านเป็นปีศาจหรืออย่างไร?!”
ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาขณะที่ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย นี่เจ้าจะมาโทษข้าได้อย่างไรในเมื่อเป็นเจ้าเองที่เสพติดมัน? นี่เจ้าจะโทษสวรรค์ที่ประทานความหิวโหยให้กับเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?!
“กลับมาพูดเข้าประเด็นได้แล้ว เคลื่อนย้ายจักรวาล ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้ เจ้าสามารถเคลื่อนย้ายทหารวิญญาณไปได้มากเท่าไหร่?”
อาร์ทิสมองฉินเย่ราวกับเห็นผี “นี่ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยหรืออย่างไร? ‘หนึ่งในศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดของยมโลก’ ท่านไม่เข้าใจตรงไหนกัน? นี่คือทักษะที่มีเพียงยมโลกระดับสูงเท่านั้นที่สามารถใช้ได้! นอกจากนี้ ท่านคิดว่าข้าจะมีท่าทางมึนงงอย่างที่เป็นก่อนหน้านี้หรืออย่างไรหากข้าสามารถแก้ปัญหาของท่านด้วยการใช้ เคลื่อนย้ายจักรวาลได้?!”
โอเค
นี่สิถึงจะเหมือนอาร์ทิส…
“แต่…” และก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยคำต่อว่าที่ตนได้เตรียมเอาไว้ออกไป อาร์ทิสก็อธิบายว่า “ศาสตร์นี้สามารถใช้ได้โดยขั้นฝู่จวินขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าข้าไม่สามารถใช้มันได้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ใดในยมโลกสามารถทำมันได้”
“เจ้ากำลังพูดถึงผู้ใดกัน?” ฉินเย่ถามออกไปทันที ก่อนจะตระหนักได้ว่าอาร์ทิสกำลังพูดถึงผู้ใด “ตี้ทิงอย่างนั้นหรือ?!”
อาร์ทิสหยิบกระดิ่งอสูรวิญญาณที่ฉินเย่เคยมอบให้ตนก่อนหน้านี้ออกมา “ว่าอย่างไร? ท่านอยากจะไปเจอกับสหายเก่าของเราอีกครั้งหรือไม่? หากท่านปลุกตี้ทิงขึ้นมาได้อีกครั้ง ต่อให้ท่านจะฉีกสนธิสัญญาการค้าตรงหน้าของหลิวอวี้ เขาก็คงไม่กล้าทำอะไรยมโลกอยู่ดี”
ทำอย่างไรดีเล่า?
ไปสิ!
จากนั้น หนึ่งคน หนึ่งผีก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งตรงลงไปที่ส่วนลึกของยมโลกทันที
หากพูดกันตามตรงก็คือ พวกเขาก้าวข้ามกำแพงของโลกใต้พิภพและเข้าสู่ลิมโบ แต่ฉินเย่เพียงยังไม่สามารถแยกแยะระหว่างโลกทั้งสองได้ก็เท่านั้น
และราวกับสังเกตเห็นความมึนงงในแววตาของฉินเย่ อาร์ทิสจึงอธิบาย “ในความเป็นจริง ท่านสามารถทำความเข้าใจมันผ่านการบ่มเพาะได้ ลิมโบและยมโลกต่างถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้พลังหยิน แต่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือยมโลกคือรูปแบบของลิมโบที่บริสุทธิ์มากขึ้น เหมือนกับว่ามันคือโลกที่อยู่เหนือจากลิมโบอีกที ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ลิมโบเปรียบเสมือนกัน ‘หมู่บ้านเริ่มต้น’ ของเหล่าตัวเอกในนิยายกำลังภายใน สิ่งเดียวที่คอยแบ่งแยกโลกทั้งสองก็คือคุณภาพและความหนาแน่นของพลังหยิน”
เข้าใจแล้ว ฉินเย่จ้องมองตี้ทิงด้วยดวงตาที่ลุกโชนและวาวโรจน์ หมอกพลังหยินหนาแน่นลอยออกมาจากร่างของมันและลอยขึ้นไปยังรากฐานของยมโลกที่ซึ่งมันถูกใช้ประโยชน์อย่างถึงที่สุด หากเขารู้ว่าตัวเองจะได้รับกระดิ่งอสูรวิญญาณมา เขาจะไม่มีทางสร้างความไม่พอใจให้กับตี้ทิงเป็นอันขาด…
น่าเสียดาย แต่มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะเสียใจ เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ ยาว ๆ จากนั้นก็เริ่มสั่นกระดิ่ง
กริ๊ง…มันไม่ส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อยขณะที่ฉินเย่สั่นมันในตอนที่เขาอยู่บนแดนมนุษย์ แต่ตอนนี้ การสั่นเบา ๆ กลับสร้างวงคลื่นสีทองแพร่กระจายออกไปโดยรอบ
ในขณะเดียวกัน หูของตี้ทิงก็ขยับเล็กน้อย
มันได้ผล!
ฉินเย่เลียริมฝีปากของตน ตี้ทิง… พวกเรากำลังพูดถึงแหล่งพลังงานที่มีดัชนีค่าพลังหยินสูงถึง 30 ล้าน! หากมีมันอยู่ มันจะมีอสูรวิญญาณตนใดที่สามารถเป็นภัยต่อยมโลก? เขาจำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับราชาผีทั้งสามอยู่อีกอย่างนั้นหรือ? เด็กหนุ่มมองเห็นความหวังอยู่อีกไม่ไกลแล้ว!
เขาสั่นมันเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงของกระดิ่งก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ร่างขนาดใหญ่ของตี้ทิงขยับเป็นครั้งแรก แทบจะเหมือนกับว่ามันพยายามจะลืมตาขึ้น แต่น่าเสียดาย มันกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แม้ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่แทบจะสั่นกระดิ่งเป็นทำนองของเพลงเดินขบวนทหารกล้าและทรงธรรมแล้ว [3] แต่ตี้ทิงกลับเพียงกระตุกเล็กน้อย และไม่แสดงท่าทีว่าจะลืมตาขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“พอได้แล้ว” อาร์ทิสถอนหายใจออกมา เสียงดังกังวานหยุดลงในทันที และนางก็เงยหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “ตี้ทิงบาดเจ็บสาหัสเกิดไป หากมันสามารถขยับตัวได้ มันก็คงบดขยี้เราจนเละเป็นข้าวต้มไปแล้ว… มันตอบรับเสียงเรียกของกระดิ่ง แต่มันยังไม่สามารถขยับตัวได้ในตอนนี้”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง เพราะว่าไม่มีทางเลือก พวกเขาถึงสร้างยมโลกขึ้นเหนือร่างของตี้ทิง ผู้ใดจะคิดว่าไม่นานต่อมาเขาจะได้พบกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และได้รับสมบัติอย่างกระดิ่งอสูรวิญญาณมา?
ทุกอย่างบรรจบเข้าด้วยกัน ตี้ทิงคือสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากที่สุดในยมโลก แต่…การสูญเสียพลังของมันหมายความว่ามันจะไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
เฮ้อ… ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผลที่ตามมา
“แทนที่จะมาเป็นกังวลเกี่ยวกับตี้ทิงในเวลานี้…” เสียงของอาร์ทิสที่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน ดึงฉินเย่ให้หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น และเขาก็พบว่าเส้นผมของอาร์ทิสกำลังสยายอย่างน่ากลัว ในขณะที่พลังหยินของขั้นตุลาการนรกหลั่งไหลออกมาจากร่างของนางราวกับน้ำพุ “เหตุใดเราถึงไม่…สร้างความบันเทิงให้กับเหล่าผู้ที่ตอบรับต่อเสียงเรียกของกระดิ่งของตี้ทิงกันก่อนเล่า?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไป แววตาของเขาสั่นระริก และเด็กหนุ่มก็หันไปมองยังส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปของลิมโบทันที
ตึ้ง…พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ร่างขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากกลุ่มหมอกสีดำขาว วิ่งเหยาะ ๆ มาทางพวกเขาด้วยจังหวะฝีเท้าที่หนักหน่วง
ร่างของมันสูงอย่างไม่น่าเชื่อ จากการคาดคะเนของฉินเย่ มันน่าจะสูงประมาณ 500-600 เมตร! หากพูดกันตามความจริง มันสูงกว่าร่างของตี้ทิงเสียอีก! ฉินเย่และอาร์ทิสสามารถมองเห็นมันได้ราง ๆ เท่านั้น แต่พวกเขาก็สามารถบอกได้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญตัวนี้ดูไม่ต่างอะไรจากแมมมอธโบราณขนาดใหญ่ที่ค่อย ๆ เดินทางมาเพื่อตอบรับเสียงเรียกของกระดิ่งเลยแม้แต่น้อย
[1] อ้างอิงจากวิชากำลังภายในที่ชื่อว่า 乾坤大挪移 ซึ่งปรากฏขึ้นครั้งแรกในเรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้ง
[2] Xianni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน นิยายกำลังภายใน เขียนโดยเอ่อร์เกิน
[3] อี้หย่งจฺวินจิ้นสิงฉฺวี่ (义勇军进行) เพลงชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน