ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 396 การตอบรับของตี้ทิง
บทที่ 396: การตอบรับของตี้ทิง
“เมี๊ยว~~” ตี้ทิงยังคงกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข หมุนและกระโจนไปในอากาศด้วยแววตาที่เป็นประกาย แต่ขณะที่มันยังคงกระโจนไปมาด้วยความดีใจ เทือกเขาและเนินเขาโดยรอบก็เริ่มลดระดับลงตรงหน้าของฉินเย่และอาร์ทิส…
ยมทูตทั้งสองลอยตัวอยู่กลางอากาศ เงียบและเอ่ยอะไรไม่ออก ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกแห่งเก่า ไม่…พวกเขาไม่รู้จักกัน…ไม่รู้จักเลยแม้แต่นิดเดียว…
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ความเพลิดเพลินของตี้ทิงดำเนินไปเป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงเต็ม ก่อนที่มันจะนอนลงบนพื้นอีกครั้ง มันหายใจหอบอย่างหนักหน่วง ราวกับหมดเรี่ยวแรงไปกับการเล่นสนุกนั้น จากนั้นมันก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจและมองขึ้นฟ้า “ข้าแปลกใจจริง ๆ ที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่ตบเจ้าให้ตายในทันทีที่เห็น…”
เงียบ
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบอยากจะตอบออกไปว่า – หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว… พวกเราได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้ทำมาตลอดสี่ชั่วโมง ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของเจ้ามันถูกทำลายไปจนหมดแล้ว…
“ไม่เอาน่า บอกข้ามา เจ้าไปเจอกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้อย่างไร แถมยังได้กระดิ่งอสูรวิญญาณมาด้วย?” ตี้ทิงนอนลงบนพื้นอย่างขี้เกียจ มันไม่แม้แต่จะมองไปที่ฉินเย่ด้วยซ้ำ มันเอาแต่ถูหน้าของตัวเองไปกับพื้นที่มันทำให้เรียบลงก่อนหน้านี้ “และอย่าแม้แต่จะโกหกข้า นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะข้าจะมอบให้เจ้า”
อ่า…ตี้ทิงเอ่ยคำพูดนั้นออกมาได้ทันเวลาพอดี เพราะฉินเย่กำลังคิดที่จะแต่งเติมข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างเช่นการที่เขาจะต้องกลายเป็นผู้พิทักษ์ของยมโลกและอื่น ๆ เด็กหนุ่มเปิดปากของตน เตรียมที่จะพูด แต่ก็ต้องหุบลงในทันที
เขาแทบจะลืมไปเลยว่าผู้ที่เขากำลังพูดอยู่ด้วยคือตี้ทิง…
ความสามารถในการได้ยินของมันสามารถได้ยินแม้กระทั่งความคิดของคนคนนั้น ในการเดินทางไปยังชมพูทวีป แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเองก็ไม่สามารถแยกระหว่างวานรหกหูและซุนหงอคงตัวจริงออก ผู้ที่สามารถทำได้มีเพียงตี้ทิงเท่านั้น ดังนั้นการโกหกตี้ทิงจะไม่เทียบเท่ากับการรนหาที่ตายเลยอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้น ในอีกสิบนาทีต่อมา ฉินเย่ก็เอ่ยเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขาได้พบเจอกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ให้กับอีกฝ่าย ได้ฟังโดยละเอียด จากนั้น ทันทีที่เล่าจบ ตี้ทิงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ข้าต้องขอยอมรับเลยว่าเจ้าฉลาดมาก”
มันจ้องไปที่กระดิ่งอสูรวิญญาณด้วยแววตาซับซ้อน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ มันก็ถอนหายใจออกมา “ช่างเถิด…มันยังมีความจริงอยู่บ้างในคำพูดของเจ้า หากปราศจากยมโลก ข้าจะไปที่ใดได้? เจ้าหนู ในเมื่อเจ้าได้รับการยอมรับจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เช่นนั้นก็ปล่อยให้ความบาดหมางในอดีตผ่านไป”
อาร์ทิสและฉินเย่ต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่ไม่นานตี้ทิงก็เอ่ยต่อ “แต่ ตำแหน่งของยมโลกได้ถูกกำหนดแล้ว เจ้าได้สร้างมันและปล่อยให้มันดึงเอาพลังหยินที่ข้าใช้เพื่อฟื้นฟูบาดแผลของตัวเอง นั่นจะทำให้การฟื้นฟูของข้าช้าไปอีกร้อยปีหรือมากกว่านั้น จนกว่าจะถึงตอนนั้น จงอย่าคิดให้ข้าปกป้องยมโลกเป็นอันขาด หากพูดกันตามตรง...เจ้าควรจะสวดอธิษฐานขออย่าให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับยมโลกในเวลานี้เลยด้วยซ้ำ”
“พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและแย้มยิ้มกระอักกระอ่วน ไม่ว่าก่อนหน้านี้ตี้ทิงจะมีท่าทีอย่างไร แต่ตัวตนที่มีค่าพลังหยินสูงถึง 30 ล้านก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะเลยแม้แต่น้อย
“มันมีวิธีใด…ที่พอจะเร่งการฟื้นฟูของท่านได้บ้างหรือไม่?” ฉินเย่ถามต่อ
ทันทีที่ตี้ทิงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ พวกเขาก็จะเดินหน้าไปที่อามาโนะอิวาโตะทันที!
ทำไมต้องญี่ปุ่น?
เพียงเพราะว่าเขาไม่พอใจฝ่ายนั้นอย่างนั้นหรือ?
ไร้สาระ จ้าวนรกคือผู้ปกครองชาติ มันจะไม่เป็นการโหดร้ายเกินไปอย่างนั้นหรือหากเขาจะส่งกองกำลังไปบุกรุกประเทศอื่นเพียงเพราะความรู้สึกส่วนตัว?
สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ…ภาพรวมที่เขากำลังมุ่งหวัง!
ญี่ปุ่นคือโลกใต้พิภพที่มีประวัติศาสตร์มานานกว่าพันปี ในขณะที่อิซานามิเพิ่งอยู่แค่ขั้นฝู่จวิน นางยังมีอิทธิพลเหนือการเมืองโลกอยู่บ้าง โลกใต้พิภพทุกแห่งที่ยังคงอยู่มาจนถึงวันนี้ไม่สามารถถูกมองข้ามได้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ได้อ่อนแอ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว จะมีโลกใต้พิภพและเทพมากเท่าไหร่ที่คงอยู่มานาน ก่อนจะหายไปพร้อมกับกาลเวลา? และโลกใต้พิภพในยุคสมัยอดีตเหล่านี้หายไปไหน?
เมื่ออาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าที่ถูกสร้างขึ้นโดยจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกหมดฤทธิ์ ความจริงเกี่ยวกับยมโลกก็จะถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ น่าเสียดาย เพราะไม่ว่าฉินเย่จะมั่นใจในความสามารถในการสร้างยมโลกของตัวเองมากเท่าไหร่ แต่ความมั่นใจที่จะสามารถทำให้ยมโลกกลับสู่ความรุ่งโรจน์ภายในเวลา 150 ปีนั้นเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นตราบใดที่พวกเขายังคงดำเนินทุกอย่างแบบนี้ต่อไป สงครามก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่…หากพวกเขาสามารถทำลายโลกใต้พิภพที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานได้ไปในระหว่างนั้น?
มันคือการแสดงอำนาจ เพื่อจะประกาศให้โลกรู้ว่าต่อให้ยมโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ควรจะคิดให้ดีเสียก่อนที่จะมองยมโลกในด้านที่เลวร้าย
สงครามคือทางที่ดีที่สุดในการแสดงอำนาจให้ทั้งโลกได้รับรู้ โดยตัวเลือกทั้งหมดก็คือประเทศเล็ก ๆ และโลกใต้พิภพของพวกเขา รวมถึงเทพแห่งความตายผู้ไร้นามของรุสด้วย ดังนั้นโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยมโลก
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตื่นขึ้นของตี้ทิง ไม่เช่นนั้น ฉินเย่ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะดิ้นรนต่อไปอีกหลายร้อยปี
เห็นได้ชัดว่าตี้ทิงไม่ตระหนักถึงความคิดทั้งหมดภายในใจของฉินเย่ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังตอบออกไป “มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทาง… แต่… มันยากเกินไป”
โดยไม่เว้นจังหวะ เขาเอ่ยต่อ “วิญญาณ ยิ่งมีวิญญาณอยู่ในยมโลกมากเท่าไหร่ พลังหยินที่สะสมในยมโลกก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ความหนาแน่นของพลังหยินจะกระตุ้นการปรากฏขึ้นของผลผลิตอันล้ำค่าของยมโลก บางส่วนของมันอาจมีประโยชน์ในการเร่งการฟื้นฟูของข้า ยกตัวอย่างเช่น เก้าน้ำพลังหยินแห่งมังกรฟ้าของเมืองเยียนจิง หรือดอกปี่อั้นจันทราของสามมณฑลทางตะวันออก แต่ด้วยขนาดของยมโลกในตอนนี้…”
มันมองไปยังยมโลกขนาดเล็กที่ลอยอยู่เหนือศีรษะและเอ่ยต่อ “แม้ว่าข้าจะกินยมโลกไปทั้งหมด มันก็แทบจะไม่สามารถเร่งการฟื้นฟูร่างกายของข้าได้เลยด้วยซ้ำ”
นี่เจ้าช่วยพูดจาให้มันถนอมน้ำใจกันมากกว่านี้ไม่ได้หรือ?!
ฉินเย่ข่มความรู้สึกที่พุ่งพล่านภายในใจและฟังสิ่งที่ตี้ทิงพูดต่อ “แต่…ความหวังนั้นสามารถหาได้ในลิมโบ”
“ถึงแม้ว่าพลังหยินในลิมโบจะไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่าพลังหยินในยมโลก แต่มันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งมีอยู่มานานหลายพันปี ข้าจะไม่พูดว่าเจ้าสามารถหาสมบัติได้ทั่วไป แต่มันก็ยังสามารถหาพบได้ แต่…ลิมโบนั้นใหญ่มาก และมันยังมีแม้กระทั่งอสูรวิญญาณขั้นพระยมอยู่แถวนี้ด้วย ด้วยความแข็งแกร่งของยมโลกในตอนนี้… หึหึหึ…”
ฉินเย่ไม่สนใจคำเย้ยหยันของตี้ทิงและเอ่ยตรงประเด็น “แต่…หากเรามีหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมเล่า?”
“หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมของเทพแห่งเปลวเพลิงโจวกงจินอย่างนั้นหรือ?” ตี้ทิงชะงัก และตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเยาะ “เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายินดีที่จะช่วยเหลือยมโลกแห่งใหม่? ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่กว้างขึ้น “โชคดี ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจัดการประชุมราชสำนักขึ้น และท่านโจวก็ยินดีที่จะมอบหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรม 20,000 ชุดและลูกดอกหน้าไม้ล้านดอก”
ดวงตาของตี้ทิงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย และจ้องมองไปที่ฉินเย่อีกครั้ง
ไม่เลว…
เป็นครั้งแรก มันมองไปที่ฉินเย่ด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป
กระดิ่งอสูรวิญญาณได้ทำให้มันได้พูดคุยกับเด็กหนุ่ม และฉินเย่ก็คว้าทุกโอกาสที่มีเพื่อโน้มน้าวอีกฝ่าย มันอาจจะฟังดูเหมือนว่าฉินเย่กำลังเอ่ยข้อเท็จจริง แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือเขากำลังทำให้ตี้ทิงมองเขาในแง่ที่ดียิ่งขึ้น
ยมโลกในเวลานี้อ่อนแอขนาดไหน? ภายนอกมันอาจจะดูแข็งแกร่ง–… ไม่ มันไม่สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้ด้วยซ้ำ และเขาก็กล้าที่จะจัดการประชุมราชสำนักขึ้น? ราชทูตทั้ง 12 มีลักษณะนิสัยแบบใด? หากไม่ใช่เพราะระบบยศที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยของยมโลกแห่งเก่า มันก็เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ฟังขั้นฝู่จวินที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ! ทว่าฉินเย่นั้นกลับไม่เพียงแต่เรียกประชุมราชสำนักเท่านั้น แต่เขากลับยังมายืนอยู่ตรงนี้โดยที่ร่างกายยังอยู่ครบทั้ง 32 อีกด้วย?
นี่หลิวอวี้และคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปเป็นมังสวิรัติแล้วอย่างนั้นหรือ?
น่าสนใจ… ไม่แปลกเลยที่อีกฝ่ายถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดของจ้าวนรกองค์ที่สอง…หากไม่นับความสำเร็จอื่น ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถรอดชีวิตมาจากการประชุมราชสำนักกับราชทูตทั้ง 12 ได้แสดงถึงความสามารถของเขาแล้ว
ทว่าก่อนที่ตี้ทิงจะได้พิจารณาทุกอย่างจนละเอียด ฉินเย่ก็โน้มตัวไปด้านหน้าและเอ่ยเสริมว่า “และทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะข้ากำลังวางแผนที่จะใช้ลูกดอกหน้าไม้ล้านดอกพวกนี้ในการปูทางจากเมืองเป่าอันไปยังเมืองหวู่หยาง”
พรึ่บ!
ครั้งนี้ ดวงตาของตี้ทิงเบิกกว้างขึ้น มันจ้องไปที่ฉินเย่เขม็ง
โดยไม่สนปฏิกิริยาของตี้ทิง ฉินเย่ยืดตัวขึ้นและเอ่ยเสียงนิ่ง “แต่มันก็ยังมีอุปสรรคบางอย่างที่คอยขวางทางเราอยู่ คนบาปแห่งขงจื๊อที่เคยถูกเนรเทศออกจากยมโลกมายังลิมโบได้หลบหนีไปยังแดนมนุษย์ ดังนั้น ข้าจึงอยากให้ท่านช่วยเราในการใช้ศาสตร์เคลื่อนย้ายจักรวาล”
อาร์ทิสได้ถอยหนีออกไปก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยจบ ตี้ทิงสูดหายใจเข้าช้า ๆ ร่างของมันลอยขึ้นเล็กน้อยและตกลงอย่างหนักหน่วง จากนั้น…มันก็ค่อย ๆ ยืนขึ้น
ครืนนน...การเคลื่อนไหวเบา ๆ ของตัวตนที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านก็ทำให้พื้นดินและเทือกเขาโดยรอบสั่นไหว ศีรษะขนาดมหึมาของมันชูขึ้นราวกับเสาสูงที่บดบังทัศนวิสัยของฉินเย่โดยสมบูรณ์ รูปม่านตาสีทองของมันเต็มไปด้วยเปลวไฟนรกขณะที่สบตากับฉินเย่ สุดท้าย หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งนาทีเต็ม มันก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารู้ทุกอย่าง”
มันเอ่ยอย่างหนักแน่น
“เจ้า…ได้ยินคำเตือนจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์แล้ว” รอยยิ้มแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตี้ทิง “เจ้ากำลังพยายามทำให้ข้ามองเจ้าดีขึ้น? มันไม่ง่าย…สิ่งเช่นนั้นมันไม่ง่ายเลย…ถึงแม้ว่าข้าจะสัมผัสได้ว่าเจ้านั้นอ่อนแอกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันถึงห้าเท่า แต่ความฉลาดและสติปัญญาของเจ้านั้นอยู่เหนือคนทั้งหมด กระทั่งจัดให้เจ้าอยู่ในระดับเดียวกันกับท่านจ้าวนรกผู้เป็นบรรพบุรุษของเจ้าอีกด้วย”
“ข้าขอคิดสักครู่” มันยกอุ้งเท้าขึ้นบีบนิ้วเข้าหากัน “สามวัน มันเพิ่งผ่านมาสามวัน แต่เจ้ากลับเข้าใจถึงความซับซ้อนทั้งหมดของปัญหานี้ คำเตือนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นั้นหมายถึงสถานการณ์ทั้งหมดในโลก ข้านึกว่าจะมีเพียงยมทูตระดับสูงของยมโลกเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความซับซ้อนที่แฝงอยู่ภายใต้คำเตือนพวกนี้ ไม่คิดเลย…”
มันยื่นลิ้นสีแดงเข้มของตัวเองออกมาและเลียเกล็ดบริเวณริมฝีปากของตัวเอง “ว่าขั้นตุลาการนรกเช่นเจ้าที่รับหน้าที่มาเพียงปีกว่าจะสามารถวิเคราะห์ความหมายที่แท้จริงของคำเตือนนี้ได้… ไม่เลวเลย เจ้าหนู เจ้าค่อย ๆ ดูเหมาะสมมากขึ้นในสายตาของข้า ทีนี้เจ้าช่วยบอกข้าทีได้หรือไม่ว่าเจ้าสามารถคาดเดาเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”
“มันง่ายมาก” ฉินเย่ตอบกลับด้วยความมั่นใจ เขารู้ดีว่าแม้แต่น้ำเสียงที่เขาเอ่ยสนทนากับอีกฝ่ายก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เขาจะเผยความอ่อนแอของตนเองออกมาไม่ได้เด็ดขาด ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ตี้ทิงรู้ดีว่าสัญชาตญาณของมันถูกต้อง – ใช่แล้ว เขากำลังมีความคิดหลาย ๆ อย่าง
แต่ตี้ทิงก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะปล่อยให้เขาคว้าโอกาสเหล่านี้ไปโดยง่าย เส้นทางสู่การได้รับการยอมรับจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกนั้นยังอีกยาวไกลและยากลำบาก
“ผู้ใดก็สามารถคาดเดาอะไรได้หลายอย่างโดยอนุมานจากคำเตือนนั้น แต่สิ่งที่ข้าเข้าใจนั้นเป็นเพียงการคาดเดาเอาเองเท่านั้น หากท่านตี้ทิงยินดี ท่านก็สามารถแจกแจงเรื่องทั้งหมดเพื่อที่ข้าจะได้ขจัดความสงสัยที่หลงเหลืออยู่ภายในใจของข้าได้เช่นกัน”
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เขายอมมาพบกับตี้ทิงในครั้งนี้!
ศาสตร์เคลื่อนย้ายจักรวาลนั้นสำคัญ แต่การรับรู้ความจริงจากปากของตี้ทิงนั้นสำคัญยิ่งกว่า!
ตี้ทิงสบตากับอีกฝ่าย มันแปลกมาก ทั้งสองไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจุดเริ่มต้นเดียวกันเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับดูปรองดองกันอย่างไม่น่าเชื่อ ตี้ทิงพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการหลีกเลี่ยง แต่มันก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ด้วยความเหนื่อยหน่าย มันล้มตัวนอนลงและถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ภายใต้ระบบการศึกษาของยมโลกแห่งเก่า ผู้ที่อยู่ขั้นฝู่จวินขึ้นไปจะต้องเข้าร่วมหลักสูตรภาคบังคับบางอย่าง และผู้สอนของหลักสูตรนี้ก็มิใช่ผู้ใดอื่นนอกจากท่านจ้าวนรกเอง และเนื้อหาตลอดหลักสูตรก็มีเพียงหัวข้อเดียว และนั่นก็คือ ‘การล่มสลายของยมโลก’ ”
ตี้ทิงเริ่มหอบหายใจมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่าร่างกายของมันไม่สามารถพูดเป็นระยะเวลานานได้ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเอ่ยต่อ “ผู้ที่อยู่ขั้นฝู่จวินขึ้นไปถือได้ว่าเป็นระดับสูงของยมโลกอย่างแท้จริง พวกเรากำลังพูดถึงตัวตนที่มีอยู่เพียงไม่กี่ร้อยท่ามกลางวิญญาณหลายพันล้าน หัวข้อดังกล่าวเป็นเพียงเหตุการณ์สมมุติเท่านั้น แต่มันก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับมัน เพราะอย่างไรแล้ว ยมโลกก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมาก และมันก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่วันหนึ่ง เราจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของผู้ที่อยู่ภายใน ดังนั้น พวกระดับสูงและผู้นำที่แท้จริงของยมโลกจึงต้องร่วมกันพิจารณาถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เมื่อเรื่องที่ห่างไกลเหล่านั้นกลายเป็นจริงในท้ายที่สุด”
ฉินเย่พยักหน้า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพิจารณาและคิดหามาตรการฉุกเฉิน ชาติใหญ่ ๆ ในโลกล้วนมีแผนการเช่นนี้ทั้งสิ้น เหตุผลเดียวที่ประชาชนไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็เพราะว่ามันถูกกำหนดให้เป็นความลับสุดยอด
ดังนั้น ฉินเย่จึงตั้งใจฟังอีกฝ่าย นี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินการวิเคราะห์จากผู้ที่เป็นหนึ่งในแกนหลักของเหล่าผู้นำของยมโลก และเขาก็รู้ดีว่าโอกาสเช่นนั้นอาจจะไม่ได้มีมาอีกในอนาคตอันใกล้
กัญชาแมวมีความสำคัญมากจริง ๆ …
“ในตอนนั้น ทุกคนต่างเห็นด้วยว่า…ทันทีที่ยมโลกล่มสลาย สิ่งที่จะตามมาก็คือ…การหวนคืนสู่ยุครณรัฐของยมโลก!”
“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าตัวเองโชคดีหรือ? เจ้า…เพิ่งอยู่แค่การเปิดฉากของยุคสมัยแห่งสงครามเท่านั้น เจ้าไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเหล่าผู้แข่งขันที่ใส่ชื่อของตนลงไปในกล่องลงคะแนน มันยังมีการต่อสู้แบบประจัญบานอีก และผู้ที่ชนะก็จะเป็นผู้ที่ได้ทุกอย่างไปครอบครอง เจ้าคิดว่าตัวเองคือจ้าวนรกของยมโลกแล้วอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆๆๆ… ตอนนี้มันเป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยความยากลำบากและความไม่แน่นอน โดมิโนของการล่มสลายของยมโลกยังคงล้มอย่างต่อเนื่อง และพวกเราก็เพิ่งเริ่มเห็นผลกระทบของมันเท่านั้น…”