ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 397 การต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุด
บทที่ 397: การต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุด
ฉินเย่ฟังอย่างตั้งใจในขณะที่ตี้ทิงยังคงอธิบายต่อไป
“อรากษสตนนั้นคงบอกเจ้าถึงอันตรายจากการเดินทางออกนอกอาณาเขตและปูทางไปสู่พื้นที่อื่นแล้ว น่าเสียดายที่ยมโลกขนาดเล็กแห่งนี้ไม่มีเงินมากพอในการสนับสนุนสิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้น…มันจึงสมเหตุสมผลที่ยมโลกจะไม่สามารถควบคุมเหล่าภูตผีคลุ้มคลั่งในทั่วทั้งแผ่นดินจีนได้ นับประสาอะไรกับการป้องกันการเกิดของพวกมัน จากการคาดคะเนของเราในตอนนั้น ข้าเกรงว่าเรากำลังพูดถึงภูตผีคลุ้มคลั่งจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยตน!”
“มันเป็นเพียงเรื่องของระยะเวลาเท่านั้นก่อนที่ภูตผีคลุ้มคลั่งเหล่านี้จะตระหนักได้ว่ามันไม่มีเหล่านักล่าที่คอยควบคุมพวกมันอีกแล้ว! เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถพึ่งพาองค์กรในแดนมนุษย์ให้ควบคุมและลดจำนวนของพวกมันได้อย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ ตราบใดที่ภูตผีคลุ้มคลั่งตั้งใจที่จะซ่อนตัวและละเว้นจากการหาอาหารได้ ด้วยวิธีการตรวจจับของแดนมนุษย์ในตอนนี้ มันไม่มีโอกาสเลยที่พวกเขาจะสามารถค้นพบวิญญาณร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเขาได้! ตอนนี้โลกอยู่ในกำมือของพวกมันแล้ว! เจ้าคิดว่าภูตผีคลุ้มคลั่งสามารถวางไข่ได้เร็วแค่ไหน? แล้วความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มขึ้นเร็วแค่ไหน? ความสนใจของพวกเจ้าทั้งหมดกำลังจับจ้องไปยังราชาผีทั้งสามที่ยังดำรงอยู่ในโลกนี้ แต่…พวกเขากำลังลืมว่านี่เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น สิ่งที่อยู่ภายใต้นั้น…คือกองกำลังที่แท้จริงของโลกใต้พิภพซึ่งพร้อมที่จะกำจัดกองกำลังของมนุษย์ทั้งหมด!”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดมากนัก และการได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากของตี้ทิงก็ทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น
อสูรศักดิ์สิทธิ์หยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อพักหายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “พวกเขากำลังพูดถึงวิญญาณระดับสูงที่สติสัมปชัญญะถูกปลดล็อกโดยสมบูรณ์ เมื่อพวกมันพบว่ายมโลกยังคงนิ่งเงียบ สิ่งต่อไปที่พวกมันจะทำก็คือทดสอบแดนมนุษย์ และทันทีที่พวกมันรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถขวางทางพวกมันได้ พวกมันก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่อราวกับอินทรีที่ดุร้าย และยึดอาณาเขตทั้งหมดที่สามารถยึดได้มาเป็นของตนเอง!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “ท่านคงจะไม่บอกเรื่องเหล่านี้กับข้าใช่หรือไม่หากข้าไม่สามารถตระหนักมันได้ด้วยตัวเอง?”
“แน่นอน” ตี้ทิงหัวเราะเบา ๆ “นี่คือเส้นทางที่จ้าวนรกองค์ที่หนึ่งได้ก้าวเดิน เมืองเฟิงตูถูกสร้างขึ้นจากยุคสมัยของการนองเลือด มันเป็นขั้นตอนที่รุ่งโรจน์และงดงาม หากเจ้าไม่สามารถตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นมันก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ฉลาดมากพอ ดังนั้นแทนที่จะต่อสู้กับกลุ่มเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ข้าอยากให้เจ้ามองตัวเองและพัฒนาต่อไปมากกว่า”
“เจ้าคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ก้าวข้ามขีดจำกัดระหว่างความเป็นและความตาย นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า มันอาจจะต้องใช้เวลา แต่ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวของตนเอง เมื่อถึงตอนนั้น โลกก็คงจะเต็มไปด้วยสงครามและการต่อสู้ และมณฑลและเมืองต่าง ๆ ก็คงจะกลายเป็นของแต่ละฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยวิธีนี้ อันตรายที่จะเกิดขึ้นก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน ข้าก็คงจะฟื้นฟูเต็มที่แล้ว และสามารถให้ความช่วยเหลือเจ้าได้ ด้วยการโจมตีในภายหลัง เจ้าอาจจะเป็นฝ่ายได้เปรียบแทน”
ตี้ทิงปรายตามองฉินเย่อย่างเจ้าเล่ห์ “น่าเสียดาย เพราะมันดูเหมือนว่าข้าคงไม่สามารถหวนคืนสู่เส้นทางอันรุ่งโรจน์ของจ้าวนรกองค์แรกได้…”
เงียบ
ฉินเย่หลุบตาต่ำและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านกำลังจะบอกว่าตอนนี้มีเมืองของวิญญาณอยู่ในแดนมนุษย์อย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” ตี้ทิงหัวเราะออกมาเบา ๆ “หากพูดกันตามตรง...ข้าสามารถบอกเจ้าได้ด้วยว่ามันมีดินแดนของวิญญาณอยู่มากกว่าหนึ่งแห่ง และอย่างน้อยสองแห่งในนั้นก็มีขนาดพอ ๆ กับนครหนึ่งนคร”
ระดับนครอย่างนั้นหรือ?!
ฉินเย่อ้าปากค้าง และรูม่านตาของเขาก็หดตัวเล็กลง
เร็วมาก... ทำไมมันถึงเร็วขนาดนี้?! พวกมันสามารถกลายเป็นเมืองเต็มตัวได้ในเวลาสั้น ๆ แบบนี้ได้อย่างไร? ยมโลกเพิ่งมีขนาดเท่ากับเมืองหนึ่งเมืองเท่านั้น!
“เจ้ากำลังสงสัยอยู่อย่างนั้นหรือว่าเหตุใดพวกมันจึงเร็วขนาดนั้น?” ตี้ทิงหัวเราะ “มันก็เพราะว่า…พวกมันชิงลงมือก่อน”
“พวกมันคงเริ่มดำเนินการเรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่จีนกำลังตกอยู่ในสงคราม และจำนวนวิญญาณที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็ย่อมสูงเป็นธรรมดา น่าเสียดาย ข้าสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกมันได้เพียงราง ๆ เท่านั้น ข้าจึงไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด พวกมันอยู่ในโลกที่แตกต่างออกไป และข้าก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ไกลเกินกว่าระยะ 10 ไมล์จากจุดที่ตัวเองอยู่ แต่ข้าคงต้องเตือนเจ้าเลยว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าในครั้งนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ มันไม่มีปัญหาอะไรหากจะให้ข้าช่วยเจ้าในเรื่องของศาสตร์เคลื่อนย้ายจักรวาล แต่เจ้าไม่กลัวว่ามันจะเกินตัวไปหรอกหรือ?”
มันหัวเราะออกมาเบา ๆ “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเกณฑ์กองกำลังกลุ่มใหม่ขึ้นมาในขณะที่มีคนคอยทำลายกองกำลังหลักของยมโลกอยู่”
โดยไม่สนใจท่าทีที่ค่อนข้างเย้ยหยันของตี้ทิง ฉินเย่ถามกลับไปด้วยความตกตะลึง “ท่านรู้หรือว่ามันคือผู้ใด?!”
“ฮ่า ๆๆ… ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับยมโลกที่ข้าไม่รู้” ตี้ทิงหอบเบา ๆ ขณะที่หุบยิ้มลง “ตั้งแต่อดีตกาล มีคนตระกูลขงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกเนรเทศจากยมโลกให้มาสู่ลิมโบ! และเขาก็เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับฉายาของคนบาปแห่งขงจื๊อมากที่สุดด้วย ดังนั้น ทันทีที่เจ้าพูดถึงคนบาปแห่งขงจื๊อ ข้าก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร การลงโทษเดิมของเขามีจุดประสงค์เพื่อปิดกั้นโอกาสทั้งหมดในการกลับชาติไปเกิดของเขาเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถหลบหนีไปยังแดนมนุษย์ได้…”
มันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ และพึมพำเบา ๆ “ขงโม่”
ขงโม่?
ฉินเย่ขมวดคิ้ว เขาพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะนึกว่าขงโม่คือใคร แต่ก็ยังนึกไม่ออก
ตี้ทิงเอ่ยต่อ “พอมาลองคิดดู ขงโม่และหลิวอวี้นั้นมีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน หลิวอวี้คืออดีตองค์จักรพรรดิของราชวงศ์หลิวสง ในปีที่ 19 ของราชวงศ์หลิวสงแห่งราชวงศ์ใต้ พระราชโอการได้ถูกป่าวประกาศออกมา รับสั่งให้ห้าครัวเรือนที่อยู่ใกล้กับสุสานขงจื๊อมากที่สุดตัดเหล่าข้ารับใช้ของพวกเขาออกจากพันธะเชิงนายและบ่าวออก และกำหนดให้ข้ารับใช้เหล่านั้นและลูกหลานของพวกเขาทำหน้าที่ในฐานะของคนเฝ้าสุสานขงจื๊อตลอดไป เดิมทีแล้วคนใช้ของทั้งห้าครัวเรือนนั้นไม่ได้ใช้สกุลขง แต่ด้วยขนบธรรมเนียมในสมัยนั้น พวกเขาจึงเปลี่ยนนามสกุลเพื่อให้ตรงตามผู้เป็นนาย และใช้สกุลขงในท้ายที่สุด ซึ่งหนึ่งในคนใช้เหล่านั้นก็มีนามว่าขงจิง” [1]
“ต่อมา ในยุคห้าวงศ์สิบรัฐ [2] ทั้งชาติได้ตกอยู่ในความโกลาหล พวกตระกูลขง รวมถึงตระกูลใหญ่ ๆ และลูกหลานของขงจื๊อ และแม้แต่พวกผู้ดูแลสุสาน ต่างก็กระจัดกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศ มีเพียงพวกเชื้อสายแท้เท่านั้นที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นครชฺวีฟู่ต่อไป ขงโม่คือสายเลือดของขงจิง อาศัยผลประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ตระกูลขงกระจัดกระจายไปทั่วทั้งดินแดน เขามุ่งหน้าตรงไปที่นครชฺวีฟู่พร้อมกับคนจำนวนมาก สังหารทุกคน รวมถึงขงกวงซื่อ ทายาทสายหลักรุ่นที่ 41 ของขงจื๊อ เขาแย่งชิงดินแดน และแย่งชิงตำแหน่ง ประกาศตนว่าเป็นทายาทสายตรงของขงจื๊อ เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกลงในพงศาวดารในฐานะของความโกลาหลของสายเลือดขงจื๊อ”
“นี่คือการสังหารหมู่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของลัทธิขงจื๊อ เมื่อขงโม่เข้ามาที่โลกใต้พิภพ เขาก็กลับเข้าร่วมตระกูลขงอีกครั้ง และพยายามอย่างหนักจนขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรก ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป จำนวนสาวกของลัทธิขงจื๊อในราชสำนักของยมโลกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ด้วยความพยายามของคนทั้งหมด คนบาปแห่งขงจื๊อก็ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งและเนรเทศไปยังลิมโบ ข้าไม่แน่ใจว่ามันยังมีคนอื่น ๆ ที่ตระกูลขงได้เนรเทศไปยังลิมโบเป็นการส่วนตัวอีกหรือไม่ แต่ขงโม่คือคนเดียวที่ถูกบันทึกไว้ในบันทึกอย่างเป็นทางการของยมโลก!”
ฉินเย่รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมากเมื่อตี้ทิงเอ่ยจบ
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?!
ขงโม่นี่มันปีศาจดี ๆ นี่เอง! เขาทำได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เป็นข้ารับใช้ แต่กลับสังหารทายาทสายตรงของขงจื๊อและประกาศตนว่าเป็นทายาทสายตรงแทน?! แค่การเนรเทศเขาไปสู่ลิมโบก็ถือว่าเมตตามากพอแล้ว!
ในขณะเดียวกัน ระบบตอบสนองความกลัวของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง – คู่ต่อสู้ครั้งนี้…ดุร้ายและไม่ได้ไร้สมองเลยแม้แต่น้อย!
นี่เขาต้องกล้ามากเพียงใด? การวางแผนของเขาจะต้องแยบยลมากเพียงใดกัน? นี่คือตระกูลขงนะ ที่อยู่อาศัยของพวกเขาย่อมมีข้ารับใช้จำนวนมากอยู่แล้ว ในยุคสมัยนั้น ข้ารับใช้ของตระกูลใหญ่ล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้ปกป้องเจ้านายของพวกเขา ด้วยความที่ตระกูลขงที่อยู่ที่นครชฺวีฟู่เองก็ถูกจัดเป็นหนึ่งในเหล่าขุนนางระดับต้น ๆ คนใช้ของพวกเขาก็ยิ่งทำหน้าที่อย่างจริงจังมากขึ้นไปอีก แต่แม้ว่าจะมีอุปสรรค คนใช้เพียงคนเดียวกลับสามารถรวบรวมกลุ่มคนและสังหารทุกคนที่ขวางทางได้!
และค่อนข้างแตกต่างจากสิ่งที่ถูกบันทึกมาในประวัติศาสตร์ ฉินเย่ยังจำเป็นจะต้องมองถึงแผนการอันแยบยลในการลอบสังหารเขาที่อีกฝ่ายก่อขึ้นอีกด้วย!
มันมีแผนการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกับดัก ควัน และกระจกที่ทำให้เขาแทบจะไม่มีช่องว่างในการหายใจ หากไม่ใช่เพราะว่าเขามีเศษตราจ้าวนรกอยู่ในครอบครอง เขาก็คงอาจจะถูกบดขยี้ด้วยความเจ้าเล่ห์ของขงโม่ไปเสียแล้ว
“จงอย่าประมาทเหล่าผู้ที่มาจากยุคราชวงศ์ในอดีตกาลเป็นอันขาด ตระกูลขงเคยเป็นหนึ่งในขุนนางระดับสูงของยมโลก ตุลาการนรกในตระกูลของพวกเขา…จะต้องมีสิทธิ์ในการเข้าถึงวิธีการลับและข้อมูลลับสุดยอดจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นแน่ แม้แต่ขั้นฝู่จวินตนอื่น ๆ ต่างก็ต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะก้าวเข้าไปมีเรื่องกับพวกเขา” ตี้ทิงเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะที่มันยังคงจ้องมองไปยังฉินเย่อย่างไม่ละสายตา “เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบบของยมโลกแห่งเก่า เป็นธรรมดาที่ทันทีที่เขาเห็นเจ้า เขาจะรู้ทันทีว่าเจ้ามาจากที่ใด หากจุดประสงค์ของพวกนั้นคือการประกาศอิสรภาพและก่อตั้งอาณาจักรของตนเอง เช่นนั้นการดำรงอยู่ของยมโลกก็ย่อมเป็นอุปสรรคชิ้นโตของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย! ข้ายังสามารถพูดได้อีกด้วยว่าวินาทีที่อีกฝ่ายสามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเจ้าได้จะกลายเป็นวินาทีที่เจ้าพบว่าตนเองตกอยู่ภายใต้แผนการลอบสังหารอย่างแท้จริง มันจะดำเนินไปเช่นนั้นเรื่อย ๆ….จนกระทั่ง เจ้าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด…”
“นี่คือชะตากรรม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีจากอำนาจแห่งโชคชะตา อ้อ พอลองมาคิดอีกที หากขงโม่คือผู้ที่สามารถหลบหนีไปยังแดนมนุษย์จริง ๆ มันก็มีความเป็นไปได้ที่หนึ่งในสองของเมืองวิญญาณอาจจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เจ้าหนู เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ายังอยากจะใช้เคลื่อนย้ายจักรวาลตามแผนการดั้งเดิมที่วางไว้?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่า – ขออภัย ไม่ล่ะ… ลาก่อน
แต่สุดท้ายแล้ว…นี่คือการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับตี้ทิง เขาจำเป็นจะต้องสร้างความประทับใจอันดีเอาไว้ นอกจากนี้…
เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนั้น แต่…”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและหันไปมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป “ยมโลกได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจที่จะก่อตั้งเส้นทางการค้ากับหลิวอวี้และคนอื่น ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และการค้าทั้งหมดก็จะเริ่มขึ้นภายในอีกสองปี พวกเขาเป็นหุ้นส่วนทางการค้าเพียงกลุ่มเดียวของยมโลกในอนาคตอันใกล้นี้ หากเราไม่สามารถรักษาสิ่งนี้เอาไว้ได้ ยมโลกจะไม่เพียงเสียหน้าและสูญเสียความเคารพจากราชทูตทั้ง 12 เท่านั้น แต่มันยังทำลายโอกาสในการจัดตั้งเส้นทางการค้าอื่น ๆ กับพวกเขาในอนาคตอีกด้วย”
“แล้วนั่นหมายความว่าอย่างไร?” ตี้ทิงฟังเด็กหนุ่มพูดอย่างตั้งใจ
ฉินเย่ส่ายหน้าและฝืนยิ้ม “ที่ทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมก็คือ สถานที่ที่เราเลือกในการก่อตั้งเมืองท่าสำหรับการค้าของเราตั้งอยู่ห่างจากนครชฺวีฟู่ไปเพียงสามเมืองเท่านั้น”
ความเงียบที่ชวนอึดอัดเข้าปกคลุมทั่วทั้งสถานที่อย่างกะทันหัน
ตี้ทิงจ้องมองฉินเย่ด้วยความเหลือเชื่อ ไม่กี่วินาทีต่อมา มันก็หัวเราะเบา ๆ เอียงหัวเล็กน้อย และปล่อยให้เกล็ดสีทองบนร่างของมันลอยไปอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่
“เจ้าสามารถใช้งานมันโดยเศษตราจ้าวนรกที่มีอยู่ มันสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เคลื่อนย้ายจักรวาลได้ถูกร่ายใส่ไว้แล้ว” เมื่อเอ่ยจบ หัวขนาดใหญ่ของมันฟุบลงกับพื้น “หากไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็ไปได้แล้ว ข้าจะไปพบเจ้าทันทีที่ข้าตื่นขึ้นอีกครั้ง แน่นอน ว่านั่นหมายถึงในกรณีที่เจ้าสามารถรอดชีวิตจากการปะทะกับขงโม่ได้…ฮ่า ๆๆๆๆ….”
ฉินเย่ยักไหล่ จากนั้นจึงหยิบเกล็ดสีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้าของตนเอาไว้
ทันทีที่เขากำมือรอบมัน พลังหยินอันมหาศาลก็หลั่งไหลเข้าสู่ปลายนิ้วและตรงไปที่หัวใจ เขาอ้าปากเล็กน้อยก่อนจะคลายมืออย่างรวดเร็ว จากนั้น หลังจากจมอยู่ในภวังค์ของความตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
“บททดสอบอย่างนั้นหรือ?” เขาจับเกล็ดตรงหน้าอีกครั้งและเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่หายไปจากบริเวณนั้นทันที และเมื่อเขาเข้าใกล้ยมโลกอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็หันกลับไปมองยังตี้ทิงที่หลับใหลด้วยแววตาล้ำลึก “หากท่านบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับข้าเมื่อหกเดือนที่แล้ว ข้าก็อาจจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่สำหรับตอนนี้…”
เขาเงยหน้าไปมองยังยมโลกที่มืดมิดซึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสีหน้ามีความสุขของเหล่าประชากรวิญญาณในครั้งแรกที่ได้รับคอนเทนเนอร์สินค้า รวมถึงพื้นที่ก่อสร้างที่เจริญขึ้นเรื่อย ๆ
“ในฐานะมนุษย์ ข้าเองก็เช่นกัน มีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยอมปล่อยมือไป…”
หลังจากที่เด็กหนุ่มหายออกไปจากลิมโบแล้วนี่เองที่ตี้ทิงยกศีรษะของมันขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ในแววตาของมันกลับไม่ได้มีแววเย้ยหยันหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“การได้เรียนรู้กลยุทธ์ของผู้คนของยมโลกแห่งเก่าเองก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว…เขาอาจจะไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ถูกเนรเทศมายังลิมโบ หากเจ้าต้องการที่จะฟื้นฟูยมโลกให้กลับไปสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์อีกครั้ง เจ้าก็ต้องต่อสู้กับเหล่าระดับสูงบางกลุ่มของยมโลกแห่งเก่า รวมถึงเหล่าราชาของวิญญาณสมัยใหม่ สำหรับตอนนี้ เจ้ายังเด็กและไร้ประสบการณ์เกินไป หากเจ้าไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคอย่างขงโม่และพวกพ้องของเขาได้ เราจะพูดถึงเรื่องอนาคตไปทำไมกัน?”
“ยุครณรัฐของโลกใต้พิภพ เจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงคำกล่าวอ้างอย่างนั้นหรือ? ยุครณรัฐของโลกใต้พิภพนั้นโหดร้ายและป่าเถื่อนมากกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาโดยที่ยังมีชีวิตและครบ 32 แบบนั้น ข้าก็อาจจะยกระดับการประเมินของเจ้าให้สูงขึ้นได้ ไม่เช่นนั้น…เจ้าจะมีคุณสมบัติอะไรในการจะมาออกคำสั่งข้า?”
ฉินเย่กลับมาที่ยมโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ได้เอ่ยคำสั่งอะไรออกไป กลับกัน เขาตรงไปที่โถงประชุมหลักของยมโลกและเริ่มวิเคราะห์สิ่งที่ตนได้รู้มาอย่างละเอียด
การดำรงอยู่ของขงโม่นั้นเป็นอันตรายต่อเขาในตอนนี้เป็นอย่างมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่มันอาจไม่ได้อีกฝ่ายเพียงคนเดียว!
เขาสามารถบอกได้เลยว่าวิญญาณในมณฑลเจียงซูและมณฑลซานตงดูเหมือนว่าจะกลายเป็นพันธมิตรกัน นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่าอีกไม่นานการก่อตั้งอาณาจักรจะตามมา หากเขาไม่จัดการขั้นเด็ดขาดเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาก็อาจจะถูกปิดล้อมโดยกองกำลังจำนวนมากในอนาคต – กองกำลังที่เขาไม่สามารถเอาใจหรืออ้อนวอนได้
โชคชะตาไม่ได้ต้องการให้พวกเขาร่วมมือกัน
นอกจากนี้ นครชฺวีฟู่และเมืองหวู่หยางก็อยู่ใกล้กันอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งของเมืองท่า แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะเหมือนกันอยู่ดี เพราะมณฑลเจียงซูก็ยังเป็นอาณาเขตของกองกำลังพันธมิตรอยู่ดี ราชาผีแห่งพิภพเปรตอยู่ใต้พวกเขา ราชาผีแห่งพิภพอสูรอยู่เหนือพวกเขา ในขณะที่ราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉานก็แทบจะอยู่ติดกัน และมันก็ยังมีพวกภูตผีคลุ้มคลั่งที่ยังซ่อนตัวอยู่ที่ตระหนักถึงการเงียบเฉยของยมโลกและเริ่มรวบรวมกองกำลังของตัวเองแล้วด้วย
พวกเขากำลังจะทำให้เกิดยุครณรัฐขึ้นอีกครั้ง และช่วงเวลาแห่งความสงบสุขก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว!
“เราจะต้องส่งกองกำลังของเราไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด” ฉินเย่กำมือรอบเกล็ดสีทองแน่น ในวินาทีนั้น การตระหนักถึงเรื่องเวลาทำให้เกิดความเร่งด่วนขึ้นภายในใจของเขา
เขาจะสามารถรวบรวมกองกำลังของยมโลกภายใน 150 ปี ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ? เขาจะสามารถเปิดประตูยมโลกสู่โลกใต้พิภพทั้งหมดและเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ทรงอำนาจของโลกใต้พิภพอย่างเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?
วิกฤตในตอนนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับตัวตนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่บนเวทีโลก! เฮดีส พญายมราช แทนาทอสและเทพแห่งความตายไร้นามต่างก็เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่กำลังยืนรออยู่บนเวทีเพื่อรอการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของเขา
“หลี่จีสี่… เร็วเข้า… ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาเหลือเฟืออีกแล้ว…”
[1] น่าจะประมาณ ค.ศ. 382
[3] ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 907-979