ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 400 ประกาศสงคราม (2)
บทที่ 400: ประกาศสงคราม (2)
“นี่ใช่…เพลงประกอบเรื่อง Kill Bill จริง ๆ น่ะเหรอ?” พนักงานผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดเอี๊ยมหันไปถามกับเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนะ…” เพื่อนร่วมงานของเธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึงไม่แพ้กัน และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะต่างมึนงงกับการปรากฏตัวที่แปลกประหลาดของวิญญาณตนนี้
เขาหมายถึง…มันมีบางอย่างที่ดูไม่ถูกต้อง! พวกเขา…ไม่ได้เตรียมใจสำหรับการพบเจออะไรแบบนี้! ไม่ใช่วิญญาณสมควรจะน่ากลัวและกรีดร้องใส่พวกเขาทันทีที่ปรากฏตัวหรอกหรือ? แต่ทำไม…วิญญาณขั้นตุลาการนรกตนนี้ถึงปรากฏตัวพร้อมกับเพลงที่น่าเร้าใจแบบนี้กัน?
แน่นอนว่าฉินเย่ไม่รับรู้ถึงความคิดภายในใจของเหล่าพนักงานของสถานีโทรทัศน์เลยแม้แต่น้อย ด้วยใบหน้าที่เชิดสูง และฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ภายในแขนเสื้อ เขาลอยขึ้นไปบนอากาศ โบยบินไปพร้อมกับความยิ่งใหญ่ของท่วงทำนองที่คุ้นเคย
อ่า ใช่แล้ว และมันยังมีวิญญาณที่ดูอาย ๆ ยืนอยู่ด้านหน้าของเขาอีกด้วย พยายามซ่อนร่างของตัวเองขณะที่โปรยเงินกระดาษไปรอบ ๆ
สถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นอาคารสองชั้น ทันทีที่ฉินเย่ขึ้นมาถึงชั้นที่สอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในห้องต่างกรีดร้องออกมาพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ เอกสารทั้งหมดปลิวว่อนไปตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้อง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะและตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
นี่เขาบ้าหรือเปล่า?
ใช่ เขาจะต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
แต่น่าเสียดาย…เพราะมันไม่มีใครสามารถหัวเราะฉินเย่ได้เลยแม้แต่น้อย!
พลังหยินขั้นตุลาการนรกที่แผ่ออกมาของเขานั้นสร้างความกดดันเป็นอย่างมาก มันกวาดไปทั่วทั้งห้องและปะทะเข้ากับกำแพงราวกับคลื่นสึนามิที่ทรงพลัง พวกเขาไม่สามารถทำอะไรสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่มาจากต่างโลกนี้ได้ ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ
ท้องฟ้าในเวลานี้เต็มไปด้วยเงินกระดาษ วิญญาณสวมเสื้อคลุมดำสองตนลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตัดกับภาพพื้นหลังของกลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่น เดินออกมาอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับเพลงที่คุ้นเคยเหมือนกับคนงี่เง่าคนหนึ่ง ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณพวกนี้ถึงมาปรากฏตัวที่สถานีโทรทัศน์ในวันนี้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังตามหาใครหรือต้องการอะไร ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขารู้ว่าตัวเองต้องทำก็คือประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันและสวดอธิษฐานขอให้ตนไม่ใช่เป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามในวันนี้!
ปัง…ประตูห้องกระจายเสียงเปิดออก และร่างสองร่างก็ยืนอยู่ด้านนอก สายลมรุนแรงส่งเสียงโหยหวนไปหมด ในขณะที่เหล่าชายหญิงซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะตัวสั่นเทา สวดอธิษฐานด้วยลมหายใจที่ติดขัดว่าขอให้ร่างทั้งสองเดินผ่านร่างของพวกตนไป ทันใดนั้น…พวกเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
มันเป็นเสียงของสายลมที่พัดเข้ามาภายในห้อง
กึก กึก กึก… ฟันของผู้ประกาศสาวกระทบกันอย่างรุนแรง และใบหน้าของเธอก็ซีดเผือดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองและฉินเย่ลอยเข้ามากลางห้อง
“ได้โปรด…อย่า!!” เธอกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรงจนมีเลือดซิบออกมา หยดน้ำตาสีใสไหลออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง ขณะที่ยกมือขย้ำศีรษะของตัวเองและกรีดร้องสุดเสียง “อย่าฆ่าฉันเลย…ฉันยังไม่อยากตาย!!!”
มุมปากของหวังเฉิงห่าวเริ่มกระตุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว – เดี๋ยวก่อน คุณผู้หญิง…ข้าขอถามสักนิดได้หรือไม่ว่าเจ้าสัมผัสถึงการคุกคามของความตายได้อย่างไรจากภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้?
แค่เพลงที่เปิดอยู่ก็ทำลายบรรยากาศมากพอแล้ว…
ฟึ่บ... ฉินเย่ยื่นมือออกมาอย่างช้า ๆ หลังจากผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที ทั้งนักประกาศหนุ่มและสาวต่างกรีดร้องออกมาสุดเสียง จากนั้น ก่อนที่ความกลัวของพวกเขาจะสงบลง ร่างของทั้งคู่ก็ลอยขึ้นในอากาศ ก่อนจะถูกวางลงบนเก้าอี้อย่างแผ่วเบาอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดาย ดวงตาของพวกเขากลับเหลือกขึ้นข้างบน และหมดสติไปเสียแล้ว
“ท่าทีแบบนี้…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากัน…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมา พวกเขากลับเข้าสู่บรรยากาศของเพลง Battle Without Honor or Humanity อีกครั้ง
เขาหันไปพยักหน้าให้กับหวังเฉิงห่าวอย่างหนักแน่น
หวังเฉิงห่าวได้แต่กลอกตา ก่อนจะปิดเพลง
เอาเลย…ตามที่ท่านต้องการ หัวหน้า… จิตใจของข้าได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว… นี่คงจะเป็นสิ่งที่น่าอับอายที่สุดตั้งแต่ที่ข้าเคยทำมาทั้งชีวิต...
ทุกอย่างโดยรอบพลันถูกปกคลุมด้วยความเงียบ สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่คือพลังหยินที่หมุนเวียนอยู่รอบ ๆ แม้แต่แสงไฟที่กะพริบอยู่ก่อนหน้านี้ก็ดับไปและถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากเปลวไฟนรกที่น่าขนลุกแทน ฉินเย่ลอยอยู่ด้านหลังของเครื่องกระจายเสียง และสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
ให้ตายเถอะเพลงนี้…
เต้ง… ทันใดนั้น เสียงนาฬิกาภายในห้องก็ตีบอกเวลาหกโมงตรง ชั่วโมงแม่มดได้มาถึงแล้ว
“ท่านพี่ฉิน… เรามาเริ่มกันเลยดีหรือไม่…” หวังเฉิงห่าวหุบยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้าและถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ต้องรีบ” ฉินเย่มองออกมานอกหน้าต่าง “จ้าวนรกได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเริ่มโดยไม่มีผู้ชมได้อย่างไร?”
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยมโลกยังไม่สามารถผลิตได้ในตอนนี้ รวมถึงเสื้อผ้า สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน และแม้แต่อุปกรณ์ก่อสร้างและวัสดุต่าง ๆ แทนที่จะแอบซื้อมันจากแดนมนุษย์ เหตุใดจึงไม่ลองสำรวจความเป็นไปได้…ของการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าดูเล่า?
แน่นอน ถ้าหากมันสามารถเป็นไปได้น่ะนะ
และวันนี้ก็คือโอกาสสำคัญในการสำรวจความเป็นไปได้นั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ตั้งแต่ที่เขาได้รับรู้ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดที่แท้จริงระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพ ภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกถึงวิกฤตมาโดยตลอด มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่มีทางยอมปล่อยให้โอกาสนี้พลาดไปโดยเด็ดขาด
มันไม่มีสิ่งใดแน่นอนจนกว่าจะได้รับการทดสอบ
หากเขาทำไม่สำเร็จ อย่างน้อยเขาก็สามารถเดินจากไปได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกเสียใจ
ในขณะที่หากเขาทำสำเร็จ… ดวงตาของฉินเย่สั่นระริก แต่ไม่นานความคิดของเขาก็ต้องสลายหายไป เพราะเด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นขบวนรถทหารกว่าหลายสิบคันปรากฏขึ้นมาให้เห็นไกล ๆ แล้ว และทั้งหมดก็กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เสียด้าย
วี๊ หว่อ~~ สามวินาทีต่อมา เสียงไซเรนก็ดังขึ้นตัดผ่านความเงียบสงัดยามค่ำคืน และร่างของกองกำลังติดอาวุธจำนวนมากก็รีบตรงมาที่สถานีโทรทัศน์โดยเร็ว ตึก ตึก ตึก…พวกเขาวิ่งขึ้นบันไดและประจำที่ของตัวเอง ภายใน 30 วินาทีที่มาถึง ทางเข้าของห้องกระจายเสียงก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจำนวนมาก โดยที่พวกเขาต่างเล็งเป้าไปที่หน้าผากของฉินเย่
ด้านหลังของพวกเขา เฉินเหนียน เจิงไสว่ และผู้ฝึกตนอื่น ๆ ที่ฉินเย่ไม่เคยเห็นมาก่อนต่างพากันจ้องเข้ามายังใจกลางห้อง แหล่งที่มาของพลังหยินขั้นตุลาการนรกทำให้สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ร่างของฉินเย่อย่างไม่ลดละ
ภูตผีคลุ้มคลั่ง… ขั้นตุลาการนรก!
นี่คือภูตผีคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน... แต่… ทำไมอีกฝ่ายถึงยังไม่เริ่มสังหารผู้คนที่อยู่รอบ ๆ อีก?
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา พวกเขาเพียงมองเข้าไปในห้อง จ้องมองเปลวไฟนรกที่ลอยไปมาในอากาศ ริมฝีปากของฉินเย่กระตุกเล็กน้อยขณะที่จ้องไปยังอาวุธที่เล็งมาที่หน้าผากของตน ถึงแม้ว่าปืนพวกนี้จะไม่มีผลอะไรกับเขา แต่จ้าวนรกก็ยังสามารถกลัวสิ่งเหล่านี้ได้อยู่ดี!
เขาก้มหน้าและหันไปพึมพำกับหวังเฉิงห่าว “มายืนอยู่ตรงหน้าข้า”
หวังเฉิงห่าวหันไปมองฉินเย่ราวกับเห็นผี นี่ท่าน…พูดบ้าอะไร?! ท่านคิดว่าข้าจะไม่หลงเหลือความหวาดกลัวจากแดนมนุษย์อยู่เลยหรืออย่างไร?!
“มันเป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่จะได้ตายแทนจ้าวนรก ดังนั้นเจ้ารออะไรอยู่?”
ไม่มีใครตอบ ไม่กี่วินาทีต่อมา หางตาของฉินเย่ก็กระตุกด้วยความโกรธขณะที่เขามองหวังเฉิงห่าวที่ค่อย ๆ แอบอยู่ด้านหลังของตน และในขณะที่เขากำลังจะตีหวังหนึ่งหางจนตายด้วยการตบที่แก้มแรง ๆ สักสองครั้ง เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด “อาวุธที่เห็นอยู่นี้มีชื่อว่า BH21 ปืนพิเศษที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยทางรัฐบาลเพื่อใช้ต่อสู้กับวิญญาณ”
ซูเตอฝางและชายวัยกลางคนที่สวมแว่นอีกคนหนึ่งยืนอยู่กลางกองกำลังทั้งหมด พวกเขาจ้องมองไปที่ฉินเย่ด้วยความหวาดระแวง “นอกจากนี้ กระสุนที่ถูกบรรจุอยู่ภายในปืนเหล่านี้ยังถูกหลอมขึ้นมาจากเครื่องรางที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายดวงวิญญาณโดยเฉพาะ พวกเรายังได้แจ้งไปถึงผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกทั้งสองที่อยู่เมืองหยิงเทียนตั้งแต่เมื่อ 20 นาทีที่แล้ว และมันก็ยังมีผู้ฝึกตนระดับสูงอีกหลายคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
ไม่เลว
ฉินเย่เลิกสนใจหวังเฉิงห่าวและค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ซูเตอฝาง ด้วยความกล้าหาญของคนผู้นี้ เมืองกู่เฉิงได้ตกอยู่ในมือของผู้นำที่ดีแล้ว ส่วนชายที่อยู่ข้าง ๆ …ก็คงจะเป็นเลขานุการของเขากระมัง…
“อาวุธปืนธรรมดา ๆ ไม่สามารถใช้กับวิญญาณที่ทรงพลังได้” ฉินเย่กดปุ่มเปิดบนแถบกระจายเสียงและตอบกลับเสียงเรียบ “การเดินทางจากเมืองหยิงเทียนมายังที่นี่ต้องใช้เวลา 30 นาที นั่นเป็นเวลาที่เพียงพอที่ข้าจะสังหารเหล่าผู้นำคนปัจจุบันของเมืองกู่เฉิงทั้งหมดได้”
“ประชากรของจีนมีจำนวนมากกว่าพันล้านคน พวกเราสามารถหาคนมาแทนเลขานุการอย่างผมได้เสมอ” ชายสวมแว่นเอ่ยตอบด้วยความกล้าหาญ “ออกไปจากเมืองกู่เฉิงเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นเราจะบันทึกลักษณะพลังหยินของแกและส่งมันไปให้ทั่วทั้งประเทศ! และเมื่อถึงเวลานั้น แกก็จะไม่มีที่ให้หลบซ่อนและหนีหายไปอีกต่อไป”
ฉินเย่หัวเราะ
ขณะที่ทำเช่นนั้น พลังหยินภายในร่างของเขาก็ปะทุออกมาราวกับคลื่นน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงหลายองศา แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก! เสียงกลไกที่ดังขึ้นหมายความว่าพวกมันถูกเปิดและเริ่มทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบก็พยายามรวบรวมพลังปราณของพวกเขาให้ได้มากที่สุดและเตรียมจะปล่อยการโจมตีที่รุนแรงใส่ฉินเย่
จากนั้น ขณะที่ทุกคนคิดว่าฉินเย่กำลังจะเคลื่อนไหว เขากลับหันไปเปิดเสียงประกาศตามสายวิทยุแทน
“ประชาชนผู้อยู่อาศัยในเมืองกู่เฉิงทุกท่าน ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นอีกแล้ว” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งเมือง ในขณะเดียวกัน เหล่าประชากรในเมืองก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ สงสัยว่าเหตุใดเนื้อหาของการประกาศในวันนี้จึงแตกต่างออกไปเดิม
เสียงประกาศปกติจะเป็นการเล่นซ้ำของเสียงบันทึกที่พวกเขาคุ้นเคย แต่เสียงประกาศครั้งนี้กลับเป็นการประกาศทั่วไป
“การประกาศในวันนี้จะแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย…” เสียงพูดของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่วเมืองและท้องถนน และผู้คนอีกหลายแสนคนต่างก็ฟังข้อความใหม่ที่พวกเขากำลังได้ยินอย่างตั้งใจ “เพราะว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมืองกู่เฉิงจะไม่ได้ยินประกาศนี้ไปอีกยาวนาน”
มันเป็นเพียงประโยคง่าย ๆ แต่ซูเตอฝาง เฉินเหนียน ชายสวมแว่น และคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ฉินเย่อย่างพร้อมเพรียง
ทำไม?
วิญญาณตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร?
ความคิดของพวกเขากระจัดกระจายไปหมด และทุกคนต่างก็คาดเดากันเอาเอง แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่กลับเมินเฉยต่อความสับสนในแววตาของคนทั้งหมดและยังคงเอ่ยต่อ “คืนนี้ ทางรัฐบาลจะทำการทดลองใช้อาวุธที่มีพลังในการทำลายล้างสูง หลังจากประกาศนี้จบลง พวกเรารบกวนให้ทุกท่านอพยพออกจากเมืองกู่เฉิงโดยเร็วที่สุด ผู้ใดก็ตามที่เลือกที่จะเมินเฉยต่อประกาศนี้และยังคงอยู่บนท้องถนนหลังจากเวลา 20.00 น.เป็นต้นไปจะต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำและการตัดสินใจของพวกเขาเอง”
คลิ๊ก...จากนั้น ฉินเย่ก็ปิดการกระจายเสียงทั้งหมด สายตานับสิบคู่ต่างจับจ้องมาที่เขา เหล่าผู้ฝึกตนสูงวัยพากันสูดหายใจเข้าช้า ๆ และข่มความหวาดกลัวที่มีต่อวิญญาณตรงหน้า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
ฉินเย่ยิ้มและยกมือขวาของตนขึ้น “ไม่มีอะไรซับซ้อน”
เป๊าะ! ใครบางคนดีดนิ้ว และทันใดนั้นหัวหน้ากองกำลังปฏิบัติการก็ตะโกนเสียงดัง “ยิง!!!”
ปัง ปัง ปัง!!! เสียงปืนดังก้องไปทั่ว อย่างไรก็ตาม ดวงตาของคนทั้งหมดก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความหวาดกลัวเมื่อพวกเขาพบว่า…กระสุนทั้งหมดถูกหยุดลงกลางอากาศโดยกลุ่มพลังหยินที่หนาแน่น!
มันแทบจะเหมือนกับกระสุนในเรื่องเดอะเมทริกซ์ไม่มีผิด! ไม่สิ…มันน่ากลัวกว่านั้นอีก!
เพราะตอนนี้ กระสุนทั้งหมดดูเหมือนว่าจะนิ่งสนิท!
“นี่คือความแข็งแกร่งของภูตผีคลุ้มคลั่งสินะ…” แผ่นหลังของเฉินเหนียนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เขานึกถึงภรรยาและลูกสาวของตัวเองขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้… ที่รัก ขอโทษด้วย แต่ผมเกรงว่า…เราอาจจะไม่ได้กลับไปเจอกันอีก...
“ตาย!!” ร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยสัญชาตญาณ รวบรวมพลังปราณทั้งหมดภายในร่างและกระโจนออกไปด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ เองก็ทำสิ่งเดียวกัน!
อย่างไรก็ตาม ความเร็วนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในสายตาของฉินเย่ การเคลื่อนไหวของคนทั้งหมดนั้นเชื่องช้าราวกับเต่า ภายในชั่วพริบตา เสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้นให้ได้ยินอีกครั้ง
เป๊าะ! ฟึ่บ!!
มันแทบจะเหมือนกับว่าพลังหยินทั้งหมดมีชีวิตเป็นของมันเองขณะที่พวกมันพัดวนไปทั่วห้อง ไม่นาน ซูเตอฝาง ชายสวมแว่น และ ร้อยตำรวจเอกก็พบว่า…
ขอบเขตการมองเห็นของพวกเขาถูกพลังหยินที่หนาแน่นบดบังไปจนหมด มันมากจนพวกเขามองเห็นแค่เพียงกันและกันเท่านั้น!
คนอื่น ๆ รวมถึงพวกผู้ฝึกตน ทหาร และตำรวจต่างหายไป! มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาถูกแยกและตัดขาดออกจากโลก!
เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่แท้จริงมันเป็นเช่นนี้นี่เอง… คลื่นความหวาดกลัวมหาศาลแผ่ซ่านไปตามกระดูกสันหลัง และก่อนที่พวกเขาจะสามารถรวบรวมสติของตัวเองได้ พลังหยินทั้งหมดก็สลายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับตอนที่มันก่อตัวขึ้น และในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่าตัวเองถูกลากเข้ามาในห้องกระจายเสียงและยืนอยู่ตรงหน้าของฉินเย่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ตึกตัก… ตึกตัก…
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา หัวใจของพวกเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก มันเป็นตอนที่พวกเขาได้มาเผชิญหน้ากับวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวตรงหน้านี่เองที่ทำให้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินั้นน่ากลัวเพียงใด ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับไม่มีใครก้าวถอยหลังเลยแม้แต่คนเดียว
ร้อยตำรวจเอกกัดฟันกรอด “หากแกกล้าแตะต้องท่านผู้ว่าและเลขานุการของเขาแม้แต่ปลายเส้นผม ฉันรับรองเลยว่าใบประกาศจับของแกจะถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งประเทศในทันที”
เราคงทำได้เพียงเท่านี้… หลังจากเอ่ยจบ นายตำรวจชั้นสูงก็หลับตาลงและรอให้ม่านการแสดงถูกปิดลง
หากการต่อต้านนั้นไร้ผล อย่างน้อยก็ได้ตายอย่างมีเกียรติ!
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น” ฉินเย่โค้งคำนับคนทั้งหมดอย่างสง่างาม ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกของตัวเองด้วยความเคารพ “ขอให้ข้าได้ทำการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนเถิด ข้าขุยมู่หลาง ตุลาการนรกแห่งเมืองเฟิงตู ข้าได้รับหน้าที่มาให้จัดการปัญหาเกี่ยวกับเหล่าวิญญาณที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองกู่เฉิง”
เปรี้ยง!
ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่บอกกล่าว – คนทั้งหมดผงะไป มึนงงเป็นอย่างมาก พวกเขาลืมตาขึ้นและจ้องมองฉินเย่ด้วยความตกตะลึง
เมื่อครู่นี้… อีกฝ่ายพูดว่าอะไรนะ?