ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 401 ประกาศสงคราม (3)
บทที่ 401: ประกาศสงคราม (3)
ยมทูต?
เฟิงตู?
แก้ปัญญาเกี่ยวกับเหล่าวิญญาณในเมืองกู่เฉิง?
นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?! ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างเตรียมพร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองในทันทีที่ก้าวเข้ามาในอาคารแห่งนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไร กำลังเสริมก็จะมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง และพวกเขาก็รู้ดีว่าวิญญาณนั้นดุร้ายและโหดเหี้ยมมากเพียงใด ทุกคนได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์นองเลือดและการสังหารหมู่ นอกจากนี้ยังคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องมอบเงื่อนไขที่ไร้เหตุผลอย่างการสังเวยเลือดและเนื้อของมนุษย์อีกด้วย แต่แล้ว สิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น…
พวกเขาไม่คิดเลยว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญพวกนี้จะกลับกลายเป็นยมทูต!
“ยมทูตแห่งนครเฟิงตูอย่างนั้นเหรอ?!” เลขานุการของเมืองเป็นคนแรกที่กลับมาได้สติ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังมึนงงเป็นอย่างมาก “เป็นไปไม่ได้! พวกเราไม่เคยได้ยินเรื่องที่ยมทูตยอมปรากฏตัวในแดนมนุษย์ด้วยความตั้งใจของพวกเขาเองมาก่อน!”
ฉินเย่ตั้งท่าจะตอบกลับไป แต่แล้วเขาก็ชะงักไป ราวกับนึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นก็พึมพำออกมาเสียงเบา “หนี่ถู่ฟู่” [1] กลุ่มดาวหนี่ว์ ศรวณะ
หวังเฉิงห่าวหันไปมองฉินเย่ด้วยแววตาเย็นเฉียบ – นี่ท่านพูดบ้าอะไรของท่าน? ทำไมมันถึงฟังดูแย่กว่าขุยมู่หลางเสียอีก? ท่านกล้าดีอย่างไรถึงมาบอกว่าข้าทำตัวเชื่องช้าและเหมือนผู้หญิงไปในชื่อเดียวกัน? นี่ท่านมีปัญหาอะไรกับข้าหรือเปล่า? [2]
“เอ่อ…” ฉินเย่กระแอมเบาๆ “ชูคาคุ”
ท่านไม่รู้หรือว่าตัวละคนเสริมนั้นมีอยู่เพื่อทำให้ตัวละครหลักดูดีขึ้น? ท่านช่วยสำนึกสักนิดจะได้หรือไม่?!
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่หวังเฉิงห่าวก็ตอบรับออกไปอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ข้าอยู่นี่แล้ว”
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น คนทั้งหมดที่อยู่โดยรอบก็เผลอก้าวถอยหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัว
เหล่าผู้นำส่วนใหญ่ล้วนมีอุปกรณ์ตรวจจับค่าพลังหยินเป็นของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้น… ที่ผ่านมามันกลับไม่ตอบสนองใดๆเลยสักนิด
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงการมีตัวตนอยู่ของหวังเฉิงห่าวจนกระทั่งเขาปรากฏตัวให้เห็น!
นี่คนตรงหน้ามาจากยมโลกจริงๆน่ะหรือ?
“แนะนำตัวของเจ้าเสีย”
“รับทราบ” หวังเฉิงห่าวลุกยืนขึ้นและเปิดปาก แต่เขาก็ต้องพบว่าตัวเองไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกไปได้!
“ไม่เป็นไร ถอยไป” ฉินเย่โบกมืออย่างไม่สนใจนัก เป็นอย่างที่คิด…มันไม่ใช่ว่ายมโลกไม่เคยพยายามที่จะเข้าถึงแดนมนุษย์มาก่อน แต่มันแค่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติก็เท่านั้น! เพราะสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้คนเป็นและคนตายนั้นยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน!
อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงเอ่ยประโยคสั้นๆหรือประกาศอะไรออกไปก็เท่านั้น เหมือนอย่างที่อาร์ทิสเคยทำเมื่อก่อนหน้านี้ แต่รายละเอียดเฉพาะทั้งหมดถูกห้ามโดยเด็ดขาดภายใต้กฎของสวรรค์
ดูเหมือนว่า…เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพได้
“น่าเสียดาย แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนของเราให้เจ้าได้”
“เช่นนั้นจะให้เราเชื่อคำพูดของคุณได้อย่างไรกัน?” ซูเตอฝางตอบกลับไปอย่างกล้าหาญ
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเจ้ายังมีชีวิต และไม่มีผู้ใดถูกสังหารคือสิ่งที่พิสูจน์ตัวตนของพวกเราได้ดีที่สุด”
คนทั้งหมดที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป หลักฐานที่ว่านี้อ่อนแอมาก แต่…มันก็ยังมีน้ำหนักมากพอเช่นกัน
โดยไม่สนว่าคนทั้งหมดจะคิดอะไร ฉินเย่อธิบายต่อ “เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำผู้หนึ่งหลงเข้าไปยังโลกใต้พิภพ นี่คือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเกิดรอยแยกหยินหยางขึ้นภายในเมืองกู่เฉิง จากการสืบสวนของเรา เราพบว่าได้มีทหารวิญญาณเอาไว้ถึง 6 หมื่นตน ตลอดจนภูตผีขั้นตุลาการนรกอีก 13 ตนซ่อนตัวอยู่ภายในรอยแยกนี้ ด้วยเหตุนี้…”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ยมโลกจึงได้ตัดสินใจว่าเราจำเป็นจะต้องกวาดล้างวิญญาณทั้งหมดในเขตกู่เฉิงภายในค่ำคืนนี้ มันมีความเป็นไปได้ว่ากองกำลังทหารวิญญาณได้เดินทางออกไปจากเมืองกู่เฉิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่…มันก็มีความเป็นไปได้ที่สงครามครั้งใหญ่ของโลกใต้พิภพจะอุบัติขึ้นในคืนนี้เช่นกัน”
“เนื่องจากความเร่งด่วนของเรื่องนี้ ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย่ำตะวันและทำการประกาศต่อประชาชนของพวกเจ้าเพื่อเตือนพวกเขา”
ตู้ม… ระเบิดที่ทิ้งลงมาเป็นเหมือนกับหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนใส่ทะเลสาบ ทำลายความนิ่งสงบและสร้างระลอกคลื่นที่ทำให้ภายในหัวของคนทั้งหมดตื้อชา!
รอยแยกระหว่างมิติ และการต่อสู้ของโลกใต้พิภพ…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่นอกเหนือจินตนาการของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง!
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำให้ฉินเย่มาอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เวลาที่เหล่าผู้นำทั้งหมดจะมาดีใจ เลขานุการเมืองลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “คุณ…ไม่ได้กำลังล้อเล่นใช่ไหม?”
“กองทัพทหารวิญญาณจะเริ่มออกเดินทัพในเวลาเที่ยงคืน เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะได้เห็น จงทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาข้างนอกหลังจากสองทุ่มเป็นต้นไป รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและกองกำลังทหารด้วย ข้าไม่สามารถรับประกันการมีชีวิตรอดของผู้ใดได้ทั้งสิ้นหลังจากผ่านเวลานั้นไปแล้ว”
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสถานที่
ภายในหัวของพวกเขากำลังอื้ออึงกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน และมันก็ใช้เวลาอยู่หลายนาทีก่อนที่พวกเขาจะสามารถรวบรวมสติได้อีกครั้ง ทั้งหมดมันกระทันหันเกินไป ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้เตรียมใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ซูเตอฝางก็เอ่ยออกมาในที่สุด “พวกเราจะต้องทำอะไรบ้าง?”
“ไม่ต้องทำอะไร แค่ดูแลคนของเจ้าให้ดีก็พอ นอกจากนี้…อย่าแทรกแซงการทำงานของเรา” สิ้นสุดเสียง ร่างของฉินเย่ก็ค่อยๆหายไปในความมืด “นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้”
พรึ่บ… จากนั้น พลังหยินส่วนสุดท้ายที่อยู่ภายในห้องก็สลายหายไปโดยสมบูรณ์ คนทั้งหมดมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าตนควรพูดหรือทำอะไรต่อไป
“ท่านเชื่อเขาไหมครับ?” ผู้เป็นเลขาถามออกมาเบาๆ
“ผมไม่รู้” ซูเตอฝางเอ่ยออกมาพร้อมกับคลึงขมับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทัพของทหารวิญญาณ หรือการต่อสู้ของโลกใต้พิภพ…ไม่มีเหตุการณ์ใดในนี้เคยถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารมาก่อน! เขาเกรงว่าอีกไม่นาน...เมืองกู่เฉิงคงจะได้สร้างประวัติศาสตร์ในเร็วๆนี้!
จริงอยู่ที่ความปรารถนาและความฝันของผู้นำทุกคนคือการได้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทั้งประเทศ แต่วิธีการนี้แทบจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเลยสักนิด
พวกเขากำลังเล่นกับไฟ
“แต่…มันก็ไม่เสียหายอะไรสำหรับเราเหมือนกัน” หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน ซูเตอฝางก็เอ่ยออกมา “อย่างไรเสีย หลังหนึ่งทุ่มก็มักจะมีเคอร์ฟิวอยู่แล้ว ดังนั้นทั้งหมดที่เราจะต้องทำตอนนี้ก็คือยกเลิกการลาดตระเวนและ…กระจายข้อความเหล่านี้! ส่วนสิ่งที่จำเป็นต้องทำ…”
เขาหันไปมองยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป “ผมเชื่อว่าผู้สืบสวนระดับสูงที่จะมาถึงในอีกไม่ช้าคงจะรู้ดีกว่าเรา”
……………………………………………………..
เวลา 23.40 น.
เมืองกู่เฉิงนั้นอยู่ติดกับแม่น้ำ ชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่บนฝั่งในสถานะยมทูต เล่นเกมในโทรศัพท์ที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน หวังเฉิงห่าวดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นัก ในขณะที่สายตาของฉินเย่กลับจับจ้องไปที่หน้าจอของเขาขณะที่ขยับนิ้วมืออย่างรวดเร็ว “ดูสิ เจ้าตายอีกแล้ว ข้าบอกแล้วว่าจวงโจวกลายเป็นแท็งค์ที่ศักยภาพในการฆ่าสูง เจ้าควรจะสนับสนุนข้าด้วยไช่เหวินจีสิ ข้าบอกแล้วให้เจ้าถอยไป เหตุใดจึงไปอยู่แนวหน้าอีก?” [3]
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพี่ฉิน!” หวังเฉิงห่าวปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงทันที “พวกเรานั่งอยู่นี่มาหลายชั่วโมงแล้ว! ท่านไม่สนเลยหรือว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นที่เมืองกู่เฉิง? แม้แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงการมาถึงของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกเมื่อประมาณสามชั่วโมงก่อน และพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปน้อยกว่าท่านเลยสักนิด แล้วท่านยังมามีอารมณ์มาเล่นเกมอยู่ได้อย่างไร?!”
น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยผู้เล่นเพียงสี่คน ฉินเย่รีบกดรายงานไช่เหวินจี ก่อนจะปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองและหันหน้าหนีหวังเฉิงห่าวด้วยความรำคาญ “จะรีบร้อนไปทำไม?”
“…นี่ท่านถึงขนาดที่ต้องหันหน้าหนีข้าตอนที่ถามอะไรแบบนั้นเลยหรือ? นอกจากนี้ ท่านไม่อยากจะใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับแดนมนุษย์และปูทางสำหรับการร่วมมือในอนาคตหรอกหรือ? ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของพวกเขาแล้ว!” หวังเฉิงห่าวเอ่ยออกมาด้วยความร้อนใจ นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกของยมโลกเชี่ยวนะ… คำพูดทั้งหมดถูกเอ่ยออกไปแล้ว และพวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงการมาถึงของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกถึงสองคนอีกด้วย มันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นว่ามันยังมีคนที่กำลังจับตาดูพวกเขาอยู่อีกกี่คน! พวกเขาเป็นยมทูตกลุ่มแรกที่ได้รับการบันทึกอย่างถูกต้อง! แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาเป็นกังวลได้อย่างไร?!
“…ไม่เลว ในที่สุดเจ้าก็โตขึ้น…” ฉินเย่กระแอมออกมาเบาๆก่อนจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว้กับอีกข้าง “ชูคาคุ…เจ้าจะมองเฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ เจ้าจะต้องขยายมุมมองให้กว้างขึ้นและมองดูภาพรวมของทั้งหมด”
หวังเฉิงห่าวรู้ดีว่านี่คือเรื่องที่อยู่ในขอบเขตความเชี่ยวชาญของฉินเย่ ดังนั้นเขาจึงข่มความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองและฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
“ยมโลกได้เงียบหายไปกว่าร้อยปีแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่แดนมนุษย์จะหมดความเชื่อมั่นในตัวเรา หากพูดกันตามตรง สิ่งนี้สามารถมองเห็นได้จากปฏิกิริยาของโจวเซียนหลงและพวกผู้ฝึกตนระดับสูงคนอื่นๆ หากพวกเราต้องการสร้างรากฐานที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ของเรา เราก็ต้องสร้างความมั่นใจขึ้นมาให้ได้เสียก่อน มันเป็นกระบวนการที่ยาวนาน”
“ประการที่สอง แดนมนุษย์และโลกใต้พิภพคือโลกสองโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากชาติต่างๆยังไม่สามารถปรองดองกันได้ เจ้าจะคาดหวังให้โลกเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยืนยาว เราจะต้องแสดงให้พวกเขาเห็นถึงประโยชน์ที่เราสามารถมอบให้พวกเขาได้เสียก่อน แล้ว…เจ้าคิดว่าผลประโยชน์ใดกันที่ยมโลกสามารถนำมาเสนอได้ในตอนนี้?”
หวังเฉิงห่าวกระพริบปริบๆ “ไม่ใช่ว่าการกำจัดวิญญาณจากแดนมนุษย์คือประโยชน์สูงสุดสำหรับพวกเขาหรอกหรือ?”
ฉินเย่ตอบกลับ “นั่นคือสิ่งที่ข้าเคยคิดเช่นกัน จนกระทั่งข้าตระหนักได้ว่านั่นมันเป็นเพียงหน้าที่ของเราเท่านั้น และหน้าที่ของเขาสามารถถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่สามารถนำมาเสนอได้จริงๆน่ะหรือ?” ฉินเย่อธิบายอย่างใจเย็น “การค้าเป็นเพียงทางเดียวที่จะนำผลประโยชน์มาสู่ทั้งสองฝ่าย นี่คือผลประโยชน์ร่วมของพวกเรา น่าเสียดายที่ยมโลกยังไม่มีอะไรมาเสนอให้พวกเขา หรือว่าเจ้าจะบอกว่าเจ้ายินดีที่จะขายประตูหลังของเจ้าให้พวกเขากันเล่า?”
เขาไล่นิ้วไปตามก้นของหวังเฉิงห่าวเบาๆ
หวังหนึ่งหางรีบถอยห่างทันที
“แต่ประเด็นของเรื่องก็คือมันอาจจะไม่มีคนต้องการน่ะสิ”
หวังเฉิงห่าวยกมือขึ้นทาบอกด้วยความเจ็บปวด
“หรือต่อให้ข้าขายเจ้าให้กับใครสักคนจริงๆ… แล้วข้าจะกลายเป็นอะไร? แมงดาแก่ๆตัวหนึ่ง? ข้าไม่อยากจะทำให้ตัวเองเสื่อมเสียหรอกนะ”
หวังหนึ่งหางแทบจะกลิ้งไปมาบนพื้น พ่ายแพ้แต่คำพูดที่ทำร้ายจิตใจอย่างไร้ความปรานีนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่ท่านไม่กลัวจะสูญเสียน้องชายผู้เป็นที่รักของตัวเองเลยหรืออย่างไร?! นี่ท่านกำลังทำลายหัวใจของข้าให้แตกเป็นเสี่ยงๆนะ!
เขาอยากจะฆ่าใครสักคนจริงๆ… มันผิดกฎหมายหรือเปล่า? ผิดไหม? ใครก็ได้ช่วยบอกเขาที!!
“ตั้งใจฟังสิ! ท่าทางแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?” ฉินเย่หันไปถามร่างที่แน่นิ่งไปบนพื้น “ประการที่สามก็คือตัวข้าเอง หลังจากที่ได้กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป ข้าสามารถเดินอยู่ในโลกทั้งสองได้ แต่ข้ามีเพียงตัวคนเดียว และเวลาก็ยังคงเป็นข้อจำกัด เจ้าคาดหวังที่จะให้ข้าปรากฏตัวในทุกการทำธุรกรรมและดูแลทุกอย่างเลยอย่างนั้นหรือ? นั่นมันเป็นไปไม่ได้เลย”
“ด้วยที่ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มด้วยการไม่เชื่อใจกัน ใครสักคนจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน ดังนั้น…มันจะมีผลเสียอะไรหากข้าจะเป็นคนๆนั้น?” ฉินเย่มองไปยังผิวน้ำตรงหน้า “และในขณะที่ข้าทำสิ่งนั้น มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะขยับจุดยืนของข้าในสายตาของพวกเขาเช่นกัน”
เต้ง… ทันใดนั้นเอง เสียงนาฬิกาก็ดังบอกเวลาเที่ยงคืน
ตอนนี้…ดวงจันทร์ได้ถูกกลุ่มเมฆหนาทึบกลืนกินเข้าไปจนหมด ฉินเย่ปิดนาฬิกาปลุกของตัวเอง หุบรอยยิ้มบนใบหน้า และตวัดนิ้วเบาๆ ฟึ่บ! เกล็ดของตี้ทิงพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาและลอยอยู่กลางอากาศ ในเสี้ยววินาทีถัดมา อาณาเขตมนตราขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า
หวังเฉิงห่าวแน่นิ่งไปขณะที่จ้องมองภาพที่ยิ่งใหญ่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็เผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ผิวน้ำ…ผิวน้ำของแม่น้ำเริ่มสั่นสะเทือนด้วยระลอกคลื่นจำนวนมาก! ภายในไม่กี่วินาที พลังหยินสีดำสนิทก็ปะทุขึ้นจากผิวน้ำราวกับดอกปี่อั้นสีดำ
จากนั้น มันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นและหนาขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาไม่นาน ทั่วทั้งผืนน้ำก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท! ในขณะที่บนท้องฟ้า ค่ายกลมนตราเปล่งประกายสว่างจ้างและส่องแสงลงมายังผิวน้ำ…ที่ซึ่งเผยให้เห็นเงาดำจำนวนมากที่ค่อยๆคืบคลานออกมาจากความมืด!
หนึ่งร่าง… สิบร่าง… 50 ร่าง… 100 ร่าง… 1,000 ร่าง… 10,000 ร่าง!
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ! ดวงตาของทหารวิญญาณทั้งหมดลุกโชนอย่างบ้าคลั่งขณะที่พวกเขาระเบิดจิตสังหารของตัวเองออกมา พวกเขาต่างเฝ้ารอวินาทีแห่งความรุ่งโรจน์อย่างใจจดใจจ่อ!
กองกำลังของยมโลกได้รอคอยมาเป็นเวลานานมากแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป!
ตู้ม! ณ ศูนย์กลางของอาณาเขตมนตราสว่างวาบขึ้นด้วยเสาแสงที่ดูเหมือนกับทางเชื่อมระหว่างสวรรค์และพื้นดิน ในขณะเดียวกัน ผืนน้ำโดยรอบก็ปั่นป่วนอย่างรุนแรง เกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่งอย่างดุร้าย ทันใดนั้น ม้าศึกโครงกระดูกขนาดใหญ่ก็กระโจนออกมาจากม่านน้ำตรงหน้า พร้อมกับแบกรับร่างของนักรบผู้กล้าที่สวมผ้าคลุมซึ่งโบกสะบัดอยู่ด้านหลัง!
คิคุอิจิมอนจิส่องประกายเย็นยะเยือกและน่าสะพรึงกลัวภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด ในขณะที่เปลวไฟนรกสีแดงเข้มลุกโชนอยู่โดยรอบ ร่างสูงสง่าเอ่ยประกาศกร้าว “โอดะ โนบูนางะ ผู้บัญชาการกองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลก คารวะ ท่านจ้าวนรก!”
มันเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ม่านน้ำสงบลงในท้ายที่สุด ภาพด้านหลังเผยให้เห็นทหารวิญญาณหมื่นนายยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบด้านหลังของเขา “ฮ่า!” พวกเขาตะโกนออกมาพร้อมกัน คนทั้งหมดต่างสวมชุดเกราะแมลงแห่งหายนะและหอกแมลงแห่งหายนะที่ถูกทำขึ้นมาโดยหอแห่งการสั่นสะเทือน น่าเสียด้ายที่พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำชุดเกราะพยัคฆาให้กับทหารทั้งหมด ดังนั้นชุดเกราะเหล่านี้จึงมีคุณภาพที่ด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคงยืดหยัดอย่างสง่างามราวกับกองกำลังที่แข็งแกร่ง
คลื่นพลังหยินสาดซัดไปทั่วทั้งเมืองกู่เฉิงภายในฉับพลัน พัดผ่านต้นไม้ที่อยู่โดยรอบ และทำให้อุณหภูมิภายในพื้นที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ฉินเย่หันไปหาหวังเฉิงห่าวและแย้มยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย “ข้าไม่รีบหรอก เพราะว่าพวกเขา…มาถึงแล้ว”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่าวิญญาณที่มีการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณทั้งหมดซึ่งอยู่ภายในเมืองกู่เฉิงต่างหันไปมองทางแม่น้ำและแน่นิ่งไปด้วยความหวั่นสะพรึง แม้แต่พวกวิญญาณที่ไม่มีการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณเองก็สามารถสัมผัสได้ความกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ขณะที่พวกเขาเองก็มองไปทางแม่น้ำเช่นกัน
ถึงเวลาแล้ว!
วิญญาณทุกตนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของมาถึงของยมโลก โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้าๆและชูคิคุอิจิมอนจิของตนขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับตะโกนก้อง “กองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลก จงฟังคำข้า!”
“ทราบ!!” นายพลกว่าสิบนายตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คืนนี้…พวกเราจะกวาดล้างเมืองกู่เฉิง! อย่าปล่อยให้ส่วนใดเล็ดลอดไปได้! ไม่ว่าจะเป็นเขตไล่ล่า เขตนักล่า หรือแม้แต่วิญญาณเร่ร่อน ทั้งหมดต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก!!”
“ทำให้เมืองกู่เฉิงต้องสั่นสะเทือนโทษฐานที่พวกมันบังอาจลอบสังหารจ้าวนรกแห่งยมโลก”
“บุก!!!”
[1] 女土蝠 (กลุ่มดาวหนี่ว์) หนึ่งใน 28 กลุ่มดาวของจีน
[2] คำว่า 土 มีความหมายว่าปฐพี แต่มันก็สามารถใช้เป็นคำพูดเชิงดูถูกที่หมายถึงผู้ที่กระทำการเชื่องช้าหรือปัญญาอ่อนได้เช่นกัน
[3] อ้างอิงจากเกม Glory of Kings เกมแนว MOBA ที่ได้รับความนิยมในประเทศจีน