ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 402 กวาดล้างเมืองกู่เฉิง (1)
บทที่ 402: กวาดล้างเมืองกู่เฉิง (1)
เที่ยงคืนตรง
ที่ผ่านมา สถานบันเทิงภายในจีนนั้นคึกคักเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งเดียวที่อยู่ภายในชั้นบรรยากาศเวลานี้กลับเป็นความเงียบสงัดและความตายอันน่าโศกเศร้า ครอบครัวจำนวนมากต่างกอดกัน ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวขณะที่รอคอยลำแสงอันอบอุ่นของรุ่งอรุณที่ดูเหมือนจะยังอยู่ห่างออกไปมาก
บางทีความหวังเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่มั่นคง ไม่ใช่ติดๆดับๆเหมือนอย่างที่เป็นมาในอดีต
เพราะท้ายที่สุดแล้ว แสงสว่างก็คือแหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวในความมืด
ครอบครัวของโจวหมิงเหลียงเองก็เช่นกัน โจวหมิงเหลียงเกิดและโตขึ้นภายในเมืองกู่เฉิง เขาเพิ่งอายุ 17 ปีและเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปเท่านั้น เด็กหนุ่มยังคงตั้งหน้าตั้งตารอบทต่อไปของชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวย แต่เพื่อความปลอดภัยจากกองกำลังแห่งความมืดที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้
“ได้ยินมาว่าเมืองใหญ่ๆด้านนอกไม่จำเป็นต้องใช้เคอร์ฟิวด้วยซ้ำ” เขานอนอยู่บนโซฟา จ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่นอกหน้าต่าง “ตอนประมาณสิบขวบเราเองก็เคยเห็นมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังจำมันไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ…”
โทรศัพท์ภายในมือของเขาสั่นเทาด้วยการแจ้งเตือน เขามองมัน และก็พบว่ามันเป็นกลุ่ม WeChat ของนี่เอง ทุกคนต่างส่งคำอวยพรและปรารถนาดีสำหรับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึงมาให้กับเพื่อนของตน
พวกเขาเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ ดังนั้นพวกเขาควรจะไปเจอกันตัวเป็นๆและพูดคุยเกี่ยวกับความฝันและความทะเยอทะยานของตัวเอง แต่ทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นแบบนี้?
“ไอ้โลกบ้านี่…” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆและกำโทรศัพท์ของตัวเองแน่นกว่าเดิมขณะที่พึมพำกับตัวเอง “รัฐบาลมัวแต่ทำอะไรอยู่? ทำไมพวกเขาถึงไม่อธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน? ทุกคนต่างรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายหมดแล้ว…นี่พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะตัวตนของอีกฝ่ายไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์อย่างนั้นเหรอ? การปกปิดเรื่องทั้งหมดนี้เอาไว้จะไปมีประโยชน์อะไร?”
ทันใดนั้นเอง…เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
กริ๊ก… แกร๊ก…
นั่นมันเสียงอะไรน่ะ?!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น การได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิดในยามกลางดึกคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างชนลุกชันอย่างแน่นอน โจวหมิงเหลียงสูดหายใจเข้าช้าๆและข่มแรงกระตุ้นที่ตะกรีดร้องออกมาขณะที่ปีนไปยังขอบหน้าต่าง และมองหาแหล่งที่มาของเสียงนั้น
เสียงนั้นดังมาจากที่ไกลๆ แต่เขาก็มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่…มันมีบางอย่างเกี่ยวกับเสียงนั้นที่ฟังดูคุ้นหูมากสำหรับเขา
นี่เขาเคยได้ยินอะไรแบบนี้มาจากไหนมาก่อนกันนะ?
ทันใดนั้นเอง ทั้งกลุ่มแชทก็ระเบิดไปด้วยข้อความมากมาย – “พวกนายได้ยินไหม?!” “ได้ยิน! ฉันได้ยิน! มันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกกัน?!” “ไม่ใช่แค่ฉันใช่ไหมที่ได้ยิน? ดี…ฉันยังไม่อยากเป็นจ้าวโย่วคนต่อไป…ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาหายไปไหน หรือทำไมจู่ๆเขาถึงไม่ไปโรงเรียน…” “แบร่ แบร่ แบร่! ฉันจะไม่ฟังคำพูดที่ไม่น่าฟังพวกนี้หรอกนะ!”
ทุกคนได้ยินมันเหรอ? โจวหมิงเหลียงกัดริมฝีปากของตัวเองและพยายามบังคับต่อมเหงื่อที่เริ่มทำงานของตัวเอง จากนั้นเขาก็ค่อยๆชะโงกหน้าเพื่อมองไปด้านนอก นั่นมันเสียงอะไรกัน… เขาเคยได้ยินมันมาก่อนแน่ๆ อ้อ ใช่แล้ว! มันคือเสียงของคนจำนวนมากที่เดินขบวนกัน…
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็สั่นระริก และเด็กหนุ่มก็เปิดกลุ่มแชทของตัวเองอีกครั้ง “ขบวนทัพของทหาร! เสียงมันเหมือนกับการเดินทัพของทหารเลยไม่ใช่เหรอ?!”
“เออใช่ ! นายพูดถูก! มันจะต้องเป็นกองทัพทหารแน่ๆ!” “บ้าหรือเปล่า…ใครจะมาเดินขบวนบนถนนตอนกลางดึกแบบนี้? มัน…มันเที่ยงคืนแล้วด้วย!!” “ฉัน–… ฉันเข้าใจแล้ว… ขบวนที่ว่านั่นจะต้องเป็นการเดินทัพของกองกำลังวิญญาณที่เราเคยได้ยินกันในตำนานแน่ๆ!!”
การเดินทัพของทหารวิญญาณ ?
ภายในหัวของโจวหมิงเหลียงตื้อชาไปหมด และเขาก็รีบหันหน้าหนีจากหน้าต่างทันที แต่…มันกลับสายเกินไป
ฉินเย่สั่งให้เหล่าทหารวิญญาณเดินทัพในร่างที่แท้จริงของตัวเองเนื่องจากเขาต้องการที่จะสร้างผลกระทบจากการเปิดตัวนี้ ดังนั้นโจวหมิงเหลียงและทุกคนที่ยังคงตื่นอยู่หรือตื่นขึ้นจากการหลับใหลจึงมองเห็นภาพดังกล่าวด้วยตาของตัวเอง – บนถนน แถวของกองกำลังทหารที่มีดวงตาลุกโชนและสวมชุดเกราะสีดำสนิทพร้อมด้วยหอกสีดำกำลังเดินไปตามถนนสายหลัก ร่างของกลุ่มคนทั้งหมดเลือนลาง แต่พวกเขากลับก้าวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันและจังหวะการก้าวเท้าที่หนักหน่วงขณะที่รอบตัวของพวกเขามืดลง!
“พระเจ้าช่วย!!” เสียงอุทานดังลั่นมาจากชั้นด้านบน ตามมาติดๆด้วยเสียงร่วงหล่นของบางอย่างและเสียงเคาะประตู ในทำนองเดียวกัน ส่วนต่างๆของละแวกที่อยู่ก็เต็มไปด้วยเสียงล้มหรือสะดุดข้าวของของเหล่าผู้ที่ตกตะลึงจนแทบเสียสติ และมันก็มักจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูอย่างแรง โจวหมิงเหลียงยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ริมขอบหน้าต่าง มึนงงกับสิ่งที่ตนเห็นเป็นอย่างมาก
ผี…
มีผีอยู่จริงๆ!!
เพื่อนร่วมห้องของเขาบางคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และทุกคนต่างก็พูดถึงความเป็นไปได้ของการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ น่าเสียดายที่ผู้ที่พบเห็นหรือประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเองได้ตายไปจนหมดแล้ว แต่ครั้งนี้…ด้วยระดับของมัน มันไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลยหากจะบอกว่าประชากรทั้งหมดในเมืองกู่เฉิงต่างเป็นพยานในเหตุการณ์ครั้งนี้!
มันมีผีอยู่จริงๆ… แถมยังเป็นทหารวิญญาณอีกด้วย!
พลังหยินที่แผ่ออกมาจากปลายเท้าของพวกเขาหนาแน่นจนมนุษย์ทั้งหมดสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังได้ยินเสียงร้องและเสียงคร่ำครวญของเหล่าวิญญาณที่โศกเศร้าดังก้องอยู่ในความมืดอีกด้วย ทหารวิญญาณทั้งหมดดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง…
“ลูกทำอะไรน่ะ?!!” ทันใดนั้น น้ำเสียงที่ตื่นตระหนกก็ดังมาจากด้านหลังของเขา และเริ่มดึงร่างของเด็กหนุ่มจากด้านหลัง เป็นผู้เป็นพ่อของเขานั่นเอง อีกฝ่ายกอดโจวหมิงเหลียงแน่นและทำทุกอย่างเพื่อสงบสติอารมณ์ของเด็กหนุ่ม “อย่ามอง… ไม่ต้องไปฟังแล้ว… ไปนอนได้แล้ว… โอเคไหม?”
………………………………………………..
ซ่ากกกก!!! เสียงร้องคร่ำครวญดังก้องไปทั่วสุสานขนาดใหญ่ หลังจากนั้นมือสีขาวซีดที่เต็มไปด้วยรอยช้ำสีม่วงเข้มก็ยื่นออกมาจากโลงศพและใช้กรงเล็บทำลายฝาโลงส่วนที่เหลือก่อนที่ร่างเลือนลางจะลุกยืนขึ้น
มันคือร่างของหญิงชราผมขาวที่สวมเครื่องแต่งกายโบราณ อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่งในบางส่วน ร่างของนางผอมบาง แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าฟันของนางยื่นออกมาจากปากในลักษณะของรูปตัว ‘x’ ร่างของนางถูกปกคลุมด้วยพลังหยินสีเขียวเข้ม ในขณะที่เปลวไฟนรกในดวงตาของนางลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง
โซ่ขนาดใหญ่ที่ถูกติดด้วยยันต์จำนวนมากซึ่งมีความยาวกว่า 300 เมตรถูกติดไว้ล้อมรอบสุสานแห่งนี้ นี่คือเขตไล่ล่า D-53 และวิญญาณร้ายที่อาศัยอยู่ภายในนี้ก็คือวิญญาณที่อยู่ใกล้กับขั้นนักล่าวิญญาณ นางถูกกักขังไว้อย่างแน่นหนา จนเกิดเป็นความหิวกระหายเลือดเนื้ออย่างรุนแรง แต่ในวินาทีนี้ นางกลับสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่ไม่สามารถหาที่เปรียบเทียบได้
กึก กึก กึก… ฟันที่แหลมคมของนามกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ใดจะไปคิดว่าวิญญาณร้ายพวกนี้จะรู้จักความหวาดกลัว และมันก็มากจนร่างกายสั่นเทาอีกด้วย! หากพูดกันตามตรง นางทำแม้กระทั่งหดตัวกลับลงไปในโลงศพของตัวเองเพียงเพราะความหวาดกลัวที่ท่วมท้นนี้ วงล้อมโดยรอบคือสิ่งที่เคยใช้หยุดนาง แต่ตอนนี้ นางกลับรู้สึกวางใจขึ้นที่ยังมีสิ่งที่คอยปกป้องนางจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่ด้านนอกเอาไว้! นางไม่แน่ใจว่าเหล่าผู้คุมที่อยู่รอบๆหายไปที่ใดหมด แต่นางก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน
หนี… หนี! นางจะต้องออกไปจากที่นี่!
ความรู้สึกหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ก็พบว่าขาของนางไร้เรี่ยวแรงไปหมด
บางสิ่งบางอย่างกำลังมา… มันเร็วและก็ใกล้เข้ามาแล้ว… นางรู้สึกได้ว่ามันคือสิ่งที่นางไม่สามารถต้านทานได้ มันเป็นความกลัวที่ดังก้องมาจากส่วนลึกของจิตใจ
ทันใดนั้นเอง โซ่ที่พันอยู่โดยรอบก็ขาดกระจาย! สายโซ่กระเด็นไปทั่ว ในขณะที่แผ่นยันต์ทั้งหมดลอยขึ้นไปในอากาศ ร่างในชุดเกราะโบราณและมีดวงตาลุกโชนก้าวออกมาจากกลุ่มก้อนพลังหยินที่ใกล้เข้ามาตรงหน้า
ซ่ากกก!!! ความหวาดกลัวพุ่งสูงขึ้นและทำให้นางต้องตะเกียกตะกายเพื่อถอยห่าง
แต่ไม่นานนางก็ต้องชะงักเท้าของตนและพยายามถอยห่างออกมาด้วยร่างกายที่สั่นเทาอีกครั้ง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า…นางมองเห็นจุดสีแดงอีก 50 กว่าจุดที่สว่างวาบขึ้นในกลุ่มก้อนพลังหยินและกำลังจ้องมองมาที่นาง
จุดสีแดงเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากทหารวิญญาณจำนวน 50 นายที่ถือหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรม
เปลวไฟแห่งกรรมลุกโชนขึ้นที่ปลายของลูกธนู สัญชาตญาณวิญญาณร้ายของนางบอกนางว่านางจะสลายไปทันทีหากสัมผัสเข้ากับเปลวไฟที่ดูไร้อันตรายดังกล่าว ในขณะเดียวกัน นางก็สามารถสัมผัสได้ว่าวิญญาณที่ตามมาด้านหลังนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าทหารวิญญาณทั้ง 50 นายรวมกันเสียอีก!
“หลี่เซียนโกว เกิดปีค.ศ. 1932 มรณะปีค.ศ. 2019 ด้วยวัย 87 ปี เจ้าขายบุตรสาวทั้งสามคนของตัวเองและสูบเลือดสูบเนื้อของครอบครัวของผู้เป็นบุตรเขย หึหึหึ นั่นเทียบได้กับการขายลูกของตัวเองเพื่อแลกกับความปรารถนาของตนเองเลยนะ แถมเจ้ายังใส่ร้ายบุตรสาวของตัวเองว่านางอกตัญญูและขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากพวกนางไม่มอบสิ่งที่เจ้าต้องการให้อีกด้วย” โนบูนางะถือสมุดที่ลอกเลียนแบบมาจากสมุดแห่งความเป็นตายขณะที่เดินเข้าหาวิญญาณตรงหน้า เขาส่ายหน้าไปมาด้วยความขุ่นเคืองขณะที่ยังคงอ่านต่อ “หลังจากบังคับบุตรสาวคนโตจนนางต้องตาย เจ้าก็เริ่มรีดไถเงินจากบุตรสาวคนที่สองเพราะต้องการซื้อบ้านหลังใหม่ เมื่อนางปฏิเสธ นางก็จับตัวลูกชายของนาง – หลานชายของเจ้า – และขายเขาให้กับกลุ่มค้ามนุษย์… เจ้าคือสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ดีๆนี่เอง ไม่สิ แม้แต่เสือมันก็ไม่กินลูกของตัวเอง เจ้ามันแย่กว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก”
พรึ่บ โนบูนางะปิดหน้าสมุดลง “เจ้าคิดว่า…ความตายหมายถึงว่าทุกอย่างจบสิ้นอย่างนั้นหรือ?”
“ผิดแล้ว มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
แซ่กกก...ซ่ากกก!!! วิญญาณร้ายสั่นเทา นางไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้…ความแตกต่างทางระดับพลังนั้นกว้างเกินไป! นางกัดฟันกรอดและเริ่มหลั่งน้ำตาออกมาขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า “ท่าน...เป็น…ใครกัน?”
โนบูนางะแย้มยิ้มขณะที่ค่อยๆหายตัวเข้าไปในกลุ่มพลังหยินด้านหลัง เหล่าทหารวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!!!”
ตุบ...ร่างของนางล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง กำลังใจที่จะสู้สูญสลายไปจนหมดสิ้น เหล่าทหารวิญญาณที่เห็นเช่นนั้นก็รีบนำโซ่เส้นสีดำเข้าไปล่ามเข้าที่คอของนางทันที
“เขตไล่ล่า D-53 เรียบร้อย” “เขตไล่ล่า D-72 เรียบร้อย” “เขตไล่ล่า D-33 เรียบร้อย!” ในขณะที่เหล่าหัวหน้าของเขตไล่ล่าทั้งหมดต่างออกมาจากถิ่นที่อยู่ของพวกเขา เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดที่เห็นเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก!
มันไม่สามารถบอกได้เลยว่าภายในหัวของพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
มันอาจเป็นอุบายอันชาญฉลาดของพวกวิญญาณร้าย ความคิดเหล่านั้นทำให้แผ่นหลังของพวกเขารู้สึกเสียววาบไปหมด แต่ถึงกระนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังยึดมั่นในความหวังที่ว่าสิ่งยมทูตผู้นั้นพูดจะเป็นความจริง!
เพราะหากมันเป็นคนเช่นนั้น ค่ำคืนนี้ก็จะกลายเป็นค่ำคืนที่เมืองกู่เฉิงผ่านพ้นจุดวิกฤติในที่สุด!
“ประกาศ! ประกาศ! ตรวจจับได้ถึงความผันผวนของพลังหยินที่หนาแน่นขึ้นทั่วทั้งเมืองกู่เฉิง ค่าดัชนีพลังหยินทั้งหมดสูงกว่า 4.7 ล้าน โดยหนึ่งในนั้นมีค่าพลังหยินสูงถึง 4 ล้าน ยืนยันการปรากฏตัวขึ้นของวิญญาณขั้นตุลาการนรก แนะนำให้อพยพโดยด่วน ย้ำ แนะนำให้อพยพโดยด่วน…”
เสียงแจ้งเตือนดังก้องไปทั่วทุกส่วนของศาลากลาง แต่กลับไม่มีใครสนใจเสียงประกาศเลยแม้แต่น้อย ห้องเฝ้าระวังเต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น SRC หรือหน่วยสอบสวนพิเศษ พวกเขาต่างจ้องมองไปยังข้อมูลจำนวนมากบนหน้าจอพร้อมทั้งค่าพลังหยินที่สูงขึ้น เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเดินไปเดินมาราวกับฝูงผึ้งงาน แบกกองเอกสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก ข้าราชการผู้หนึ่งสูดหายใจเข้าช้าๆ เคาะประตู้และก้าวเข้าไปในห้องขณะที่ปาดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนเอง จากนั้น เขาก็ยืนปึกเอกสารในมือให้กับผู้เป็นหัวหน้า “นี่เป็นข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเขตไล่ล่า D-33 รวมถึงภาพกล้องวงจรปิด! เชิญท่านเปิดดูด้วยครับ!”
มันคือห้องประชุมขนาดใหญ่
ธงประจำชาติสองผืนถูกวางอยู่ทั้งสองฝั่งของที่นั่งหลักบนโต๊ะที่มีความยาวสิบเมตรพร้อมกับเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีที่เข้าชุดกันในทั้งสองด้าน ตอนนี้เป็นเวลาตี 2 แล้ว แต่ทั้งห้องกลับยังเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ซูเตอฝาง เลขานุการเมือง เจ้าหน้าที่ทางการทหาร ตัวแทนของทาง SRC เจ้าหน้าที่สอบสวนของหน่วยสอบสวนพิเศษ และอื่นๆอีกมาก แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะในเวลานี้กลับเป็น…ชายหญิงคู่หนึ่ง
ทั้งคู่อยู่ในวัยกลางคนและค่อนข้างอายุน้อย แต่พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขากลับหนาแน่นเป็นอย่างมาก การมีทั้งสองนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องรู้สึกปลอดภัยและวางใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาทั้งคู่คือขั้นตุลาการนรก!
ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกทั้งสองมาถึงที่เมืองกู่เฉิงตั้งแต่เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว เมื่อพวกเขาได้รับรายงานถึงข่าวที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของยมโลก ทั้งคู่ก็นั่งประจำที่ของตน มองดูภาพจากกล้องวงจรปิดอย่างใกล้ชิดขณะที่ตั้งตารอดูการเคลื่อนไหวต่อไปของยมโลกอย่างใจจดใจจ่อ
เขตไล่ล่าภายในเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ทางรัฐบาลปวดหัวเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้ใดบอกกันว่าพวกเขาจะไม่เฝ้าระวังใดๆภายใต้การจับกุมของเหล่าทหารวิญญาณ? ไม่มีผู้ใดสามารถแย้มยิ้มออกมาได้ในสถานการณ์เช่นนี้ หากพูดกันตามตรง สีหน้าของพวกเขากลับเคร่งขรึมมากกว่าเดิมเสียอีก
จับกุมแต่ไม่กำจัด? ทหารวิญญาณพวกนี้จะทำอะไรกับวิญญาณร้ายเหล่านั้นกัน?
นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่าวิญญาณร้ายทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่ด้านหน้าของศาลากลาง ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกอยู่ถึงสองคน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามันจะเกิดความวุ่นวายมากเพียงใดหากวิญญาณร้ายทั้งหมดถูกปล่อยพร้อมกัน
“ไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาเห็นทหารวิญญาณด้วยตาของตัวเอง…” หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นทหารวิญญาณของยมโลกจริงๆหรือเปล่า… แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด นี่ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่วิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ และหากพวกเขาเป็นจริง…”
เขากำหมัดแน่น และขั้นตุลาการนรกอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “เช่นนั้น…ความหมายของมันก็ยิ่งใหญ่มาก มากจนสามารถบันทึกในพงศาวดารประวัติศาสตร์ในฐานะของหนึ่งในการเปิดเผยตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติกาล”
“นี่เป็นการประกาศของยมโลกว่าพวกเขากำลังจะกลับมาควบคุมโลกใต้พิภพอีกครั้ง! และพวกเขาก็จะจบความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ให้หายไปเสียสิ้นซาก!”
“ใจเย็นๆ” ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกนิ่วหน้าเล็กน้อยและจ้องไปที่หน้าจอเขม็ง “มันยังมีเขตนักล่า A-49 – หลุมของโครงกระดูกนับพัน เหลืออยู่อีก”
“มันคือจุดศูนย์กลางที่แท้จริงของเมืองกู่เฉิง!”