ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 405 วิถีแห่งขุนนาง
บทที่ 405: วิถีแห่งขุนนาง
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกทั้งสองเงียบไป พวกเขาคิดว่าการเจรจาจะเป็นไปอย่างเป็นทางการและเคร่งขรึม หากพูดกันตามตรง พวกเขาตั้งใจด้วยซ้ำว่าจะเดินไปยังห้องประชุมทันทีที่แนะนำตัวเสร็จ เพื่อที่ระดับสูงของแดนมนุษย์จะได้เริ่มปรึกษาหารือกับยมโลกถึงวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งประเทศ
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“หรือว่าทางยมโลก...ตั้งใจที่จะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์?” หัวใจของอวี๋กวนจู่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มขณะที่เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
ฉินเย่แย้มยิ้มขณะที่ดวงตาที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกของเขาหันไปมองผู้พูด “ไม่ต้องห่วง อย่างที่ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้ ยมโลกและแดนมนุษย์เป็นเหมือนด้านทั้งสองของเหรียญ หากปราศจากยมโลก มันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่แดนมนุษย์จะล่มสลาย ในขณะเดียวกัน ยมโลกก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากแดนมนุษย์เช่นกัน เจ้าคือเรา และเราคือเจ้า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสบกับปัญหา อีกฝ่ายจะต้องยื่นมือเข้ามาเพื่อช่วยเหลือโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ มันไม่ใช่ว่ายมโลกไม่ต้องการที่จะยื่นมือช่วยแดนมนุษย์ให้ทันเวลา หัวใจของเราต้องการจะทำเช่นนั้น แต่ร่างกายนั้นอ่อนแอเหลือทน ท่านจ้าวนรกได้ทรงฝากคำพูดของพระองค์มาให้กับแดนมนุษย์ – ตราบใดที่ยมโลกสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้แล้ว ยมโลกจะส่งกองกำลังมายังแดนมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณทั้งหมดกลับไปยังที่ที่พวกเขาควรอยู่ทันที!”
ไม่มีใครคัดค้านในสิ่งที่ฉินเย่เพิ่งพูดออกมา
มันเป็นความจริงที่ว่าพวกเขาคือทั้งสองด้านของเหรียญ และมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ยมโลกจะไม่เต็มใจที่จะยื่นมือช่วยแดนมนุษย์ มันจะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ยมโลกเงียบหายไป ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกทั้งสองถอนหายใจออกมาเบาๆ มันมีคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจของพวกเขา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามันคงไม่เหมาะสมที่จะถามคำถามเหล่านั้นตอนนี้
แต่หัวหน้าฟางกลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขารีบถามออกไปด้วยความลังเล “อาจจะดูเป็นการละลาบละล้วง แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับนรกกัน?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกในสิ่งที่ตนสามารถบอกได้ “พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้บรรลุปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และตรัสรู้”
“และพลังของการตรัสรู้ของพระองค์…ก็เทียบได้กับการรวมพลังกันของพระยมหลายสิบตน แม้แต่ตอนนี้พวกเราก็ยังได้รับผลกระทบที่ตามมาจากการตรัสรู้ของพระองค์อยู่ ดังนั้น ข้าขอพูดอีกครั้ง – มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วย แม้แต่ยมโลกเองก็ใกล้จะล่มสลายเต็มทีเช่นกัน”
ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกทั้งสองอ้าปากค้างด้วยความหวั่นสะพรึ่ง การตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์…พวกเขาไม่สามารถจิตนาการได้เลยว่ามันจะเป็นพลังที่รุนแรงมากเพียงใด แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็รู้ดีว่าพระยมนั้นคือตัวตนที่แข็งแกร่งมากกว่าขั้นฝู่จวินเป็นอย่างมาก
ในแดนมนุษย์ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นพระยมเลยแม้แต่คนเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถคาดเดาจากประสบการณ์ของตัวเองและหาข้อสรุปออกมาได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว…ผู้ฝึกตนขั้นฝู่จวินก็ถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่คนละโลกกับพวกเขาไปที่เรียบร้อยแล้ว!
“ยอมรับคำขอของเขาซะ” ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนทั้งสองก็ได้ยินเสียงของชายชราดังมาจากในหูฟัง “บอกเขาว่าเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการของเขา นับตั้งแต่ปีหน้า พวกเราจะสร้างสุสานขึ้นในเมืองหวู่หยางเพื่อใช้ฝังร่างของเจ้าหน้าที่ที่มีพรสวรรค์จากทั่วทั้งจีน”
แววตาของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกทั้งสองสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะพวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าชายสูงวัยที่กำลังพูดอยู่นั้นคือใคร นี่อีกฝ่ายก็พิจารณาถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับยมโลกด้วยอย่างนั้นหรือ?
“อย่างไรก็ตาม…” เสียงของชายชรายังคงดังต่อไป “ถามขั้นตุลาการนรกของยมโลกตรงหน้าของพวกคุณทีว่า…ทางยมโลกยินดีจะทำสิ่งใดเพื่อเป็นการตอบแทนเรา”
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน สมกับเป็นหัวหน้า เขาสามารถนิ่งเฉยได้ขนาดนี้ได้อย่างไรหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ยมโลกพูดมาจนถึงตอนนี้? นี่คือความแตกต่างระหว่างอีกฝ่ายและพวกเขาสินะ…
หัวหน้าฟางไม่ลังเลอีกต่อไป “พวกเราสามารถทำตามคำขอของคุณได้ แต่ตอนนี้แดนมนุษย์เองก็กำลังวุ่นวายเช่นกัน และพวกเราก็หวังว่าจะสามารถสานสัมพันธ์กับยมโลกได้โดยเร็วที่สุด ทางเราอยากจะทราบว่ายมโลกมีสิ่งใดที่จะเสนอให้กับแดนมนุษย์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการตกลงนี้?”
ฉินเย่ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด เขารีบเอ่ยออกไปทันที “พวกเรายังคงมีความรู้ทั้งหมดที่สั่งสมมาตลอดพันปีของยมโลกแห่งเก่า นี่รวมถึงวิธีการต่างๆในการรับมือกับวิญญาณ รายละเอียดในการแยกประเภทของวิญญาณ ข้อมูลเฉพาะของวิญญาณพิเศษแต่ละชนิด และเอกสารที่ระบุถึงตำแหน่งของวิญญาณร้ายทั้งหมดที่ถูกผนึกไว้ในทั่วทั้งแผ่นดินจีนตั้งแต่สมัยอดีต ท่านจ้าวนรกได้ทรงมีรับสั่งให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดนี้แก่รัฐบาลจีน พวกเรากำลังดำเนินการพิสูจน์อักษรและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ซึ่งน่าจะพร้อมที่จะมอบข้อมูลทั้งหมดนี้ให้กับแดนมนุษย์ภายในอีกครึ่งปีหลังจากนี้”
“ทางเราไม่ได้กำลังพยายามที่จะดูถูกความสามารถในด้านนี้ของแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่การวิจัยวิญญาณของแดนมนุษย์ในเวลานี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับยมโลกเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนเท่านั้น”
…………….
ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของอุปกรณ์สื่อสารคือชายที่น่าจะอยู่ในวัย 70 ปี ผู้คุ้มกันมากมายยืนอยู่ล้อมรอบ และสองคนในนั้น…ก็อยู่ขั้นตุลาการนรก!
ทันทีที่ได้ยินข้อเสมอของยมโลก เขาก็หลับตาลงและตบโต๊ะพร้อมกับสูดหายใจเข้าช้าๆ
“ตอบตกลงกับข้อเสนอของเขา เดี๋ยวนี้!”
…………….
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยหน้าจอคอมพิวเตอร์และหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ ชายสูงวัยผมขาวห้าคนในชุดปฏิบัติการกำลังนั่งอยู่ที่หน้าจอซึ่งฉายภาพการเจรจาเดียวกันที่เกิดขึ้นในเมืองขนาดเล็กที่มีชื่อว่าเมืองกู่เฉิง
เมืองขนาดเล็กที่ดึดดูดความสนใจจากผู้คนมากมายในเวลานี้
ทันทีที่ข้อเสนอของยมโลกถูกเอ่ยออกมา ชายทั้งห้าก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงทันที เสี้ยววินาทีต่อมา หนึ่งในคนทั้งหมดก็รีบคว้าไปที่โทรศัพท์ที่อยู่ข้างตน “เร็วเข้า! รีบแจ้งนักวิจัยระดับปริญญาเอกและศาสตราจารย์ทั้งหมดให้ติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ของหน่วยสอบสวนพิเศษภายในเมืองเยียนจิงเดี๋ยวนี้!”
เขารีบวางสายและจ้องเขม็งไปที่หน้าจอด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย “สิ่งนี้…มาได้ถูกเวลาอย่างพอดิบพอดี!”
…………….
กลับมาที่เมืองกู่เฉิง อวี๋กวนจู่และหัวหน้าฟางได้ยินคำพูดที่ดูเย้ยหยันของฉินเย่อย่างชัดเจน แต่พวกเขากลับไม่มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ดวงตาของพวกเขากลับเป็นประกายจ้า และใบหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
“ตกลง” ไม่กี่วินาทีต่อมา หัวหน้าฟางก็ประสานมือตอบด้วยความเคารพ “ทางเราจะตั้งตารอการมาถึงของคุณในอีกครึ่งปีหลังจากนี้!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นฟ้า “เช่นนั้นตอนนี้ก็เหลือเพียงสิ่งเดียวที่เราจะต้องจัดการ”
“รอยแยกระหว่างแดนมนุษย์และยมโลกได้เปิดขึ้นภายในเมืองกู่เฉิง และเราจะต้องปิดผนึกมันโดยเร็วที่สุด ทหารวิญญาณของเราจะถอนกำลังหลังจากนั้น ทุกท่าน...” ร่างของฉินเย่ค่อยๆลอยหายไปราวกับสายลม “แล้วพบกันในอีกครึ่งปี”
เมื่อฉินเย่หายตัวไป ทหารวิญญาณที่มาพร้อมกับเขาเองก็หายไปเช่นกัน และสิบนาทีต่อมา พวกเขาทั้งหมดก็ปรากฏตัวขึ้นที่หลุมของโครงกระดูกนับพันอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ตอนที่กวาดล้างเขตไล่ล่าแห่งนี้ ข้าตรวจจับได้ถึงพลังหยินจำนวนมากที่ยังคงหลงเหลืออยู่ด้านล่าง” โนบูนางะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แต่มันไม่ใช่ทหารวิญญาณของศัตรูแต่อย่างใด อีกฝ่ายคงจะถอนกำลังไปตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยงเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม พลังหยินพวกนี้กลับยังไม่สลายไป”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองลงยังรอยแยกด้านล่าง “บังเอิญอย่างนั้นหรือ?”
“เกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” โนบูนางะกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยแววตาที่ไหววูบ ความมืดภายในเมืองกู่เฉิงค่อยๆหายไป และรุ่งสางก็ใกล้จะมาถึงเต็มที “บางที…คู่ต่อสู้อาจจะทิ้งตัวหมากของตนเองไว้แถวนี้ ข้าเคยได้ยินพระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของขงโม่ก่อนหน้านี้ เขาไม่ใช่คนที่จะทำสิ่งใดโดยไม่วางแผนล่วงหน้า ดังนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจนักหากเขาจะแบ่งกองกำลังของตัวเองไว้ที่นี่ พระองค์ทรงต้องการที่จะให้พวกเราลงไปตรวจสอบรอยแยกด้านล่างดูก่อนหรือไม่?”
หากทหารวิญญาณกว่าหมื่นนายซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงๆ มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถซ่อนตัวต่อไปได้ภายใต้การตรวจค้นที่ละเอียดถี่ถ้วน
“ไม่จำเป็น” ฉินเย่ตอบเสียงอ่อน “เขายังสามารถจับตามองเราได้อยู่ดีหากเขาปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ”
“การต่อสู้ของเรากับกองกำลังพันธมิตรวิญญาณร้ายพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น มันเป็นการดีที่จะทำให้พวกเขาได้รับรู้ถึงจุดยืนของยมโลกต่อเจตนาในการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของมัน พวกเราจะทำให้ขงโม่ได้รู้ว่ายมโลกยังคงมีกองกำลังที่แข็งแกร่งในการจัดการกับวิญญาณที่ดุร้าย ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้ไปว่าพวกเขากำลังตีรังแตน! การทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงจุดยืนของตัวเองนั้นเป็นคำเตือนที่ดีที่สุดที่ข้าจะสามารถมอบให้กับพวกเขาได้”
ส่วนตอนนี้…สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาว่าคู่ต่อสู้ของเขาพัฒนาไปถึงระดับไหนแล้ว!
ตราบใดที่อีกฝ่ายเคยอยู่ที่นี่มาก่อน มันจะต้องมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่เป็นแน่ ทหารวิญญาณ 6 หมื่นนายเดินทัพมายังดินแดนแห่งนี้ พักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่ง และแม้กระทั่งดำเนินแผนการของตัวเอง ปริมาณงานที่ต้องเตรียมการนั้นมากมายมหาศาล มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ทิ้งร่อยรอยอะไรไว้! แม้แต่แม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถบรรลุความสำเร็จนี่น่าเหลือเชื่อนั้นได้!
…………………………………………….
ฉินเย่ก้าวเข้าไปในลิมโบ พร้อมด้วยหวังเฉิงห่าวและโนบูนางะ มันมืดสนิท ราวกับว่าพวกเขาเข้ามาในทางเดินสมัยดึกดำบรรพ์ หวังเฉิงห่าวรีบใช้โอกาสนี้ในการถามฉินเย่ทันที “ท่านพี่ฉิน ทำไมกัน? ทำไมเราถึงไม่เปิดเส้นทางการค้ากับแดนมนุษย์ทันที? สิ่งนี้จะทำให้เขาสามารถเสริมความแข็งแกร่งของยมโลกได้เลยไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่านี่เป็นแผนการของเราตั้งแต่ต้นหรืออย่างไร?”
“มันเป็นเรื่องดีที่จะถามคำถาม แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้น มันก็จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าลองจิตนาการว่าเจ้าเป็นข้าและถามตัวเองดูว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนั้น” ฉินเย่พึงพอใจเป็นอย่างมากที่หวังหนึ่งหางเริ่มทำหน้าที่เป็นชูคาคุ ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยต่อทันที “แต่ในเมื่อเจ้าขอร้องข้าขนาดนี้ ข้าก็จะบอกให้เจ้าได้รู้”
หวังเฉิงห่าว: ……
ขอร้อง? ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้ากำลังถามคำถามกับท่านอยู่!
ฉินเย่เรียบเรียงความคิดและอธิบายทั้งหมดอย่างใจเย็น “ตอนที่ได้รับมรดกของยมโลกแห่งเก่ามาเมื่อปีที่แล้ว ข้าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ในตอนนั้นข้าเพิ่งอยู่ขั้นยมเทพเท่านั้น เจ้าคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากข้าเปิดเผยตัวตนต่อแดนมนุษย์ในเวลานั้นและบอกพวกเขาว่า – ‘ไง ข้าคือว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก ข้าสามารถพาพวกเจ้าออกจากสถานการณ์ที่พวกเจ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ได้’”
หวังเฉิงห่าวรีบเอ่ยออกมาทันที “ตะขาบมนุษย์… ไม่! ซาชิมิมนุษย์!”
ฉินเย่เหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างดุดัน – นี่เจ้าพูดบ้าอะไร?! หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ‘ตะขาบมนุษย์’? เชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่าข้าสามารถส่งเจ้าไปเกิดใหม่ได้ภายในชั่วพริบตา?
“ใช่แล้ว พวกเขาจะจับตัวข้าทันที ผ่าร่างของข้าและทำการทดลองต่างๆ พูดสั้นๆก็คือ คำพูดของเราในเวลานั้นไร้ซึ่งน้ำหนัก หากพูดกันตามตรง ต่อให้ข้าบอกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดมันก็คงไร้ประโยชน์ แล้วผู้สืบทอดของยมโลกที่เพิ่งอยู่แค่ขั้นยมเทพจะไปสามารถทำอะไรได้? ข้าจะสามารถตอบคำถามมากมายที่พวกเขามีได้อย่างนั้นหรือ? หากไม่แล้วข้าจะมีประโยชน์อะไรสำหรับพวกเขา? ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถหาคำตอบได้โดยการผ่าร่างของข้าเป็นส่วนๆและทดลองเอาหรอกหรือ?”
“…นั่นเป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพทีเดียว – มันชัดเจนจนข้าเริ่มรู้สึกคลื่นไส้…อึก... อ่า ข้าไม่ได้หมายความว่ากายเนื้อของท่านมันน่ารังเกียจนะ…”
“หุบปากแล้วตั้งใจฟังให้ดี!” ฉินเย่จ้องหวังเฉิงห่าวเขม็ง “ตอนนี้ ในที่สุดข้าก็มาอยู่ในจุดที่สามารถพิสูจน์อะไรได้บ้างแล้ว ขั้นตุลาการนรกนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในกองกำลังสนับสนุนหลักของแดนมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมันอยู่ห่างจากตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนมนุษย์อีกเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น เมื่อตุลาการนรกเอ่ยอะไร มันย่อมมีน้ำหนัก หากข้าต้องการ ข้ายังสามารถดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยสอบสวนพิเศษได้อีกด้วย – หรืออาจจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานสาขาของเมืองสักเมืองเลยก็ได้ แต่…ยิ่งเจ้ามีความรู้มากขึ้น มันก็ยิ่งทำให้เจ้าตระหนักได้ว่าตัวเองยังขาดอะไรอีกหลายอย่างเช่นกัน“
เขาหุบยิ้มและถอนหายใจออกมาเบาๆ “ปัญหาแรกของเราก็คือเรื่องของความเชื่อใจ หากคำพูดนั้นไม่มีผลกระทบตามมา เช่นนั้นทุกคนก็คงพร้อมที่จะไว้ใจในสิ่งที่ข้าพูดไปแล้ว ทว่าน่าเสียดาย ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือยมโลกไม่ได้แสดงถึงการดำรงอยู่ของมันมาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ดังนั้นเจ้าคิดหรือว่ารัฐบาลของแดนมนุษย์จะยอมเชื่อใจเรา? ลองคิดดู การคาดเดาของเจ้านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า…”
หวังเฉิงห่าวกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ฉินเย่ก็รีบส่ายหน้าไปมา “เจ้ากำลังจะบอกว่าในเมื่อยมโลกและแดนมนุษย์เปรียบเสมือนด้านทั้งสองของเหรียญ แล้วพวกเขาจะสามารถเชื่อใจผู้ใดอีกได้หากไม่ใช่เราใช่หรือไม่? เจ้าคิดผิดแล้ว เพราะพวกเขาคงเลือกที่จะเชื่อในความสามารถของตัวเอง ยมโลกสามารถแสดงอะไรออกมาได้บ้าง? ที่ผ่านมายมโลกได้ทำสิ่งใดที่ควรค่าแก่การลงทุนของพวกเขา? ไม่มีเลย”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า GDP ของประเทศเราลดลงมากเพียงใด? มันเติบโตเพียงแค่ 4% เท่านั้นในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เติบโตถึง 6-7% เจ้ารู้หรือไม่ว่าสาเหตุของมันคืออะไร? มันก็เพราะว่าแหล่งทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกนำไปให้กับการวิจัยวิญญาณ พัฒนาอาวุธ และเป็นทรัพยากรสำหรับเหล่าผู้ฝึกตนอย่างไรเล่า! ทางจีนได้ทำเช่นนี้มาเป็นเวลากว่าหลายสิบปี ดังนั้นเจ้าคิดว่าพวกเขาจะไว้ใจเราจนถึงขนาดที่ลงทุนกับเราอย่างเต็มที่ เพียงเพราะว่าเรากวาดล้างเมืองกู่เฉิงให้กับพวกเขาอย่างนั้นหรือ? ไม่ มันไม่มีทาง การถือกำเนิดของวิทยาศาสตร์หมายความว่าพวกเขาเลือกที่จะเชื่อมั่นในกระบวนการและความสามารถของตัวเองมากกว่าที่จะเชื่อมั่นในพวกเราอีกครั้ง นี่คือลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์!”
“เจ้าจำได้หรือไม่ที่ก่อนหน้านี้ข้าพูดกับผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกว่าพวกเราอาจจะจัดตั้งตลาดไสยเวทย์เพื่อทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของยมโลกและแดนมนุษย์? ข้าจับตาดูปฏิกิริยาของพวกเขาอย่างละเอียด และข้าก็พบว่ามันแทบจะไม่มีร่องรอยของความตื่นเต้นเกิดขึ้นภายในจิตใจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้ได้บอกข้าว่าพวกเขายังไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด พวกเขายังคงอยากรู้ว่ายมโลกนั้นสามารถนำพาประโยชน์อะไรมาสู่แดนมนุษย์ได้บ้างนอกเหนือจากการช่วยเหลือพวกเขาในการกำจัดวิญญาณในพื้นที่ต่างๆ พวกเขาอาจจะคาดหวัง อาจจะตื่นเต้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของความเชื่อและความไว้ใจแล้วล่ะก็…มันยังต่ำมาก”
หวังเฉิงห่าวขมวดคิ้วยุ่ง “แต่…ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือมอบทรัพยากรให้เราเพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น! พวกเขาน่าจะยอมตกลงไม่ใช่หรือ? เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ทรัพยากรของเมืองๆหนึ่งก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพยากรของทั้งประเทศ ในทางกลับกัน มันจะเป็นการช่วยเร่งการพัฒนาของเราได้มาก และพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์ที่มากมายจากการลงทุนนี้!”
ฉินเย่ส่ายหน้า กลุ่มหมอกพลังหยินสีเขียวดำเริ่มบนบังทัศนวิสัยของพวกเขา ลิมโบอยู่ข้างหน้านี้ ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “แน่นอน พวกเราอาจจะได้ทรัพยากรมา แต่…วิญญาณเล่า?”
หวังเฉิงห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจถึงแก่นของปัญหาทันที เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
“ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง? สาเหตุที่ข้ายังไม่พูดเรื่องการค้ากับแดนมนุษย์ก็เพราะว่าทั้งหมดที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือพูดถึงการลงทุน แต่เรายังไม่มีสิ่งใดไปแสดงให้พวกเขาเห็น ปราศจากวิญญาณ เราก็จะไม่มีทหารวิญญาณ เมื่อปราศจากทหารวิญญาณ เราก็จะไม่สามารถกวาดล้างดินแดนอื่นๆและฟื้นคืนอาณาเขตที่ได้รับความเสียหายไปได้ อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ความเชื่อใจที่อีกฝ่ายมีต่อเรานั้นน้อยมาก พวกเขาอาจจะตอบรับคำขอทางด้านเงินทุนของเราครั้งหนึ่ง แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าตนเองไม่ได้อะไรกลับคืน พวกเขาก็คงไม่คิดจะลงทุนอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้น…พวกเราจึงต้องทำให้แน่ใจว่าเราจะสามารถตอบแทนพวกเขาได้อย่างมากมายมหาศาลสำหรับทรัพยากรส่วนแรกที่พวกเขาได้ลงทุนมา! พวกเขาจะต้องได้รับผลตอบแทนมหาศาล!”
“แล้วเราจะสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” หวังเฉิงห่าวถามกลับด้วยความมึนงง
ฉินเย่แย้มยิ้มบาง “เมื่อใดก็ตามที่พวกเรากวาดล้างอาณาเขตให้พวกเขา เราจะก่อตั้งเมืองขึ้นที่นั่นด้วยเช่นกัน เราอาจจะไม่ได้มีทรัพยากรมากนัก แต่เราก็สามารถขอให้แดนมนุษย์มาลงทุนได้ตลอดเวลา! ด้วยวิธีนี้ ทุกสถานที่ที่เราได้ทำการกวาดล้างในแดนมนุษย์ก็สามารถถือได้ว่าถูกยมโลกยึดคืนมาโดยสมบูรณ์! แน่นอน เงื่อนไขเบื้องต้นของแผนการนี้ก็คือพวกเราจะต้องสามารถกวาดล้างดินแดนเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน”
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ขึ้นขณะที่จ้องมองไปยังลิมโบอย่างไม่ละสายตา “ดังนั้น การเดินทางไปยังเมืองหวู่หยางจึงเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาระหว่างเราและแดนมนุษย์ ราชาผีได้ข้ามน่านน้ำและเข้าสู่มณฑลซานตงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่พันธมิตรของ 13 ตุลาการนรกเองก็เคลื่อนไหวด้วยกัน สิ่งต่างๆในแดนมนุษย์ใกล้จะพังสลายเต็มที พวกเราจะต้องกวาดล้างเมืองหวู่หยาง และทำลายกองกำลังทหหารวิญญาณที่ประจำการอยู่ที่นั่น ด้วยวิธีนี้ เราก็จะสามารถพิสูจน์คำพูดของตัวเองและเจรจาข้อตกลงกับแดนมนุษย์ได้ในท้ายที่สุด!”