ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 408 สถานการณ์ที่ซานตง
บทที่ 408: สถานการณ์ที่ซานตง
“น้องชาย ตื่นได้แล้ว” ฉินเย่สะลึมสะลือ เขาเพิ่งถูกปลุกโดยพนักงานต้อนรับบนรถไฟที่ส่งยิ้มบางๆมาให้ “เรามาถึงที่สถานีปลายทาง สถานีรถไฟฉีโจวแล้ว”
ถึงแล้วเหรอ? ฉินเย่ขยี้ตาเล็กน้อยและลุกขึ้นนั่งตัวตรง ป้ายด้านนอกเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ฉีโจว’
ฉีโจวนั้นเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่าเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิ เป็นเมืองหลวงของมณฑลซานตง น่าเสียดายที่มันไม่มีแผงลอยหรือร้านค้าอยู่ภายในสถานีเลยแม้แต่น้อย ผู้โดยสารจำนวนมากลากกระเป๋าเดินทางของพวกเขาและเดินไปที่ทางออกอย่างวุ่นวาย ทว่ายังคงเป็นระเบียบ
มันผ่านมาแล้วห้าวันตั้งแต่ที่เขาเดินทางออกจากเมืองกู่เฉิง… ฉินเย่มองนาฬิกาของตัวขณะที่เดินตามคนอื่นๆไปในขณะที่ชมวิวทิวทัศน์โดยรอบไปด้วย
จุดแวะสุดท้ายของเขาคือเมืองอันอี้ ตั้งอยู่ที่ชายขอบระหว่างมณฑลเจียงซูและมณฑลซานตง และเป็นขาสุดท้ายของการเดินทางที่พาเขามาสู่เมืองฉีโจวซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลซานตง หยินและหยางนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใต้พิภพล้วนสะท้อนออกมาในแดนมนุษย์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ฉินเย่ลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองไปยังทางออก ที่มีกลุ่มตำรวจติดอาวุธพร้อมด้วยปืนและกระสุนจริงยืนอยู่
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด รถไฟยังคงส่งเสียงดังลั่น แต่กระบวนการที่ควรจะเสียงดังอย่างการเคลื่อนตัวของผู้โดยสารกลับเงียบและเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบคนยืนอยู่โดยรอบ แต่พวกเขากลับไม่พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว มีเพียงเสียงสองเสียงเท่านั้นที่ดังตัดผ่านความเงียบภายในชานชาลาแห่งนี้
เสียงแรกมาจากจุดตรวจสอบความปลอดภัย ที่ทางออกไม่ได้มีเครื่องมือที่เอาไว้ใช้ตรวจหาวัตถุอันตรายอีกต่อไป กลับกัน มันถูกแทนที่ด้วยเครื่องมือที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและจะส่งเสียง ‘ติ้ง’ ออกมาในทุกครั้งที่ผู้โดยสารแต่ละคนเดินผ่าน
เสียงที่สองคือเสียงประกาศของสถานี มันไม่ได้ดังมาก แต่ก็ชัดเจนพอที่จะฟังได้ใจความ “ผู้โดยสารทุกท่านโปรดนำข้าวของทั้งหมดของท่านที่ติดตัวมาและเดินไปยังจุดตรวจสอบความปลอยภัยอย่างเป็นระเบียบ กรุณาอยู่ในความสงบหากอุปกรณ์เกิดส่งเสียงใดๆ ย้ำ…”
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในซานตงจะแย่กว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียแล้ว… ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและส่ายศีรษะไปมา ในที่สุดมันก็ถึงคราวของฉินเย่ในการเดินไปที่จุดตรวจ แต่ทันทีที่เขาก้าวผ่านเครื่อง มันก็ส่งเสียงแจ้งเตือนออกมาดังลั่น
เสียงไซเรนตำรวจดังสนั่นท่ามกลางชานชาลาที่เงียบงัน คนทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมาในทันที ในขณะที่เหล่าผู้โดยสารที่ยืนอยู่ใกล้กับฉินเย่ต่างก็ตกตะลึงและรีบถอยห่างจากเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว กองกำลังตำรวจติดอาวุธที่ยืนประจำการอยู่โดยรอบรีบยกปืนชึ้นและจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววเคร่งขรึม ภายในไม่กี่วินาที ฉินเย่ถูกปล่อยให้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้องของกองกำลังตำรวจติดอาวุธเพียงลำพัง
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ กองกำลังตำรวจตรงหน้าเปิดทางออกเล็กน้อย และชายที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำซึ่งยาวถึงเข่า ผู้ซึ่งกำลังแผ่พลังปราณขั้นยมทูตขาวดำก็ก้าวเข้ามา
“เข้ามาโดยปราศจากการแจ้งเตือน?… น่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่าขั้นนักล่าวิญญาณ…” เขาพึมพำเบาๆขณะที่เดินเข้ามาที่อุปกรณ์ตรวจสอบความปลอดภัย แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงไปกับสิ่งที่เห็น
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ และในวินาทีต่อมา ชายคนดังกล่าวก็เงยหน้าไปมองฉินเย่ เขาถึงขั้นขยี้ตาของตัวเองก่อนจะหันไปมองที่อุปกรณ์อีกครั้ง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึง “ชั้นยมทูตขาวดำ?”
คนๆหนึ่งสามารถเป็นขั้นยมทูตขาวดำทั้งๆที่ยังหนุ่มขนาดนี้ได้อย่างไร?… นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความตกตะลึงของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงหยิบเอกสารประจำตัวและส่งให้คนตรงหน้าตรวจสอบ หลังจากผ่านไปประมาณสามวินาที ใบหน้าของผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง “คุณฉินจากสำนักฝึกตนแห่งแรกนี่เอง เชิญทางนี้ครับ”
เขารีบนำทางเด็กหนุ่มไปทันที ในขณะที่กองกำลังตำรวจทั้งหมดก็รีบลดปืนลง
ความคิดแรกของฉินเย่คือเอ่ยปฏิเสธอีกฝ่ายออกไปตามตรง เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็พึ่งรายงานความปลอดภัยขอตัวเองกลับไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรก และทางเมืองหวู่หยางก็กำลังตั้งตารอการมาถึงของเขาอยู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็มีอีกความคิดหนึ่ง
อย่างไรเราก็ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้วหากต้องการจะไปที่เมืองหวู่หยาง แล้วเหตุใดจึงไม่ใช่โอกาสนี้ในการตรวจดูสถานการณ์โดยรวมของซานตงเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยเล่า?
เพราะสถานที่ที่ดีที่สุดในการรับรู้สถานการณ์ของทั้งมณฑลก็คือเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่… ผู้ฝึกตนของหน่วยสอบสวนพิเศษที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็น่าจะค่อนข้างแข็งแกร่งในระดับหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ? เหตุใดชายตรงหน้านี้ถึงดูให้ความสนอกสนใจกับเขานัก? เป็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาเพื่อมารอรับเขา หรือว่า…อีกฝ่ายจะอยากกินเขา?!
ไม่นานทั้งสองก็เข้ามานั่งอยู่ในรถจิ๊บของทหารโดยชายที่แต่งกายในชุดกันลมทำหน้าที่เป็นคนขับ “คุณฉิน คุณต้องการจะตรงไปที่สถานีรถไฟความเร็วสูงเลยหรือเปล่าครับ? ตอนนี้เราอยู่ที่สถานีทางตอนเหนือของเมืองฉีโจว แต่สถานีรถไฟความเร็วสูงจะเชื่อมต่อกับแค่สถานีทางตอนใต้เท่านั้น”
“ขอบคุณที่เป็นธุระให้นะครับ” ฉินเย่แย้มยิ้มบางขณะที่นิ่งประจำที่ของตนอย่างสบายๆ “นี่คือวิธีการที่เมืองฉีโจวใช้ต้อนรับแขกเหรอครับ? คุณถึงขนาดมารับและส่งเจ้าหน้าที่ด้วยตนเอง?”
“ฮ่าๆๆๆ…คุณก็พูดเกินไปครับ…” ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆก่อนจะเริ่มสตาร์ทเครื่อง และขับไปยังใจกลางเมือง
มณฑลซานตงนั้นมีภูมิหลังทางวัฒนาธรรมที่ลึกซึ้ง ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ฉินเย่ก็พบว่ามีวัตถุทางจิตวิญญาณมากมายที่แผ่พลังปราณออกมา พวกมันมีอยู่ในรูปลักษณ์และขนาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหิน หรือหินที่ถูกวางเรียงกันในสวนสาธารณะ หรืออาจจะรูปปั้นที่ตั้งอยู่ในลานกว้าง ทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุที่ถูกซ่อนไว้อย่างดี และแทบจะดูไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย มันดูค่อนข้างเป็นระเบียบเช่นกัน – และไม่นาน ฉินเย่ก็สังเกตเห็นว่ามันถูกวางไว้ห่างกันในทุกๆสองกิโลเมตร
เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะที่ชายส่วมเสื้อกันลมยังคงแอบมองเด็กหนุ่มเป็นระยะๆ จากนั้น หลังจากผ่านไปกว่าสิบนาทีเต็ม ฉินเย่ก็ละสายตาจากหน้าต่าง และชายสวมเสื้อกันลมก็กระแอมออกมาเบาๆ “คุณฉิน…คุณคิดอย่างไรกับมาตรการรักษาความปลอดภัยของเมืองฉีโจวในเวลานี้ครับ?”
นี่มันคำถามอะไรกัน นี่เขา ที่เป็นคนนอก อยู่ในตำแหน่งที่จะมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องแบบนี้อย่างนั้นหรือ?
ฉินเย่ยิ้มตอบด้วยแววตาไม่เข้าใจเล็กน้อย “ไม่เลวเลยครับ อย่างน้อยที่สุด มันก็ดีกว่าเทศบาลและเขตที่อยู่รอบๆมาก ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของคุณเหรอ?”
“ทั้งหมดนี้ถูกจัดทำตามข้อบังคับ 107 ที่ถูกออกมาเมื่อเดือนที่แล้วครับ” อีกฝ่ายแย้มยิ้มและหยิบบุหรี่ออกมา “สักมวนไหมครับ?”
ฉินเย่ส่ายหน้า ชายคนนั้นไม่ได้สนใจนัก เขาจุดบุหรี่และสูบเข้าลึกๆก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่คือนโยบายระดับประเทศที่ถูกประกาศอออกมาอย่างรวดเร็ว พวกเราได้เปิดใช้มาตรการป้องกันนี้ภายในเมืองหลวง ก่อนจะค่อยๆขยายมันออกไปยังพื้นที่โดยรอบ เมืองฉีโจวอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่พวกเขาก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆโดยรอบ”
“นอกจากนี้ การรักษาของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองฉีโจวก็น่าจะดีที่สุดแล้ว เงินเดือนของพวกเราคือ 150,000 หยวน พวกเรายังได้รับคะแนนความดี 200 คะแนนเพียงเพราะว่าประจำการอยู่ที่นี่ หรืออาจจะเงินอีก 100,000 หยวนแทน มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอย่างไหน นอกจากนี้ พวกเรายังได้รับเงินคืนเต็มจำนวนจากการเดินทางทางธุรกิจทั้งหมด รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศอีกด้วย มันมีแม้กระทั่งโบนัสคะแนนความดีที่จะได้รับในทุกๆงานที่ผ่านไปอีกด้วย”
เขาพ่นควันออกมาและเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มกว้าง “ที่พักอาศัยที่เตรียมไว้ให้มีพื้นที่ถึงร้อยตารางเมตร และถูกสร้างขึ้นในใจกลางเมืองอย่างพอดิบพอดี พวกเราแต่ละคนจะได้รับรถที่มีมูลค่าประมาณ 600,000 หยวน หากมันได้รับความเสียหายในหน้าที่ เราก็จะได้รับคันใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เรายังได้จัดการประชุมเชิงวิชาการกับทางเมืองเยียนจิง ตงไห่ และสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งเป็นระยะๆอีกด้วย ในทุกๆปี ผู้สืบสวนของเราจะได้รับโอกาสในการไปทำงานที่เมืองอื่นเพื่อเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในขณะเดียวกัน การประจำหน้าที่ของพวกเราจะอยู่ในระบบแบบหมุนเวียน มันจึงดีกว่าสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ซึ่งมักพบในเมืองอื่นๆโดยรอบ”
นี่คุณ…
ในที่สุดฉินเย่ก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะทำ เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาราวกับเห็นผี “นี่คือหน้าที่ของคุณหรือ?”
“ฮ่าๆ… คุณหมายความว่าอย่างไรที่ว่าหน้าที่… ผมก็แค่พูดคุยเล็กๆน้อยๆระหว่างเดินทางเท่านั้น” ชายคนดังกล่าวหัวเราะแห้งๆและเอ่ยต่อ “อย่างไรก็ตาม หากผู้สืบสวนที่แข็งแกร่งเช่นคุณเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับเรา ขั้นตอนทั้งหมดก็จะสามารถจัดการได้โดยง่ายและไร้ซึ่งปัญหาใดๆ คุณอาจจะได้รับหน้าที่ให้ดูแลย่านที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งในเมืองเลยด้วย อ้อ ใช่ ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้หมายถึงผู้ที่อยู่ขั้นยมเทพเท่านั้น แต่สำหรับคุณ…เอาเป็นว่า การเรียกเงินเดือนครึ่งล้านต่อเดือนก็คงไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือคุณสามารถได้รับคะแนนความดี 500 คะแนนต่อเดือน!”
พี่ชาย ที่ซานตงนั้นขาดคนขนาดนี้เชียวหรือ? พวกคุณจะไม่ยอมปล่อยผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำทุกคนที่เดินทางมาให้ผ่านไปเลยหรืออย่างไร? แล้วหากผมเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วตัวเองอยู่ขั้นตุลาการนรกล่ะ? ไม่ใช่ว่าคุณจะรีบคุกเข่าและเลียเท้าของผมเลยเหรอ?
หากเป็นคนอื่นที่มายืนอยู่ในจุดเดียวกับฉินเย่ตอนนี้คงอาจจะรีบตอบตกลงไปแล้ว แต่ฉินเย่นั้นรู้ดี มีเพียงผู้กล้าเท่านั้นที่จะได้รับรางวัลมากกว่า
และทำไมถึงต้องกล้าน่ะหรือ?
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า…สถานการณ์ในดินแดนเหล่านี้อยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดเป็นอย่างมาก!
มากจนถึงขนาดที่พวกเขาจะต้องใช้เงินล่อคนแล้ว!
ฉินเย่จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนจะตบไหล่ชายคนนั้นเบาๆ “พี่ชาย…ผมกำลังจะเดินทางไปที่เมืองหวู่หยางเพื่อรับตำแหน่งหัวหน้าสาขาของที่นั่น”
“ไม่มีปัญหา!” ชายสวมเสื้อกันลมตอบกลับมาอย่างทันควัน “เราสามารถส่งจดหมายแจ้งถึงพวกเขาได้เสมอ และเมืองหวู่หยางก็จะไม่มีทางพูดอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแผนการเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่คุณเต็มใจจะอยู่ที่นี่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่คุณต้องการ! หรือหากคุณเริ่มรู้สึกไม่พอใจอะไร คุณสามารถไปจากที่นี่ได้ตลอดเวลา!”
เดี๋ยวนะ…ไม่ใช่ว่าเมืองฉีโจวและเมืองหวู่หยางควรจะผนึกกำลังกันหรอกหรือ? ให้ตายเถอะ…ฉินเย่ไม่อยากจะเสียแรงไปกับการพูดเรื่องพวกนี้เขาหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งขณะที่ถามเบาๆว่า “นี่สถานการณ์ในซานตงย่ำแย่จนถึงขนาดที่แต่ละเมืองต้องเริ่มแย่งตัวผู้มีความสามารถกันแล้วเหรอครับ?”
เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมกับเรา… ชายสวมเสื้อกันลมถอนหายใจออกมา หุบยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “คุณไม่รู้หรือ? อ่า ใช่…คุณอยู่แต่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก สถานที่ซึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง”
เขาดับบุหรี่ของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมากและจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า “หากพูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว เราไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้…เมืองฉีโจวใกล้จะล่มสลายเต็มที และทันทีที่มันเป็นเช่นนั้น ทั้งมณฑลซานตงก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เพราะอย่างไรแล้ว เราก็คือปราการด่านแรกของเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติของทั่วทั้งมณฑล!”
ภายในรถเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ลมหายใจของชายคนดังกล่าวติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ ฉินเย่พยักหน้าเบาๆ “สถานการณ์มันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ใช่…” อีกฝ่ายกัดฟันแน่นและอธิบาย “เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มณฑลซานตงตรวจจับได้ถึงแหล่งพลังหยินที่ไม่สามารถวัดค่าได้ปรากฏขึ้นในเมืองฉีโจว หัวหน้าสาขาหลิวรีบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและเรียกกำลังเสริมจากเมืองอื่นๆทันที แต่ก่อนที่กำลังเสริมจะมา.ถึง..แหล่งพลังหยินอีกแหล่งหนึ่งก็ปะทุขึ้น ณ อีกที่หนึ่งในมณฑลซานตง ค่าพลังที่อ่านได้ในตอนแรกเผยให้เห็นว่าแหล่งพลังหยินแหล่งที่สองนี้ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าแหล่งแรกเลยแม้แต่นิดเดียว!”
“แต่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของมันก็คือแหล่งพลังหยินแหล่งที่สองนั้นเกิดจากการรวมตัวของแหล่งพลังหยินมากกว่าสิบแหล่ง พวกมั่นพุ่งตรงมายังเมืองฉีโจวและปะทะเข้ากับแหล่งหลังหยินแหล่งแรกภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที! ผู้ใดที่ไม่ได้เห็นวินาทีแห่งการทำลายล้างนั้นด้วยสายตาคงจะรู้สึกว่ามันยากที่จะจินตาการ ในขณะที่พวกสัตว์ป่าที่อยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นหนูหรือนก สุนัขหรือแมว ต่างตายในทันที คุณลองมองดูข้างนอกสิ คุณเห็นใครจูงสัตว์เลี้ยงอยู่หรือเปล่า?”
ฉินเย่มองออกไปด้านนอก และเขาก็พบว่าไม่มีใครมีสัตว์เลี้ยงมาเดินด้วยเลยแม้แต่คนเดียว!
ชายคนขับหยิบบุหรี่มวนที่สองออกมา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้จุดมัน เพียงคาบมันเอาไว้เท่านั้น “แหล่งพลังหยินทั้งสองต่างต่อสู้กันเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม ในระหว่างนั้น ดวงอาทิตย์ถูกก้อนเมขตบดบังโดยสมบูรณ์ และหลังจากนั้นทันที เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้นและเริ่มแพร่ระบาดไปทั่วอย่างรวดเร็ว! หากพูดกันตามจริง จุดดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการรวมกันของเหล่าวิญญาณ การแพร่ระบาดเขตไล่ล่า หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในระหว่างวิญญาณเอง”
ฉินเย่ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
เห็นได้ชัดว่าราชาผีแห่งพิภพอสูรได้เดินทางผ่านทางตรงและเข้าสู่ซานตง แต่สิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นก็คือการปรากฏตัวของพันธมิตรกองกำลังวิญญาณที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อหยุดการรุกรานของราชาผี พวกเขาอาจจะรวบทหารวิญญาณ และเตรียพร้อมเข้าสู่สนามรบกับราชาผีแห่งพิภพอสูร มันเป็นการแสดงความแข็งแกร่งออกมาเพื่อเตือนราชาผีแห่งอสูรถึงความลำบากที่เขาจะต้องเผชิญหน้าเมื่อเวลามาถึง และหวังว่าตัวเองจะสามารถกลับไปยังที่ที่คนจากมาได้อีก
มันเป็นความจริงที่บอกว่าเทพแห่งสงครามที่แท้จริงจะเฉิดฉายในตอนที่เกิดปัญหา แต่ไม่ว่าแดนมนุษย์จะดูสงบสุขเพียงใด สถานการณ์ของยุครณรัฐที่โลกใต้พิภพกกลับเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ
แผนหลังของเขาชนเข้ากับราชทูตทั้ง 12 จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง หรือที่รู้จักกันในนามของหลิวอวี้ ตัวตนขั้นพระยม เทพแห่งความตายไร้นามของรุสซึ่งอยู่ด้านบน และสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเขาก็คือกองกำลังป้องกันที่แน่นหนาของเมืองเยียนจิง เมืองหลวงของแผ่นดินจีน ดังนั้นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่เขาจะสามารถเดินทางไปได้ก็คือมณฑลซานตง ทันทีที่ฟันเฟืองแห่งความขัดแย้งเรื่องเคลื่อนไหว มันก็จะไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไป