ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 409 เข้าสู่เมืองหวู่หยาง
บทที่ 409: เข้าสู่เมืองหวู่หยาง
“แล้วแดนมนุษย์ล่ะ?”
ชายที่ขับรถหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “เราไม่แน่ใจว่าทำไมวิญญาณร้ายพวกนั้นถึงฆ่ากัน แดนมนุษย์…ยังคงสงบสุขในเวลานี้ แต่พวกเรารู้ว่าความปลอยภัยนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกเราตรวจจับได้ถึงคลื่นพลังหยินที่พุ่งสูงขึ้นในดินแดนหลายแห่งรอบๆ โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน หลังจากได้ทำการสืบสวนอย่างละเอียด การแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอย่างกระทันหันนี้ แท้จริงแล้วเกิดจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มวิญญาณสองกลุ่ม มาจนถึงตอนนี้ เราพบว่ามีสงครามเกิดขึ้นหลายร้อยครั้ง และความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ!”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “แล้วที่คุณเคยพูดก่อนหน้านี้… ที่บอกว่าสถานการณ์ดูรุนแรงขึ้น…”
“ครับ มันเป็นแบบนั้น” เสียงของอีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อย “โดยรวมแล้วแดนมนุษย์อาจจะดูสงบสุข แต่ในมณฑลซานตงนั้นมีสถานที่อยู่สองแห่งที่กลุ่มพลังหยินนั้นเกิดสูงกว่าที่อุปกรณ์ภายในเมืองฉีโจวจะสามารถวัดได้!”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น “ที่ไหนกันครับ?”
“เมืองหลายผิง และนครชฺวีฟู่!” สถานทีรถไฟทางใต้เริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นมาแต่ไกล ในขณะเดียวกัน ชายผู้พูดกัดก้นบุหรี่อย่างแรงและเอ่ยออกมาด้วยความเกลียดชัง “เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ของ SRC เดินทางมาถึงที่ฉีโจว นำอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดทั้งหมดมาจากสำนักงานใหญ่ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่พวกเราได้รู้ว่า…ค่าพลังหยินที่อ่านได้จากเมืองหลายผิงนั้นพุ่งสูงถึง 21,470,000 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่นครชฺวีฟู่เองก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก ค่าพลังหยินของที่นั่นอยู่ที่ 18,420,000!”
เป็นอย่างที่คิด นครชฺวีฟู่…
ฉินเย่หันกลับไปมองชายในเสื้อกันลมด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ “ผมไม่ได้โกหก นี่คือเหตุผลว่าทำไมซานตงถึงต้องการคนเป็นอย่างมากในตอนนี้ พวกเรากำลังพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด ประชากรในเมืองหลายผิงและนครชฺวีฟู่ได้ถูกอพยพไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากคุณเดินทางไปรอบๆเมืองในตอนนี้ คุณจะได้เห็นที่พักชั่วคราวจำนวนมากที่มีเหล่าผู้อพยพย้ายไปอยู่ คุณฉิน…คุณกำลังจะไปที่เมืองหวู่หยาง มันยังค่อนข้างห่างจากเมืองเหล่านั้นอยู่พอสมควร แต่…คุณก็ต้องระวังตัวให้ดีนะครับ”
ฉินเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวเองพลาดสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างไป
ที่ผ่านมาเขาจัดให้การเดินทางสำรวจดินแดนทางทิศตะวันออกนั้นมีความสำคัญสูงสุดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มันมันดูเหมือนว่าจะผิดถนัด!
และทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะเหตุผลเดียว – ขั้นตุลาการนรก
ในฐานะของขั้นตุลาการนรก เขามั่นใจว่าตัวเองจะสามารถจัดการกับขงโม่และวิญญาณขั้นตุลาการนรกที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว มันก็เป็นข้อเท็จจริงที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่ายมทูตนั้นมีพลังในการสังหารวิญญาณที่มีระดับขั้นพลังเดียวกัน และยังมีทหารวิญญาณอีกหมื่นนาย รวมถึงกองกำลังเสริมจากหยางจีเย่ที่จะทำลายกองกำลังของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย ดังนั้นมันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่สามารถกวาดล้างนครชฺวีฟู่ได้?
แต่น่าเสียดายที่ปมของเรื่องนี้ไม่ได้รวมถึงการมีอยู่ของตัวตนที่ไม่ได้อยู่ขั้นตุลาการนรกด้วย – ซึ่งนั่นก็คือขั้นฝู่จวิน ราชาผีนั้นอยู่ขั้นฝู่จวินอย่างไม่ต้องสงสัย และการดำรงอยู่ของตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินเย่จะสามารถรับมือได้
และหากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางเลยที่กองกำลังที่นครชฺวีฟู่จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังของฝู่จวินและกองกำลังของเขาได้! อีกความหมายหนึ่งก็คือ คู่ต่อสู้ของเขามีกองกำลังที่สามารถประจัญหน้ากับขั้นฝู่จวินและทำให้ขั้นฝู่จวินตกอยู่ในที่นั่งลำบากได้!
นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้ก็ต่อเมื่อเขามั่นว่าจะสามารถจัดการกับขั้นฝู่จวินได้ แม้ว่าตัวเองจะค่อนข้างอ่อนแอกว่าขั้นฝู่จวินนั้นก็ตาม…
พอมาลองคิดดู อาณาเขตเวทสู้รบและวัตถุหยินขั้นฝู่จวินอาจจะไม่ใช่ไพ่ตายใบเดียวที่ฝ่ายตรงข้ามมีอยู่ อีกฝ่ายจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเผชิญหน้ากับขั้นฝู่จวินและกองกำลังของเขาได้! เด็กหนุ่มเริ่มมีความเข้าใจสิ่งต่างๆในโลกใต้พิภพมากขึ้นเรื่อยๆ
ค่าพลังหยินกว่า 2 ล้านนั้นไม่ได้เพียงแสดงถึงปริมาณของกองกำลังฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น…แต่มันยังแสดงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาอีกด้วย!
ใช่แล้ว…หากเขาพิจารณาตรรกะเหล่านี้ให้ดีๆ ทุกอย่างก็จะลงล็อคอย่างพอดิบพอดี ยมทูตสามารถสังหารวิญญาณที่อยู่ในระดับขั้นพลังเดียวกันได้ในทันที อย่างน้อยที่สุด นี่ก็เป็นในกรณีที่สู้ตัวต่อตัว หรือบางทีอาจเป็นการต่อสู้เล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณไม่กี่คนเท่านั้น หากยมทูตหนึ่งตนสามารถจัดการกับวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกันได้ เช่นนั้นมันจะต้องระดมกองกำลังทหารวิญญาณไปทำไมกัน? ไม่ใช่ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ล้วนเกิดขึ้นเพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ? นอกจากนี้…ยมโลกก็คงไม่จำเป็นต้องสนับสนุนยมทูตแล้วหากมันเป็นแบบนั้น ยมทูตขั้นยมทูตขาวดำเพียงคนเดียวสามารถควบคุมเรื่องในเมืองๆหนึ่งได้ โครงสร้างรัฐบาลของยมโลกนั้นเอนเอียงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม…นี่มันไม่ได้อยู่ในกรณีนั้นเลยสักนิด!
ความแตกต่างของค่าพลังหยินกว่า 2 ล้านทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนเองกำลังรับมือกับอะไร
นี่คือการกลับไปสู่ยุครณรัฐอย่างแท้จริง ทันทีที่จักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน อำนาจของเขาก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็วและปราศจากการต่อต้านใดๆ หากพวกเขาไม่รีบแก้ปัญหาในตอนนี้ เขาเกรงว่าพวกเขาอาจจะต้องชดใช้กับความประมาทของตัวเองในภายหลัง!
แม้แต่ขงโม่ก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอุบายในการรักษาความได้เปรียบของผู้ที่เริ่มลงมือเป็นคนแรกของเขาจะนำไปสู่การดึดดูดสายตาของยมโลกเข้า
คนเราจะสามารถนอนหลับอย่างสนิทได้อย่างไรเมื่อมีเสืออยู่ที่ใต้จมูก?
มันสามารถพูดได้เลยว่าโลกนี้เปรียบเสมือนกับเกมหมากรุกสมัยใหม่ การล่มสลายของยมโลกได้ทิ้งวิญญาณจำนวนมากและอดีตยมทูตเอาไว้ พวกเขาล้วนก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ คอยวางหมากแต่ละตัวลงบนกระดานภายในความมืด มันเป็นศูนย์รวมของสมมติฐานป่ามืดมิด – สถานที่ซึ่งใครก็ตามที่ชูศีรษะของตนขึ้นมาก่อนจะดึงดูดความสนใจจากนักล่าคนอื่นๆทันที
เอี๊ยดด… ทันใดนั้น รถก็หยุดนิ่งลง สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นจากด้านหลังพร้อมกับป้ายที่เขียนว่า ‘สถานีรถไฟฉีโจวใต้’
ขณะที่ฉินเย่ลงจากรถ เขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยออกไปว่า “คนเราทุกคนล้วนมีความสามารถเฉพาะตัว การให้ผู้สืบสวนมาทำหน้าที่ชักจูงและเจรจาต่อรองไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ศักยภาพของคุณเลยสักนิด”
ชายคนดังกล่าวแย้มยิ้มขมขื่น
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอ แต่งานของเรานั้นค่อนข้างเหมือนกันในทุกๆที่ ความแตกต่างเดียวอาจจะอยู่ที่ตำแหน่งของมัน” ฉินเย่โบกมือลาและหยิบกระเป๋าเดินทางของตนพร้อมกับเดินเข้าไปในสถานี ทันใดนั้นเอง แววตาของเด็กหนุ่มก็สั่นไหวเล็กน้อย และเขาก็เหลือบตาไปยังจุดที่ไม่มีใครอยู่
เขากระดิกนิ้วเล็กน้อย และพื้นที่ว่างที่เขามองอยู่ก็สั่นเทาเล็กน้อย และนกส่งสารก็ก่อตัวขึ้นและพุ่งเข้ามาในมือของเขา เด็กหนุ่มโน้มตัวฟังมันใกล้ๆ
กองกำลังของตระกูลหยางทั้งหมดได้มาถึงแล้ว!
มันคงจะเป็นการประมาทเกินไปหากจะปล่อยให้นกส่งสารส่งข้อมูลใดๆไปมากกว่านี้ แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากองกำลังของหยางจีเย่มาถึงเป็นที่เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพทั้งหมดหกคน ทหารวิญญาณอีก 6 หมื่นนาย และอสูรวิญญาณอีกสี่ตัว! หลังจากได้รู้ว่าศัตรูครั้งนี้มรค่าพลังหยินกว่า 20 ล้าน ข่าวที่เพิ่งได้มานี้ก็ทำให้เขาสามารถหายใจได้คล่องมากขึ้น!
มันยังเหลือตะเกียงหวนหยางอีกหนึ่งดวงที่จะต้องปัก… ฉินเย่พยายามข่มความปรารถนาที่จะกลับไปยังนรกและออกเดินทาง การเดินทางเที่ยวต่อไปของเขาจะออกในอีกสองชั่วโมงเท่านั้น และเขาไม่ต้องการให้ความต้องการที่จะกลับไปยังยมโลกของตัวเองสร้างปัญหาใดๆให้กับการทำหน้าที่ในแดนมนุษย์ นอกจากนี้…เขายังต้องจัดการกับปัญหาทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นในแดนมนุษย์และบรรเทาความกังวลของผู้คนก่อนจึงจะสามารถกลับไปยังยมโลก และทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับการเดินทางสำรวจดินแดนทางตะวันออก
รถไฟเริ่มออกตัวอย่างช้าๆ เขาสูดหายใจเข้าช้าๆเพื่อสงบอารมณ์ของตัวเขา ฉินเย่ไม่สามารถทำทุกอย่างแบบรีบร้อนได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือใจเย็น ๆ และตั้งสติให้ได้มากที่สุด เขาจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้และมุมมองทั้งหมดเพื่อที่จะได้สามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังจากที่มาไกลขนาดนี้ เขาจะต้องปักตะเกียงหวนหยางดวงสุดท้ายให้ได้ เขาจะมาพลาดตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
ขณะที่รถไฟยังคงแล่นต่อไป ฉินเย่ก็ได้โทรไปยังหน่วยงานรัฐบาลของเมืองหวู่หยางเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังจะไปถึงในอีกไม่ช้า และไม่นานเขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและดีใจตอบกลับมาจากเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาถึงขนาดที่ยืนยันมาจะมารับเขาที่สถานีด้วยตัวเองทันทีที่เขาไปถึงอีกด้วย
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว กว่ารถไฟจะมาถึงที่เมืองหวู่หยางก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ประกาศสาธารณะเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเองก็ถูกเปิดแล้วเช่นกัน และผู้คนในสถานีรถไฟก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีคนจำนวนมากยืนอยู่ที่ชานชาลาของสถานี เพื่อรอการมาถึงของเขา
นี่พวกเขาไม่กลัวเลยเหรอ?
ฉินเย่ค่อนข้างประหลาดใจ แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ อ่าาา…ในเมื่อมีขั้นยมทูตขาวดำมาถึงแล้ว ดังมันมีอะไรให้ต้องกลัวกัน?
หน่วยงานรัฐบาลของเมืองหวู่หยางได้รับข้อมูลส่วนตัวของเขาล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาลงจากรถไฟ คนทั้งหมดก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น “คุณคงจะเป็นคุณฉิงใช่ไหมครับ? ผมเป็นเลขานุการของเลขาธิการหม่าของคณะกรรมการเทศบาลครับ คุณจะเรียกผมว่าเสี่ยวเจียงก็ได้ นี่คือคุณเฉียนเจี้ยนจวิน หัวหน้าของกองทหารที่ 856 ของกองกำลังทหารรักษาการณ์ ส่วนนี่คือคุณเกาหลิน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ขอบคุณมากครับที่ตกลงรับหน้าที่นี้ พวกเราจะอยู่ภายใต้การดูแลของคุณไปอีกห้าปีหลังจากนี้ เชิญครับ คุณฉิน เลขาธิการหม่าและนายกเทศมนตรีได้เตรียมงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นการต้องรับคุณไว้แล้วครับ ผมเดาว่าคุณเองก็คงจะเหนื่อยไม่น้อย”
หลังจากทักทายคนทั้งหมดเสร็จ ฉินเย่ก็ขึ้นรถที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับตน เสี่ยวเจียงเป็นคนขับรถด้วยตัวเอง ในขณะที่เฉียนเจี้ยนจวินและเกาหลินตามเขาไปโดยรถอีกคันหนึ่ง
“หนุ่มมาก...” เฉียนเจี้ยนจวินจ้องมองรถคัดตรงหน้าขณะที่สูดหายใจเข้าช้าๆ “คุณเกา เขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำจริงๆเหรอครับ?”
“นี่คือข้อมูลที่ได้รับการยืนยันโดยสำนักฝึกตนแห่งแรก มันยังมีปรากฏอยู่ในหน้าเว็บไซต์ที่บันทึกรายละเอียดของเหล่าผู้ฝึกตนในประเทศจีนอีกด้วย ไม่มีทางเป็นของปลอม” เกาหลินเองก็มีท่าทีประหลาดใจไม่แพ้กัน “ผมได้ยินมาว่าเขาคือขั้นยมทูตขาวดำที่เด็กที่สุดในประวัติศาสตร์ เยี่ยมมาก...เยี่ยมจริง ๆ! ในที่สุดเมืองหวู่หยางก็มีขั้นยมทูตขาวดำมาคอยดูแลเสียที แบบนี้ เราก็พอจะวางใจได้แล้ว”
ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในรถอีกคันเลยแม้แต่น้อย หากพูดกันตามตรง เขาไม่ได้ดูตื่นเต้นเกี่ยวกับสถานที่ทำงานใหม่ซึ่งกำลังรอตนอยู่เลยสักนิด เพราะมันก็สมควรที่จะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ตอนนี้ จิตใจและความคิดทั้งหมดของเขาก็ล้วนอยู่กับการเดินทางสำรวจของยมโลก เขาคงไม่สามารถวางใจได้จนกว่าเขาจะสามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้
ที่สำคัญที่สุด ฉินเย่รู้ดีว่าการกระทำของเขาภายในเมืองหวู่หยางจะเป็นการทำให้เกิดทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก
ไม่นาน รถทั้งสองคันก็ขับไปถึงที่ศาลากลาง งานเลี้ยงอาหารค่ำที่ว่านั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทานอาหารในโรงอาหารของศาลากลาง แต่มันก็ไม่เกินไปกว่าที่คาดเลยสักนิด เพราะตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ทางรัฐบาลจีนก็ได้กลับไปใช้วิธีการดำเนินการแบบเก่าแต่สามารถใช้งานได้จริง ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็แทบจะไม่สนใจการโฆษณาใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ภัยคุกคามจากศัตรูคลืบคลานเข้ามา และมันก็ไม่มีช่องว่างสำหรับความขัดแย้งภายในองค์กรใด ๆ ใครที่ไม่กล้ากระทำการใด ๆ จะถูกไล่ออกจากตำแหน่งทันที นี่เป็นคำสั่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรงจากเลขาธิการในที่ประชุมเอง เพื่อเผยแพร่ไปยังสำนักงานใหญ่ๆทั้งหมด รวมถึงหน่วยสอบสวนพิเศษและ SRC ด้วย
“คุณฉิน!” ทันทีที่เขาเดินเข้าไป เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากที่มีคุณสมบัติที่จะรู้ถึงตัวตนของฉินเย่ก็รีบลุกขึ้นยืนและเดินมาหาเขาทันที ผู้เป็นหัวหน้าคือชายในวัย 50 สิบปี เขาคว้ามือฉินเย่และเขย่ามันอย่างกระตือรือร้น “คุณเป็นประภาคารที่ส่องทางให้เราในความมืดอย่างแท้จริง เชิญครับ เชิญ เชิญนั่งก่อน วันนี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่นเลย มาทำความคุ้นเคยกันก่อนเถอะ งานยังรอไว้พรุ่งนี้ได้”
การรวมตัวกันของเจ้าหน้าที่ชาวจีนจะปราศจากแอลกอฮอล์ได้อย่างไร? ทว่าไม่น่าเชื่อ นั่นกลับเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้ บนโต๊ะไม่มีขวดไวน์หรือเครื่องดื่มมึนเมาอื่น ๆ วางไว้เลยแม้แต่ขวดเดียว แม้แต่อาหารบนโต๊ะทั้งหมดก็เป็นเพียงอาหารพื้นเมืองของมณฑลซานตงเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหรูหราตามที่คนระดับสูงส่วนใหญ่คาดหวัง
“คุณฉิน อย่าเพิ่งไม่พอใจกับอาหารพวกนี้นะครับ” เห็นได้ชัดว่าเลขาธิการหม่ากังวลว่าฉินเย่จะไม่พอใจกับอาหาร จึงรีบแย้มยิ้มสดใสเพื่อพยายามทำให้บรรยากาศแจ่มใสขึ้น “นี่เป็นงานฉลองของขงจื๊อแบบดั้งเดิม อาหารทั้งหมดล้วนเป็นอาหารพื้นเมืองแท้ๆ! เชิญครับ คุณฉิน ผมขอดื่มให้กับคุณด้วยชาแทนไวน์ก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีไวน์อยู่บนโต๊ะ แต่นักการเมืองสูงวัยผู้มากประสบการบนโต๊ะก็ไม่ยอมปล่อยให้บรรยากาศทั้งหมดอึดอัด ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหัวเราะและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ในขณะเดียวกัน ฉินเย่มัวแต่ให้ความสนใจกับความอร่อยตรงหน้า จริงอยู่ที่ว่าพวกมันไม่ใช่มื้ออาหารที่หรูหรา แต่เขาก็ค่อนข้างพึงพอใจกับอาหารที่ได้ถูกเตรียมไว้ให้ หากพูดกันตามตรง มันมีบางอย่างที่พิเศษและเป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับอาหารพื้นเมืองพวกนี้ มากจนถึงขั้นที่เขาสามารถจัดให้มันเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยทานมาเลก็ว่าได้ พวกมันอร่อยและหอมหวล และไม่ได้เผ็ดอย่างอาหารของมณฑลเสฉวนเลยสักนิด รถชาติของมันกลมกล่อมและติดอยู่ที่เพดานปาก สร้างความสุขให้กับประสาทสัมผัสของผู้ที่ทาน
“ทุกท่าน” เมื่อพวกเขาใกล้จะทานอาหารเสร็จ ฉินเย่ก็ยกแก้วของเขาและยืนขึ้น “ผมหวังว่าตัวเองจะสามารถทำตามความคาดหวังของพวกคุณได้ แต่…”
วินาทีนั้น ทั้งโรงอาหารก็ตกอยู่ในความมืด ดวงตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่ฉินเย่ขณะที่เขาเอ่ยต่อ “ผมอาจจะต้องเข้าสู่ช่วงการปิดประตูเพื่อบ่มเพาะเป็นเวลา 4-6 เดือน”
เงียบ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เลขาธิการหม่าก็ยกแก้วชาของเขาขึ้นและถามกลับ “คุณฉิน…มีเรื่องอะไรเร่งด่วนที่พวกเราสมควรรู้หรือเปล่าครับ? เพราะว่า…ประชาชนของเมืองหวู่หยางเองก็เร่งด่วนไม่แพ้กัน”
ฉินเย่ส่ายหน้า “ผมรับรองเลยว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขนาดใหญ่ขึ้นในเมืองหวู่หยางในช่วงหกเดือนหลังจากนี้ แหล่งที่มาของข่าวนั่นน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องขออภัยด้วยที่ผมไม่สามารถเปิดเผยอะไรไปได้มากกว่านี้ แต่หลังจากผ่านไปครึ่งปี สถานการณ์ทั้งหมดภายในมณฑลซานตงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!”
ราชาผีแห่งพิภพอสูรยังคงต่อสู้กับขงโม่และกองกำลังของเขาต่อไป และพวกเขาก็คงไม่มีเวลาหรือทรัพยากรมาสร้างความหายนะในแดนมนุษย์ได้ แต่หลังจากผ่านไปครึ่งปี กองกำลังของยมโกลแห่งใหม่ก็จะมาถึงที่นครชฺวีฟู่และเปิดทางหลวงแห่งชาติสายแรกที่ออกจากเมืองแห่งความรอดไปยังนครชฺวี เมื่อถึงเวลานั้น…มณฑลซานตงก็จะเข้าสู่ยุคสามก๊กในที่สุด ไม่ว่ากองกำลังแต่ละฝ่ายจะแข็งแกร่งมากเพียงใด การปะทะกันอย่างรุนแรงของทุกฝ่ายก็จะต้องทำให้แดนมนุษย์ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่คนอื่นๆจะได้เอ่ยอะไรออกมา ฉินเย่ก็รีบเอ่ยต่อ “นอกจากนี้…ผมอาจจะสามารถบรรลุคอขวดและก้าวสู่ขั้นยมทูตขาวดำได้ในอีกหกเดือน”
ชายร่างผอมลุกพรวดขึ้นและจ้องมองฉินเย่ด้วยความตกตะลึง
ขั้นตุลาการนรก…
ขั้นตุลาการนรกเนี่ยนะ?!
“คะ คะ คุณ… ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า…คะ คะ คุณเพิ่งเลื่อนเป็นชั้นยมทูตขาวดำหรอกเหรอ?!”