ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 410 การมาถึงของกำลังเสริม
บทที่ 410: การมาถึงของกำลังเสริม
ชายร่างผอมที่มีนามว่า อู๋เหวินชิ่ง ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณ และรองผู้บัญชาการของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองหวู่หยางตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในตอนแรกที่เขาได้รับรู้ถึงการทะลุคอขวดสู่ขั้นยมทูตขาวดำของฉินเย่ เขาอ่านประวัติของเด็กหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังว่าจะได้รู้ถึงความลับเพื่อที่เขาเองจะได้บรรลุสู่ขั้นต่อไปในอนาคตอันใกล้เช่นกัน แต่นี่…
คุณหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าตัวเองกำลังจะบรรลุสู่ขั้นตุลาการนรก?!
ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งบรรลุเป็นขั้นยมทูตขาวดำระดับต้นเมื่อไม่นานมานี้หรืออย่างไร?!
มันไม่ใช่ว่าฉินเย่ต้องการจะทำตัวเด่นเช่นกัน แต่นี่ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เขามีอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไร เมืองหวู่หยางก็ไม่มีทางที่จะสนับสนุนกับการหายตัวไปของเขาในอีก 4-6 เดือน นอกจากนั้น เขาไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์ที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเขาต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายปี การเดินทางไปยังตะวันออกนั้นมีจุดประสงค์เพื่อสร้างทางหลวงแห่งชาติระหว่างเมืองเป่าอันและเมืองหวู่หยาง หลังจากนั้น เขายังตรวจการก่อสร้างเมืองท่าอยู่ภายในเมืองหวู่หยาง การเดินทางมาที่มณฑลซานตงเพื่อกำจัดวิญญาณทั้งหมดที่อยู่นอกลู่นอกทาง และสุดท้าย…ก็คือการใช้เสถียรภาพที่ได้มาในมณฑลซานเพื่อเปิดการเจรจากับแดนมนุษย์อีกครั้ง!
อีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกอย่างจะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อเขาสามารถรักษาตัวคนที่มีความสำคัญมากในแดนมนุษย์ของตัวเองเอาไว้ได้
“ผมเกรงว่ามันยังมีอะไรบางอย่างที่พวกคุณยังไม่รู้ ก่อนหน้านี้ ที่เมืองกู่เฉิงมีเรื่องเกิดขึ้น” ฉินเย่แย้มยิ้มและได้หยิบข้ออ้างที่ตนได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาใช้ “พูดให้ชัดเจนก็คือผมได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่กระตุ้นให้ระดับขั้นการบ่มเพาะของผมเพิ่งสูงขึ้นอย่างมาก และผมก็วางแผนที่จะรายงานกลับไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรกหลังจากนี้”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
ทุกคนรู้ดีว่าขั้นตุลาการนรกนั้นหมายความว่าอย่างไร หากพูดกันอีกอย่างก็คือ พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าหากฉินเย่สามารถเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรกได้จริงๆ เมืองหวู่หยางก็จะสามารถวางใจบนขั้นพลังของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์!
ไม่ มันไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังจะกลายเป็นที่รักใคร่ในสายตาของรัฐบาลกลางทันที พวกเขาอาจจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองที่โดดเด่นที่สุดในการต่อสู้กับกองกำลังจากโลกใต้พิภพ และทำให้เมืองอื่นๆในมณฑลซานตงมองมาด้วยความอิจฉา… ลมหายใจของเลขาธิการหม่าเริ่มติดขัดทันที
มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยอมรับเงื่อนไขของฉินเย่!
“ยิ่งกว่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พวกคุณสามารถบอกผมได้ตลอดเวลา ผมจะไม่มีทางละทิ้งความรับผิดชอบเป็นอันขาด” ฉินเย่ตอกตะปูดอกสุดท้ายลุกไป
ตึ้ง…
ตาชั่งผลประโยชน์ทั้งหมดเอนเอียงทันที มีใครบ้างในที่นี้ที่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการเมือง? คนทั้งหมดต่างมีการตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกันทันที
“โอเค” เลขาธิการหม่าถอนหายใจออกมาเบาๆและวางตะเกียบในมือลง “คุณจะเริ่มเมื่อไหร่ครับ? นอกจากนี้ โปรดรู้ด้วยว่าพวกเราไม่ได้เป็นตัวแทนของหน่วยสอบสวนพิเศษ ผมได้ยินมาว่าขั้นตุลาการนรกจะได้รับโอกาสในการรับมอบหมายงานในระดับคณะกรรมการ คุณ…จะไม่รับโอกาสพวกนั้นหากได้รับการเสนอมาหรอกหรือครับ?”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะทำงานที่นี่ให้ครบจำนวนปี” ฉินเย่ยิ้ม “หากเป็นไปได้ ผมอยากจะเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย นอกจากนี้ เงื่อนไขเดียวที่ผมขอก็คือที่พักของผมจะต้องไม่อยู่ใจกลางเมือง นอกเหนือจากนั้น พวกคุณสามารถจัดการได้ตามเห็นสมควรเลยครับ”
เลขาธิการหม่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาเลขาของตน “เสี่ยวเจียง ผมจำได้ว่าเรายังมีบ้านริมชายหาดที่อยู่ใกล้กับที่พักของหัวหน้าหน่วยหลิวใช่ไหม? หากคุณฉินไม่ติดปัญหาอะไร เขาสามารถสั่งคนไปทำความสะอาดที่นั่นและคุณสามารถย้ายเข้าอยู่ได้ในคืนนี้เลย ส่วนเรื่องผลประโยชน์ที่คุณฉินจะได้รับ พวกเราจะเลื่อนมันออกไปจนกว่าคุณจะออกมาจากการปิดประตูบ่มเพาะดีไหมครับ?”
รอบคอบมาก
ฉินเย่ยอมรับเลขาธิการหม่าในใจ ทำเลที่ตั้งดี และการจัดการทั้งหมดก็คงจะทันเวลาสำหรับแผนการของเขาพอดี
“ขอบคุณที่เป็นธุระให้นะครับ ถ้าอย่างนั้น…ทั้งหมดก็คงมีเท่านี้ใช่ไหมครับ? ผมเอาของไปเก็บเลยได้หรือเปล่า?”
“แน่นอนครับ” “ไม่มีปัญหาครับ” “เราจะรอวันที่คุณออกมาจากการปิดประตูบ่มเพาะนะครับ” นี่คือชุดคำพูดก่อนที่ทุกคนจะจากไปด้วยความพึงพอใจ พวกเขาทั้งหมดได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว
สองชั่วโมงต่อมา ฉินเย่มาถึงที่บ้านริมชายหาด มันดูโดดเดี่ยวและรกร้าง แต่ตั้งที่เกิดการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น มันก็ไม่มีใครกล้าอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้อีก หากพูดกันตามตรง มันอยู่ห่างจากตัวเมืองจนแม้แต่ตำรวจก็ไม่ได้มาลาดตระเวนบ่อยนัก และแน่นอนว่าเหล่าผู้อยู่อาศัยที่อยู่โดยรอบเองก็ย้ายออกไปหมดแล้วเช่นกัน
ไม่มีสถานที่ไหนดีกว่าที่นี่
ถนนที่ติดกับระแวกที่อยู่อาศัยมุ่งหน้าตรงไปสู่ทะเล บรรยากาศตอนกลางคืนนั้นมืดมิดและเงียบสงัด สายลมเย็นพัดผ่านทั่วทั้งดินแดน สร้างความผ่อนคลายให้กับหัวใจและจิตใจของเด็กหนุ่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
เมื่อใดก็ตามที่คนๆหนึ่งจะเริ่มปฏิบัติภารกิจใหญ่ของตน พวกเขามักจะต้องหาเวลาแห่งความสงบสุขให้ตัวเองก่อนเสมอ
เพราะอย่างไรแล้ว นี่ก็เป็นเวลาสุดท้ายที่จะทำให้จิตใจของเขาสงบลงก่อนที่พายุขนาดใหญ่จะมาถึง
เด็กหนุ่มหลับตาลงและพยายามซึมซับความสงบสุขโดยรอบ หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองที่ย่านใจกลางเมือง “ไม่… มันยังเหลือตะเกียงหวนหยางอีกดวงที่จะต้องปัก…”
……………………………………………………….
ณ ยมโลกแห่งใหม่
เส้นทางสีแดงเข้มที่แล่นผ่านท้องฟ้าที่มืดมิดราวกับไม่มีที่สิ้นสุด กลุ่มก้องพลังหยินลอยให้เห็นเต็มไปหมด ในขณะที่เปลวไฟนรกลอยออกรอบๆ
เสาแสงขนาดใหญ่สามลำเฉิดฉายเหนือผ่านความมืด เปล่งประกายเจิดจ้างราวกับประภาคารในท้องทะเลที่มืดมิดด้านนอก
ประชาการทั้งหมดคุ้นเคยกับเสาเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งยมโลกก็สั่นเทาอีกครั้ง
ภายในห้องโถง อาร์ทิสที่กำลังนั่งอ่านบันทึกนรกก็เงยหน้าขึ้นมาและพึมพำกับตัวเอง “ยมโลกยังเล็กเกินไป…หากเป็นยมโลกแห่งเก่า มันคงจะไม่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย แม้ว่าเราจะปักตะเกียงหวนหยางพร้อมกันหลายดวง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร…สิ่งนี้ก็หมายความว่าตะเกียงหวนหยางดวงสุดท้ายได้ถูกติดตั้งแล้ว”
ดวงตาของนางเปลี่ยนสลับสีกันไปมาระหว่างดำและขาว สายตาจ้องมองผ่านความมืดและภาพมากมายก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่จะหยุดลงที่ตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
ณ จุดนั้น ท่ามกลางความมืดมิด ลำแสงสีแดงพุ่งทะลุกลุ่มเมฆพลังหยินบนท้องฟ้าและทะลุขึ้นไปถึงแดนมนุษย์ ในที่สุดตะเกียงหวนหยางดวงที่สี่ก็ถูกปักแล้ว!
ในที่สุดก็จบลง… หรือนางควรจะบอกว่า ในที่สุดมันก็เริ่มขึ้นแล้วดี… อาร์ทิสหลับตาลง และเส้นผมของนางก็เริ่มสยายออกราวกับอสรพิษที่น่าสะพรึงกลัว ในขณะเดียวกัน ที่หน้าประตูนรก โนบูนางะที่กำลังออกคำสั่งกับกองกำลังทหารวิญญาณหมื่นนายก็หันไปมองดูฟากฟ้าที่ห่างออกไปเช่นกัน
มันแทบจะเหมือนกับว่าเสียงกลองแห่งสงครามได้ดังขึ้น ในวินาทีนั้น โนบูนางะ โนบูทาดะ และมุไร ซาดาคัตสึต่างรู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขาพุ่งพล่านไปด้วยความรู้สึกเดียวกัน – มันคือความตื่นเต้นที่ได้ห่างหายไปนานมากแล้ว
นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่การกวาดล้างดินแดนเล็กๆอย่างเมืองกู่เฉิงสามารถทำให้สงบลงได้
กลับกัน มันเป็นความรู้สึกที่เรียบง่ายกว่านั้น – อะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านที่กระตุ้นให้พวกเขาต้องมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบและปะทะเข้ากับกองกำลังทหารวิญญาณหลายหมื่นในคราวเดียว!
มันคือความกระหายเลือด
มันคือเสียงร้องของพลังหยินที่เดือนพล่านอยู่ภายในร่าง
หมับ…. โนบูทาดะกระชับมือที่ถือดาบคิคุอิจิมอนจิให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เขาจะได้เดินทัพไปกับการสำรวจครั้งนี้ด้วย และพ่อของเขาก็ได้มอบดาบคู่ใจเล่มนี้ให้
ดาบที่เป็นตัวแทนของความสำเร็จทั้งหมดในชีวิตของโนบูนางะ ตอนนี้…มันได้แสดงถึงการกลับมาอย่างมีชัย
“คารวะฝ่าบาท!” “คารวะท่านฉิน!” ทันใดนั้น เสียงคุกเข่าและโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพก็ดังขึ้นให้ได้ยินที่หน้าประตูนรก โนบูนางะและคนอื่นๆต่างหันไปหาต้นเสียง และพวกเขาก็พบว่าฉินเย่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายลมนรกที่รุนแรง
เขาไม่ได้สนใจเหล่าวิญญาณที่คุกเข่าอยู่รอบๆตนและมองขึ้นไปเส้นทางสีเลือดที่ลาดผ่านท้องฟ้า แม้แต่คนขี้ขลาดอย่างเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงแรงกระตุ้นจากส่วนลึกภายในใจ
นี่คือการต่อสู้ที่จะบ่งชี้ชะตากรรมของชาติ
นี่คือการต่อสู้ที่เป็นการเริ่มต้นขึ้นของยุครณรัฐของโลกใต้พิภพ
เส้นทางสีแดงบนท้องฟ้าทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกและตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ เขาจ้องมองมันเป็นเวลากว่าหลายนาที ก่อนจะก้มหน้าลงและเอ่ยเบาๆ “ก้าวแรกมักเป็นก้าวที่ยากที่สุดเสมอ”
แต่เขาก็รู้ดีว่าตนไม่ควรจมอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้ เขาดึงตัวออกจากความเศร้าหมองและกวาดสายตามองไปยังยมโลกที่กว้างใหญ่ เท่าที่เขาสามารถบอกได้ ยมโลกในตอนนี้เต็มไปด้วยทหารกล้าที่พร้อมออกรบ โนบูนางะ โนบูทาดะ มุไร ซาดาคัตสึ และทหารของคนทั้งสองจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ลุกโชน แทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาตั้งตารอคำสั่งอย่างกระตือรือร้น
นอกจากนี้ มันก็ยังมีแม่ทัพผู้หล่อเหล่าอีกสองนายที่แต่งกายด้วยชุดเกราะจากสมัยราชวงศ์ซ่งที่กำลังจ้องมองมาที่เขา
แม่ทัพผู้หญิงอีกสี่คนยืนอยู่ด้านหลังของชายทั้งสอง ไม่มีใครมีแววตาที่แสดงถึงความนุ่มนวลเลยแม้แต่น้อย กลับกัน แววตาของพวกนางกลับเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
ถัดมาของทั้งหกคือกองกำลังทหารจำนวนมากที่ยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับธงที่ปลิวไสวอย่างยิ่งใหญ่ ธงของพวกเขาทุกผืนล้วนมีคำเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ถูกเขียนเอาไว้ – ‘หยาง’
นอกาจกนี้ ฉินเย่ยังมองเห็นร่างขนาดมหึมาสี่ร่างที่ยืนอยู่ในกองกำลังขนาดใหญ่นั้นด้วย และแต่ละร่างก็มีความสูงประมาณ 30-40 เมตร เมื่อมองรวมๆแล้ว พวกมันไม่ต่างอะไรกับเนินเขาขนาดย่อมเลยแม้แต่น้อย
กองกำลังของยมโลกได้มารวมกับแล้ว!
ฉินเย่รู้สึกถึงคลื่นของความภาคภูมิที่ไม่สามารถอธิบายพุ่งพล่านอยู่ภายในอกของตัวเอง มันแปลกมาก นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่เขาควรจะรู้สึกเลยสักนิด เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันสมเหตุสมผลแล้วหรือที่คนขี้ขลาดอย่างเขาจะรู้สึกถึงความมีอำนาจจากความยิ่งใหญ่ของกองกำลังตรงหน้า?
แต่เมื่อได้ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและกลุ่มเมฆ ล้อมรอบโดยธงจำนวนมากที่ปลิวไสวในอากาศ มันก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะรู้สึกเช่นนี้
บางที…มนุษย์อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปล่อยวางจากความตื่นเต้น ความลึกลับของสิ่งที่ไม่รู้ และเสน่ห์ของการผจญภัยก็เป็นได้
“หยางเหยียนเจา” “หยางเหยียนเต๋อ” “ฮวาเจี่ยอวี่” “มู่กุ้ยอิง” “เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์” “ฮูเหยียนชื่อจิน”
แม่ทัพทั้งหกรีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและยกมือทำความเคารพฉินเย่ทันที “คารวะท่านจ้าวนรกแห่งยมโลก!”
“พวกเราทั้งหมดจะร่วมเดิมทางไปกับยมโลกเพื่อจัดการกับพวกวิญญาณกบฏทั้งหมด ขอให้ชื่อของยมโลกแห่งใหม่แพร่กระจายไปทั่วทั้งสามโลกอีกครั้ง!”
“ฮ่า!!!!” กองกำลังทหารวิญญาณหลายหมื่นนายที่อยู่ด้านหลังตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญ พวกเขาทั้งหมดสวมชุดเกราะกระดาษเหมือนอย่างที่ทหารของกองกำลงพันธมิตรของขงโม่สวม แม้แต่กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าก็ต้องสั่นเทากับเสียงตะโกนของพวกเขาราวกับกำลังหวาดกลัว
“ดี” ฉินเย่ใช้เวลากว่าสิบวินาทีในการข่มเปลวไฟที่สุมอยู่ภายในใจ “แม่ทัพผู้กล้าหาญทั้งหลาย ตอนนี้มีปัญหามากมายขึ้นเกิดขึ้นภายในมณฑลซานตง คนบาปแห่งขงจื๊อ ขงโม่ ได้นำขั้นตุลาการ 12 ตนไปสร้างความหายนะให้กับแดนมนุษย์ และราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย ทุกท่าน...เต็มใจจะติดตามข้าและเข้าสู่สมรภูมิอันดุเดือดเพื่อปราบการจลาจลทั้งหมดนี้หรือไม่?!”
เยี่ยมมาก
ราวกับว่าความกลัวและความขี้ขลาดภายในใจของเขาได้สลายหายไปจนหมดสิ้น เขารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองควรจะพูดในเวลาแบบนี้ควรจะเป็นอะไรประมาณ – “ขอให้เราทั้งหมดกลับมาอย่างมีชัย…”
แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยมันออกไป
“เราพร้อมตายเพื่อยมโลก!!!” เสียงตะโกนตอบรับดังกึกก้อง และความมุ่งมั่นของพวกเขาก็แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของยมโลกแห่งใหม่ ก้อนเมฆบนท้องฟ้าสั่นไหวเล็กน้อย ในขณะที่ใบไม้ปลิวว่อน แม้แต่เหล่าประชาชนที่มองดูภาพดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่ก่อตัวขึ้นจากความกล้าของทหารทั้งหมด
หวงเลี่ยงชวนกำลังยุ่งอยู่กับงานของตนภายใต้ต้นไม้เงินเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องที่กล้าหาญของเหล่าทหาร เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกมากมาย และขอให้ยมโลกกลับมาอย่างมีชัย
ในทำนองเดียวกัน กู่ชิงที่กำลังทำงานของคนอยู่ภายในห้องโถงก็หลับตาลงและพึมพำออกมาเบาๆ “สงครามนั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนาของชาตินั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนช่วงต่อของราชวงศ์ และตอนนี้…ช่วงเวลาที่เราต้องต่อสู้ก็มาถึง…”
สำหรับผู้ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ รวมกับคนที่โง่เขลาที่สุดก็ยังรู้สึกถูกกระตุ้นเป็นอย่างมาก ฉินเย่กวาดสายตามองโดยรอบอย่างเย็นชา ก่อนจะหันไปหาโนบูนางะ “โนบูนางะคุง ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกให้เจ้าเตรียมการทุกอย่างเกี่ยวกับการเดินทางสำรวจครั้งนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง ทุกอย่างพร้อมหรือยัง?”
“ทุกอย่างพร้อมหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” โนบูนางะะคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ประสานกำปั้นกับฝ่ายมือและเอ่ยตอบ “แผนการสามแผนการ และเสบียงทั้งหมดที่พระองค์ระบุเอาไว้ได้ถูกเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว โนบูทาดะและมุไร ซาดาคัตสึจะร่วมเดินทางไปกับการสำรวจในทั้งนี้ด้วย โดยแม่ทัพหยางเหยียนเจาจะเป็นผู้นำทัพพ่ะย่ะค่ะ”
ฉลาดมาก
ฉินเย่พยักหน้า มันเป็นเรื่องดีที่จะไม่แย่งชิงตำแหน่งของผู้นำทัพ เพราะอย่างไรแล้วความสามารถของโนบูทาดะก็ไม่สามารถเทียบได้กับความสามารถทางการทหารของหยางเหยียนเจาได้
“บันทึกพงศาวดารของยมโลกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกเตรียมการพร้อมแล้ว” อาร์ทิสปรากฏขึ้นด้านหลังของฉินเย่ด้วยเส้นผมที่สยายออกราวกับนางคือเทพปีศาจที่จุติลงมายังโลก “ข้าและกระจกส่องกรรมเองก็จะเข้าร่วมการเดินทางสำรวจครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”
ไม่เหมือนกับกองกำลังในแดนมนุษย์ กองกำลังของยมโลกไม่จำเป็นต้องเติมเสบียงหรือการขนส่งใดๆ การเตรียมการทุกอย่างเรียบง่าย ในวินาทีนี้ ดวงตาของทหารวิญญาณหลายหมื่นนายลุกโชนด้วยเปลวไฟนรก จ้องเขม็งมาที่ฉินเย่
พวกเขากำลังรอคอยคำสั่งอย่างใจจดใจจ่อ
“ดี…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆ “แม่ทัพทั้งหมด จงฟังคำข้า!”
“รับทราบ!!” เสียงจำนวนมากเอ่ยตอบกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“วันนี้ พวกเราจะเดินทัพไปยังเมืองหวู่หยาง!!”
“รับทราบ!!!”
อาร์ทิสกางแขนออกทันทีที่ฉินเย่เอ่ยออกไป และสมุดแห่งความเป็นตายก็เปล่งแสงสว่างจ้าที่ส่องประกายไปทั่วทั้งดินแดนและทำให้ก้อนเมฆในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดค่อยๆสลายไป
ในเวลานั้น กลุ่มเมฆดำที่ปกคลุมอยู่ด้านหน้าประตูนรกก็แยกตัวออกเป็นครั้งแรก เผยให้เห็นดินแดนที่อยู่นอกกำแพงทั้งสี่ด้านของยมโลก!
ดินแดนที่ดูแปลกประหลาดได้ถูกเปิดเผยต่อสายตาของทุกคนเป็นครั้งแรก
มันมืด ลึก และเต็มไปด้วยความลึกลับ
พรึ่บ…ทันใดนั้น ข้อความแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษของสมุดแห่งความเป็นตาย
“พงศาวดารนรก ปี 0001 ผู้สืบทอดตำแหน่งจ้าวนรก ฉินเย่ พร้อมด้วยกองกำลังทหารวิญญาณ 70,000 นาย มุ่งหน้าสู่มณฑลซานตง เริ่มต้นสงครามการขยายตัวครั้งแรกของยมโลก – มุ่งหน้าสู่เมืองหวู่หยาง”