ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 411 ดินแดนที่ไม่รู้จัก (1)
บทที่ 411: ดินแดนที่ไม่รู้จัก (1)
ครืนนน...ยมโลกสั่นเทาจากผลกระทบของสมุดแห่งความเป็นตาย กลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นในตอนแรกเบาบางลงและกลายเป็นทางเดินโล่งและปรากฎประตูขนาดใหญ่ที่สูงเทียมฟ้าปิดสนิทอยู่
ด้วยคำสั่งของฉินเย่ กองกำลังทหาร 7 หมื่นนายหันหน้าเข้าหาบานประตู กองกำลังทั้งหมดตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่ทั้งสองฝั่งของประตู พร้อมกับทางเดินที่กว้างประมาณ 10 เมตรลาดยาวระหว่างกลางราวกับโมเสสที่แยกทะเลแดง ฉินเย่อยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพ ในขณะที่อาร์ทิสประจำอยู่ด้านหลัง ตุลาการนรกทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศในสถานะยมทูตของพวกเขา มันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่พอสมควร แต่มันกลับดูเล็กอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับขนาดของประตู
บางสิ่งบางอย่างในภาพให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ราวกับพวกเขากำลังยืนประจัญหน้าอยู่กับยักษ์ไม่มีผิด
กองกำลังทหารวิญญาณดูราวกับว่าพวกเขากำลังเตรียมการที่จะท้าทายกับโลกอันกว้างใหญ่ภายนอก การเผชิญหน้ากับความแตกต่างทางขนาดทำให้โลกของทุกคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แม้แต่เขาประชากรที่เห็นการปะทะอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างเดวิดและโกไลแอธเองก็อดไม่ได้ที่มองมันด้วยลมหายใจที่ติดขัด
พวกเขาต่างตกตะลึงกับความกว้างใหญ่ของโลกภายใน และประหลาดใจกับสิ่งที่โลกเสนอให้
“เริ่มชักจะรู้สึกว่าตัวเองถูกกำหนดมาให้เป็นพระเจ้าของโลกนี้เลย…” เขากวาดสายตามองทหารวิญญาณนับหมื่นที่อยู่ด้านหลังของตน ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยและแย้มยิ้มบางกับตัวเอง “พอมองย้อนกลับไป เมื่อก่อนเราไร้เดียงสาแค่ไหนกัน? ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ตัวเองจะต้องมาเป็นผู้นำของคนจำนวนมาก...”
“ท่านเงียบไปเลย” อาร์ทิสปรายตามองฉินเย่ แทบจะเหมือนกับว่านางคือรุ่นพี่ในกลุ่มที่กำลังลงโทษรุ่นน้อง “ระวังท่าทีของตัวเองเสียบ้าง! ท่านรู้บ้างหรือไม่ว่ามีคนกี่คนที่กำลังจับตาดูท่านอยู่? ท่านช่วยปล่อยให้ข้าซึมซับบรรยากาศตรงนี้สักนิดไม่ได้เลยหรือ?!”
“…อย่างไรก็ตาม ข้าค่อนข้างดีใจนะที่เจ้าคิดแบบนั้น…จะว่าไป…ตอนนี้ข้าอยากเข้าห้องน้ำมาก ข้าควรจะทำอย่างไรดี?” เด็กหนุ่มจับขาของตัวเอง “ทุกครั้งที่รู้สึกกังวลข้าจะต้องอยากเข้าห้องน้ำทุกที..อาจจะต้องไปเช็กมันดูสัก—…”
ทันใดนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่พุ่งตรงมาที่เขา อาร์ทิสพึมพำเสียงเรียบ “ท่านจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่าข้าสามารถทำให้ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเข้าห้องน้ำอีก...ตลอดชีวิต?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่เข้าเกาะกุมหัวใจของตนเอง มันไม่สำคัญว่าอาร์ทิสจะกำลังพูดถึงกรณีใดก็ตาม…
จะว่าไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ควรคิดว่าพวกอาจารย์และเหล่าผู้นำมักจะพูดเรื่องสำคัญๆในทุกๆครั้งที่พวกเขาคุยกันเป็นการส่วนตัว เพราะพวกเขาอาจจะกำลังพูดถึงบางอย่างที่เล็กน้อยอย่างเรื่องพวกนี้ก็เป็นได้
ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังสนั่นให้ได้ยินจากที่ไกลๆ มันดังน่าตกใจจนทำให้ความปรารถนาที่จะบรรเทาความกังวลของฉินเย่หายไป จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา บานประตูขนาดใหญ่ก็ค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแสงสว่างที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
กึก กึก กึก กึก… ประตูถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ส่องสว่างโลกที่ดำมืดของพวกเขาด้วยรัศมีที่เจิดจ้า
“นี่มัน…” ณ พื้นที่ก่อสร้าง วิญญาณทั้งหมดชูคอขึ้นและมองไปยังบานประตูบนท้องฟ้าด้วยความเหลือเชื่อ ยมโลกรู้จักสีเพียงแค่สามสีเท่านั้น และนั่นก็คือสีดำ สีขาว และสีแดง แต่ในวินาทีที่ประตูขนาดใหญ่ถูกเปิดออก ทั่วทั้งยมโลกก็ถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองอ่อน มันคือสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งพวกเขาไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
“ดวงอาทิตย์… นี่มันแสงอาทิตย์!!” “มันคือดวงอาทิตย์…ด้านนอกของยมโลกมีแสงอาทิตย์อยู่ด้วย?” “ไม่น่าเชื่อ! มันคือแสงอาทิตย์จริง ๆ !” “พระเจ้า…มีแสงอาทิตย์ข้างนอกอย่างนั้นหรือ? นี่หมายความว่าแสงอาทิตย์จะส่องเข้ามายังยมโลกทันทีที่เราเริ่มก้าวแรกสู่ทางหลวงของชาติอย่างนั้นหรือ?”
เสียงพูดคุยอย่างอื้ออึงดังก้องไปทั่ว แม้แต่พวกต้นไม้ในยมโลกเองก็เริ่มส่งเสียงเบา ๆ ราวกับว่าพวกมันกำลังพูดถึงความพัฒนาเหล่านี้
ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางเสียงพูดคุย อาร์ทิสและฉินเย่ต่างแน่นิ่งไป ก่อนจะหันไปมองหน้ากันและกันด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“มีแสงอาทิตย์อยู่ในยมโลกด้วยอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ถาม
“เป็นไปไม่ได้! แหล่งกำเนิดเสียงเพียงอย่างเดียวก็คือคบเพลิงที่ถูกถือโดยจู้หรงหรือราชันอัคคีแห่งทิศทักษิณ แต่ตั้งแต่ที่มันถูกพาไปยังสรวงสวรรค์พร้อมกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ร่างของมันก็นอนแน่นิ่งอยู่ใต้สะพานแห่งความจนใจมาตลอด!” น้ำเสียงของอาร์ทิสเองก็เต็มไปด้วยความร้อนรนไม่แพ้กัน ในเสี้ยววินาทีต่อมา นางก็หันกลับไปอย่างช้าๆและจ้องมองออกไปนอกประตูพร้อมกับตรวจดูดินแดนด้านนอก
ท้องฟ้าสีครามและแสงแดดที่อบอุ่นฉายอยู่ทั่วทุกที่ ถึงแม้ว่าผืนดินจะไม่ได้เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่พวกมันก็ยังเต็มไปด้วยทรายสีเหลืองอ่อนและหินชนิดต่างๆ มันไม่ได้รกร้างและโดดเดี่ยวอย่างที่พวกนางได้คาดการณ์เอาไว้ หากพูดกันตามตรง มันยังมีพืชพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วนปรากฏให้เห็นอีกด้วย
แต่มันก็เป็นเพราะความหลากหลายของพันธุ์พืชนั้นเองที่ทำให้แผ่นหลังของอาร์ทิสสั่นไหว
“มันมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…” นางกัดฟันแน่น “การล่มสลายของยมโลกได้ทำให้ระบบนิเวศน์ทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล นี่คือข้าได้เคยพูดไว้ในอดีต! ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”
“ตอนนี้เราไม่รู้อีกแล้วว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด มันอาจจะดีกว่าสิ่งที่เราได้เตรียมตัวเอาไว้…แต่มันก็อาจจะแย่กว่าได้เช่นกัน”
ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “แล้วอาลยวิญญาณของเจ้าเล่า?”
อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะหันไปมองด้านนอกอีกครั้ง “ไม่จำเป็น สัญชาตญาณของข้าบอกข้าว่าอันตรายที่อยู่ด้านนอกนั้นรุนแรงกว่าการเดินทางที่ข้าเคยเข้าร่วมมาในอดีตเสียอีก! ไปเถิด เราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว ยิ่งประตูบานนี้ถูกเปิดนานเท่าไหร่ พลังหยินก็จะยิ่งแพร่กระจายออกไปมากเท่านั้น หากด้านนอกมีสิ่งที่อันตรายอยู่จริง ๆ … พวกมัน… จะต้องรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของเราได้แน่”
ฉินเย่พยักหน้านี้ ความกลัวที่ไม่รู้จักค่อยๆแพร่กระจายออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ เขายกมือขึ้นช้า ๆ จากนั้นก็กดมันลงอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ทันใดนั้น เสียงเป่าแตรยาวก็ดังขึ้น และเสียงกลองสงครามก็ถูกตีด้วยจังหวะที่หนังหน่วง พร้อมกับเสียงกู่ร้องที่ดังสนั่น กองกำลังทหารวิญญาณ 7 หมื่นนายรีบมุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนที่ไม่รู้จักด้านนอกอย่างไม่หวั่นเกรง
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง… หวูดดดดดดดด! มันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ในทำให้เลือดในกายของวิญญาณทุกตนเดือดพล่าน ประชากรวิญญาณทั้งหมดละวางสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่และหันไปมองดูการเดินทัพของทหารวิญญาณเหล่านั้น ความเป็นพิธีการและความจริงจังที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้ลมหายใจของพวกเขาร้อนผ่าว ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ทหารวิญญาณอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่าพวกเขากำลังส่งจิตวิญญาณของตนไปกับอีกฝ่ายและขอให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ในวินาทีอันสั้นนั้น พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เห็นสงครามการขยายตัวครั้งแรกของยมโลกด้วยตัวของตัวเอง พวกเขาคือผู้ที่ได้เห็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ – พวกเขากำลังมองดูการออกเดินทางครั้งแรกของยมโลกหลังจากการล่มสลายครั้งใหญ่!
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าด้านนอกนั้นคือดินแดนแห่งใหม่ที่กำลังรอการสำรวจ หรือว่าคือสามเหลี่ยมปีศาจที่กำลังรอที่จะกลืนกินทุกคนที่ก้าวเข้าไปกันแน่
ตุบ ตุบ ตุบ! กลุ่มทหารที่ขี่หลังของเสือโคร่งโครงกระดูกวิ่งออกไปก่อน ตามมาติด ๆ ด้วยทหารราบหลายหมื่นนายที่สวมชุดเกราะกระดาษพร้อมกับถือหอกและโล่ที่ทำมาจากกระดาษเช่นกัน กลุ่มสุดท้ายที่ก้าวออกไปคือพลธนูที่ถืออาวุธครบมือ การเดินทัพของทหารวิญญาณทั้งหมดเรียบร้อยแล้วเป็ยระเบียบ แทบจะเหมือนกับแม่น้ำที่หลั่งไหลออกไปด้านนอก ฉินเย่และอาร์ทิสลอยอยู่เหนือกองกำลังของพวกเขาราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า ส่องประกายและคอยจับตาดูการเดินทัพของกองกำลังด้านล่าง
ทันใดนั้น ใครบางคนก็ตะโกนขึ้น “ขอให้ยมโลกแห่งใหม่กลับมาอย่างมีชัย!!”
หลังจากนั้น ทุกคนที่อยู่โดยรอบก็เริ่มตะโกนออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจของตนเอง ภายในไม่กี่วินาที คำอวยพรมากมายดังขึ้นจนกลบเสียงกลองสงครามและแตรยาวไปจนหมด “ขอให้ฝ่าบาทกลับมาพร้อมกับชัยชนะอันรุ่งโรจน์!!”
ในขณะเดียวกัน ประตูขนาดใหญ่ถูกเปิดออกจนสุด และลำแสงสีทองก็สาดส่องเข้ามา นำความสว่างมาให้กับกองกำลังทหารหมื่น 7 นายที่เดินทัพออกไปด้านนอก จากนั้น ฉินเย่และอาร์ทิสก็ก้าวเท้าออกไปพร้อมกัน
ฟึ่บ... มันรู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้ก้าวออกมาจากความมืดมิดและพบเข้ากับแสงสว่าง แสงอาทิตย์ด้านนอกทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้มองไปรอบๆอย่างละเอียด พวกเขาก็พลันรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองหนักอึ้ง และพวกเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้นทันที
ความสามารถในการลอยตัวอยู่กลางอากาศของขั้นตุลาการนรกสลายไปนับตั้งแต่ตรงนี้
อาร์ทิสมองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยความหวาดระแวง “ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่ได้ถูกปกครองด้วยสวรรค์ด้วยซ้ำ… ข้าเกรงว่าทุกอย่างอาจจะเลวร้ายกว่าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้เสียแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉินเย่ถาม เขาเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน แสงอาทิตย์ ใบหญ้า ต้นไม้ ทรายและหิน…ทุกอย่างล้วนดูสงบสุข แต่…มันกลับดูสงบสุขเกินกว่าที่จะเป็นความจริงได้
ไม่มีทั้งเสียงลมหรือเสียงของอสูรวิญญาณ มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ถูกโลกทอดทิ้ง
พวกเขาเห็นทิวเขาอยู่ไกลออกไปและพืชพันธุ์ต่างๆมากมายที่อยู่รอบๆ และมันอาจจะมีแม่น้ำไหลผ่านอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น มันกลับไม่มีเสียงของธรรมชาติดังขึ้นให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย มันไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับประสบการณ์ในโลกแห่งความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
กลับกัน…มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังติดอยู่ในฝันร้ายที่น่ากลัว
มันดูไม่ต่างอะไรกับผิวหน้าที่สวยงามและสงบสุขที่พร้อมจะพังทลายลงมาทุกเมื่อ และเผยให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงของดินแดนที่อยู่เบื้องล่าง
ฟึ่บ...ทหารวิญญาณได้จัดแถวเป็นจตุรัสขนาดใหญ่ที่คุ้มกันผู้นำทั้งสองของพวกเขาไว้ด้านใน อาร์ทิสเอ่ยตอบ “ก่อนหน้านี้ ไม่ว่ายมโลกจะเดินทางไปที่ใด ทุกอย่างล้วนยังคงตกอยู่ภายใต้อำนาจของสวรรค์ ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งใด บางคนบอกว่ามันคือกฎของธรรมชาติที่โลกจำต้องยึดถือ เหมือนดั่งที่มนุษย์จะต้องหายใจ หรือปลาจะต้องว่ายน้ำ ทั้งหมดนี้คือกฎและข้อบังคับที่มีอยู่จริง และไม่สามารถตั้งคำถามกับมันได้”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหรี่ตามองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องอยู่ทั่วไปหมด แต่นางกลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เลยสักดวงเดียว
มันแทบจะเหมือนกับว่า…ทุกอย่างมาจากการจ้องมองของอสูรขนาดใหญ่ที่กำลังจ้องมองมาที่พวกนางจากเหนือท้องฟ้าที่กว้างใหญ่
“แต่ถ้าที่แห่งนี้ถูกแยกตัวออกจากกฎของสวรรค์ เช่นนั้นท่านก็สามารถพิจารณาได้ว่าทุกอย่างที่นี่นั้นไม่ใช่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งสามอีกต่อไป นี่คือแนวคิดที่ยากจะอธิบายและยากที่จะเข้าใจ แต่ท่านจะเข้าใจเองเมื่อได้เห็นมัน เขื่อข้าเถิด เรากำลังพูดถึงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอสูรกลืนวิญญาณระดับสูงเสียอีก”
พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง กลุ่มเมฆที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาก็เริ่มบิดเบี้ยวไปมา เมื่อขั้นตุลาการนรกทั้งสองหันกลับไปมอง พวกเขาก็พบว่าประตูขนาดใหญ่ที่พวกตนเดินออกมาก่อนหน้านี้ได้หดเล็กลงอย่างมาก...และมันก็หายวับไปในชั่วพริบตา! ภายในเวลาไม่กี่วินาที มันมีขนาดเหลือไม่ถึงหนึ่งกำปั้น และจากนั้น…มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
เฮือก!! แม้แต่เหล่าทหารวิญญาณที่อยู่บนพื้นเองก็เผลอร้องครางออกมาเบาๆด้วยความตกใจเช่นกัน!
ดวงตาหลายคู่วูบไหวด้วยความหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะวินัยของทหารที่ถูกปลูกฝังมา พวกเขาคงจะตกอยู่ในความวุ่นวายกันหมดแล้ว! วินาทีนี้ ทหารบางนายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ
“เงียบ!!!” ฉินเย่ตะโกนออกไปแทบจะทันที “มีสิ่งใดให้ต้องกลัวกัน? ยมโลกยังคงอยู่ ทั้งหมดที่เราต้องการมีเพียงคำอนุญาตจากข้าในการกลับเข้าไปเท่านั้น!”
หวูดดดดดดด! เสียงแตรของกองทัพดังขึ้น ราวกับตอบรับคำประกาศของเขา หลังจากนั้นไม่นาน ทหารวิญญา ณทั้งหมดก็เงียบเสียงลงในที่สุด
แผ่นหลังของฉินเย่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไม่มีทหารวิญญาณตนใดรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อครู่นี้ แม้แต่ฉินเย่เองก็สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้เช่นกัน นี่มันเเกิดบ้าอะไรขึ้น?! ประตูบานใหญ่ขนาดนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร?! นี่มันฝันร้ายชัดๆ!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
อาร์ทิสไม่ได้ตอบออกไปในทันที กลับกัน นางเพียงมองไปยังขอบฟ้าต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “นี่คือ…กลไกป้องกันตัวอัตโนมัติของยมโลก”
“ลองคิดดู มันเกิดอะไรขึ้นกับยมโลกแห่งเก่าในช่วงก่อนที่ทางหลวงของชาติจะถูกสร้างขึ้น? พวกเรากำลังพูดถึงยุคสมัยที่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่มีให้ฟังได้ทั่วทุกที่ มันมีอสูรระดับมหากาพย์อย่างอิ้งหลงและงูบินเต็มไปหมด เช่นเดียวกันกับที่งูหลามยักษ์และแมมมอธเคยปรากฏขึ้นในยุคสมัยเริ่มต้นของมนุษยชาติเมื่อนานมาแล้ว!”
“โลกใต้พิภพจะต้องล่มสลายทันทีที่มันถูกค้นพบโดยสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพัฒนาโลกใต้พิภพในกรณีนั้น ดังนั้น สวรรค์จะสร้างกลไกป้องกันตัวอัตโนมัติของยมโลกขึ้น เพื่อที่แม้ว่ายมโลกจะยังอ่อนแอและมีขนาดเล็ก และอยู่ในสภาวะที่สามารถถูกคุกคามโดยสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง ยมโลกก็จะไม่มีทางถูกค้นพบโดยสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าที่อยู่โดยรอบ!”
ฟันของฉินเย่เริ่มกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เขาพึมพำตอบด้วยเสียงที่สั่นเทา “เจ้าหมายความว่า…เหตุผลเดียวที่ยมโลกไม่เคยถูกจู่โจมโดยอสูรวิญญาณก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่า…มันสามารถปกปิดตัวเองได้? และนี่ยังเป็นเพราะว่ามันมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำลายยมโลกได้?”
“อย่างน้อยที่สุด นี่ก็เป็นความจริงในตอนที่ยมโลกเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้น” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาขณะที่หรี่ตาลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ การออกมาจากยมโลกแห่งใหม่ก็ทำให้เราได้เห็นถึงเรื่องผิดปกติบางอย่าง… จะว่าไป…ใน ที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเราถึงไม่ได้ยินเสียงอสูรวิญญาณเลยสักตนแถวนี้ ทั้ง ๆ ที่สภาพแวดล้อมโดยรอบในเวลานี้ถือได้ว่าเป็นระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ แต่เหตุใดมันถึงยังเงียบขนาดนี้กัน? ”
ทันใดนั้น ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ฉินเย่หันหน้าไปมองยังจุดๆเดียวกันกับที่อาร์ทิสกำลังจ้องมองอยู่ทันที
เหตุใดมันถึงเงียบขนาดนี้น่ะหรือ?
คำตอบนั้นชัดเจน
เพราะหากมีเสืออยู่ในป่า สภาพแวดล้อมโดยรอบเองก็จะเงียบไปเช่นกัน
มันไม่ใช่ว่าความเงียบเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่แท้จริงแล้ว…ทุกอย่างถูกทำให้เงียบลงต่างหาก!
ทันใดนั้นฉินเย่ก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างจากด้านหลังของทิวเขา มันคือปีกคู่หนึ่ง
ปีกที่มีสีสันสดใส
มันเป็นภาพที่งดงามราวกับผีเสื้อที่เพื่อหลุดออกมาจากดักแด้
แต่เด็กหนุ่มรู้ดี นั่นไม่มีทางเป็นผีเสื้ออย่างแน่นอน
มันคือเสือ ในวินาทีที่มันกางปีกออก คลื่นพลังหยินที่เห็นได้ชัดว่ากำลังจะก้าวขึ้นสู่ขั้นฝู่จวินก็กวาดไปทั่วทั้งดินแดน!
โฮกกกกก!!! เสียงร้องที่ดังสนั่นทำให้พืชพันธุ์ทั้งหมดในบริเวณต้องสั่นเทา ทหารวิญญาณทั้งหมดยกอาวุธของตนขึ้นอย่างหวาดกลัว ทันใดนั้น หยางเหยียนเจาที่ยืดหยัดอยู่หน้ากองกำลังก็ตะโกนออกมาสุดเสียง “ระวัง! กระชับค่ายกล! ศัตรูมาแล้ว!!”
————————————————–
เดวิด และโกไลเเอธ David & Goliath เด็กหนุ่มผู้ล้มยักษ์
ตำนานของชาวอิสราเอลที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนาน เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวตะวันตกและก็พอจะได้ยินอยู่บ้างในประเทศไทย ปรากฎอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ฉบับพันธสัญญาเดิม เรื่องราวของดาวิดเด็กหนุ่มที่ต่อสู้เอาชนะนักรบร่างยักษ์ ปกป้องเมืองตัวเองจากการรุกรานได้