ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 414 ดินแดนที่ไม่รู้จัก (4)
บทที่ 414: ดินแดนที่ไม่รู้จัก (4)
ซ่ากกกก– อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดสำหรับฉินเย่ก็คือการที่ราชาอสูรวิญญาณไม่มีเลือดไหลออกมาเลยแม้แต่หยดเดียวแม้ว่ามันจะถูกหั่นร่างเป็นชิ้น ๆ กลับกันเหมือนจะมีเพียงเสียงกรีดร้องบีบหัวใจที่ไร้ที่สิ้นสุด
“บ้าไปแล้ว…มันยังไม่ตายอีกอย่างนั้นหรือ?!” ฉินเย่ตกใจกับทั้งการแสดงพลังที่น่าเหลือเชื่อของอาร์ทิสและเจตจำนงที่จะมีชีวิตรอดของราชาอสูรวิญญาณ เขาลอบกลืนน้ำลายอย่างหวั่นสะพรึง ในเสี้ยววินาที ชิ้นส่วนของราชาอสูรวิญญาณที่อยู่บนพื้นก็พุ่งกลับลงไปในเหวไร้ก้นบึ้งอย่างรวดเร็ว
มันกำลังกลัว…
มันกำลังหวาดกลัวอาร์ทิสอย่างแท้จริง มันไม่คิดเลยว่าจะได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังแบบนี้ ใจสู้และความกล้าที่เคยมีไม่เหลืออยู่อีกต่อไป
ฟึ่บ...สายลมสีดำสนิทพัดผ่านศีรษะของฉินเย่ และเศษส่วนเล็กน้อยของร่างก็พุ่งออกไปพร้อมกันราวกับฝูงกา ทิ้งไว้เพียงชัยชนะในการต่อสู้
ท่านรากษสยังคงนั่งอยู่ที่จุดสูงสุดของแท่นดอกบัว 18 ชั้น
ฉินเย่กระแอมออกมาแห้งๆและรวบรวมความกล้าทั้งหมดของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แท่นดอกบัวอย่างระมัดระวัง “Hello? อาร์ตี้อยู่ไหม? บอกให้นางช่วยข้าควบคุมลอร์ดแอรอน–…” [1]
ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ แทนดอกบัวก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอีกครั้ง ก่อนที่มันจะสลายหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนที่มันปรากฏขึ้นมา เหลือไว้เพียงร่างปกติของอาร์ทิสซึ่งตกลงมาจากกลางอากาศ โดยสัญชาตญาณ ฉินเย่เอื้อมมือออกไปรับร่างของอีกฝ่ายทันที
“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินเย่เอ่ยปากถามอย่างตกใจ เขาสัมผัสได้ว่าร่างของอาร์ทิสนั้นเย็นยะเยือกและยังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เด็กหนุ่มรีบเอาน้ำแข็งทั้งหมดออกจากร่างนั้นทันที
แต่ขณะที่เขากำลังพยายามปัดมันออกเป็นรอบที่สาม อาร์ทิสก็คว้ามือของเขาเอาไว้และพึมพำด้วยเสียงที่สั่นเทา “เราจะต้องไปเดี๋ยวนี้…”
ฉินเย่กระพริบตามองปริบๆ
นี่…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดงละครอย่างนั้นหรือ?
“ท่านจะไปรู้อะไร?!” แม้ว่าร่างกายจะยังอ่อนแอ แต่นางก็รวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดของตัวเองและตะโกนใส่ฉินเย่ “ใช่ ข้าสามารถกำราบมันได้ แต่ข้าไม่มีทางสามารถทำลายมันได้ ท่านคิดว่าอสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรกระดับสูงนั้นสามารถฆ่าได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ? นอกจากนี้…”
“แค่ก แค่ก แค่ก...” นางไอออกมาหลายหนก่อนจะหอบหายใจอย่างอ่อนแรง “มัน…ไม่ได้ถอยหนีเพราะหวาดกลัวข้า…”
“ข้าคือผู้ที่ได้สู้กับมัน ดังนั้นข้าย่อมรู้ดีว่ามันยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่และยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ แต่ถึงกระนั้น…มันก็ยังเลือกที่จะไม่ใช้มันและเลือกที่จะหนีแทน มันไม่ได้กลัวข้า… มันกลับมีอย่างอื่น… และไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร… ข้าเกรงว่า… มันอาจจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้านี้…”
“พวกเราจะต้องไปจากที่นี่…เดี๋ยวนี้! การล่มสลายของยมโลกได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรต่อไป…”
แต่แล้ว ฉินเย่ก็เหลือบมองไปยังท้องฟ้าอย่างครุ่นคิด “ข้าคิดว่า…สิ่งที่มันกลัว…ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว และสายฟ้าก็ผ่าลงมาพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น
สายฟ้าเส้นดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนี้ มันยังเป็นสีแดงเลือดอีกด้วย
สายฟ้าเส้นแรกที่ผ่าลงมาอยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร แต่มันกลับส่งคลื่นกระแทกที่ทรงพลังที่กระเพื่อมไปรอบๆจนสามารถเห็นผลกระทบของมันได้ด้วยตาเปล่า อาร์ทิสและฉินเย่อ้าปากค้างออกมาพร้อมกัน
สิ่งที่ราชาแมงมุมหวาดกลัวก็คือธรรมชาติ
ครื้น!
ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆดำที่เกิดฟ้าแลบเป็นระยะๆ หากลองตั้งใจฟังดูดี ๆ พวกเขาก็อาจจะได้ยินเสียงหัวเราะของทารกที่ดังเล็ดลอดมาจากเสียงของฟ้าร้องอีกด้วย
“ฮ่า ๆ ๆ… ฮ่า ๆ ๆ…” นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้น เปลวไฟบางอย่างก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้าและระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟ
มันคือสัญญาณจากหยางเหยียนเจา
“พวกเขาอยู่ห่างออกไปประมาณสิบกิโลเมตรแล้ว และก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยกันแล้วเช่นกัน” ฉินเย่หรี่ตามองไปยังทิศทางที่พลุถูกจุดขึ้นขณะที่เขาแบกร่างของอาร์ทิสไว้บนหลังและมุ่งหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว
ครื้น…เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมาถึงของพายุลูกใหญ่ สายฟ้าสีแดงผ่าลงมาทุกๆ 2-3 นาที ระเบิดรูขนาดใหญ่บนฟื้นและส่งคลื่นกระแทกที่รุนแรงออกมาจากจุดของการกระทบ ฉินเย่หวาดกลัวจนแทบเสียสติ ให้ตายเถอะ!! นี่มันเรียกว่าสายฟ้าได้อย่างไร?! นี่มันอาวุธนิวเคลียร์ชัดๆไม่ใช่หรือ?! เวลานี้ไม่มีผู้ใดรู้ได้เลยว่าจะขั้นตุลาการนรกจะสามารถรอดชีวิตไปได้หรือไม่หากถูกผ่าด้วยสายฟ้าที่ทรงพลังเช่นนี้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เขาเหลือบตาไปมองท้องฟ้าที่น่าหวาดกลัวด้านหลัง สั่นสะท้านกับความคิดที่ว่าเมื่อใดพายุฝนฟ้าคะนองนั้นจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม เขารีบสะลัดความคิดเหล่านั้นออกไปและให้ความสนใจไปกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า – เขาหวังว่าหยางเหยียนเจาจะตั้งค่ายเรียบร้อยแล้วในตอนที่จุดพลุสัญญาณขึ้นมา เพราะหากเขายังไม่ทำ…ผลที่ตามมาจะต้องเลวร้ายอย่างคาดไม่ถึงแน่ ๆ !
ฉินเย่ไม่ต้องการใช้ร่างกายขั้นตุลาการนรกของเขาในการทดสอบความรุนแรงของสายฟ้าสีแดงเข้มเลยสักนิด!
เด็กหนุ่มพยายามข่มความวิตกกังวลภายในใจและรีบมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่พลุสัญญาณถูกจุดขึ้นด้วยความเร็วสูงสุด ในขณะเดียวกัน กลุ่มก้อนเมฆที่ปกคลุมเหนือท้องฟ้าก็ยังคงก่อตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันอิ่มตัวและเริ่มเทสายฝนลงมา และจากนั้น พวกเขาก็ตามกองทัพทันในที่สุด
ตอนนี้พวกเขากำลังหยุดพักอยู่ที่เทือกเขาแห่งหนึ่ง
และฉินเย่ก็ไม่ต้องกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย หยางเหยียนเจานั้นเหมาะสมกับที่เป็นหนึ่งในแม่ทัพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของตระกูลหยางอย่างแท้จริง จุดพักของพวกเขาตอนนี้คือจุดตั้งแคมป์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในองค์ประกอบใด ๆ ก็ตาม ตัวเทือกเขาทอดยาวออกไปหลายกิโลเมตร และมันก็เต็มไปด้วยรูและรอยแยกที่นำไปสู่ถ้ำลึก ทันทีที่ฉินเย่ไปถึง เขาก็พบว่ากองกำลังทั้งหมดได้ปีนเข้าไปอยู่ช่องต่าง ๆ ที่กระจายอยู่รอบๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันเป็นที่ซ่อนชั้นเยี่ยมสำหรับพายุฝนฟ้าคะนองที่กำลังจะมาถึง หยางเหยียนเจาและโนบูทาดะกำลังรอพวกเขาอยู่ที่หน้าเทือกเขา
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านอรากษสหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เมื่อหยางเหยียนเจาสังเกตเห็นว่าฉินเย่แบกอาร์ทิสมาบนหลังก็รีบถามทันที “อย่างไรก็ตาม รีบเสด็จเข้าไปในที่กำบังก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ! พายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาถึงแล้ว!”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรออกมา ฉินเย่รีบเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในถ้ำทันที และเขาก็พบว่าแม่ทัพคนอื่น ๆ เองก็อยู่ที่นั่นด้วย ทุกคนต่างรอคอยการมาถึงของเขา
“ฝ่าบาท” ทันทีที่เขาเข้าไป แม่ทัพทั้งหมดก็ลุกยืนขึ้นและถวายความเคารพทันที หลังจากระงับความหงุดหงิดภายในใจ ฉินเย่ก็โบกมือให้คนทั้งหมดนั่งลงตามเดิม คนทั้งหมดเข้าใจถึงความหงุดหงิดของฉินเย่เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงนั่งอยู่เงียบ ๆ ขณะที่มองออกไปยังท้องฟ้าที่ดำมืดด้านนอกแทน
ไม่มีใครในที่นี้มีความสามารถที่จะกล้าออกไปออกคำสั่งกับเหล่าทหารวิญญาณที่อยู่โดยรอบแม้แต่คนเดียว พวกเขาไม่ต้องการพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับการถูกฟ้าผ่าเลยแม้แต่น้อย
เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นภายในถ้ำ ในขณะที่ด้านนอก ท้องฟ้าสีดำก้อนใหญ่อิ่มตัวโดยสมบูรณ์ มันเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่ฝนจะตกลกมาอย่างหนัก สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงมาบนพื้นราวกับว่าพวกมันคือหยาดฝน
ฉินเย่จ้องมองภาพที่น่าเหลือเชื่อด้วยนอกและถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย
เขาเคยเห็นพายุฝนฟ้าคะนองมาก่อน แต่สิ่งที่เขาเห็นในยามนั้นกลับไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
สายฟ้าผ่าลงมาทั่วทั้งดินแดนราวกับการระบายความโกรธของเทพเจ้าสายฟ้า ฉินเย่เคยได้ยินเกี่ยวกับม่านฝนมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างม่านสายฟ้า นอกจากนี้ สายฟ้าพวกนี้ยังดูแตกต่างไปจากสายฟ้าในแดนมนุษย์อีกด้วย และความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของพวกมันก็คือสี สายฟ้าแต่ละเส้นดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าสายฟ้าธรรมตาทั่วไป แรงระเบิดของพวกมันแต่ละเส้นทำให้ฝุ่นตลบไปทั่ว แทบจะเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังไถดินด้วยคันไถอยู่
ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีแดง ในขณะที่พื้นดินถูกปกคลุมด้วยเศษกลุ่มควันและเศษดินที่กระจัดกระจายจากการระเบิด มันเป็นภาพที่ชวนใจหายอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็กินเวลานานพอสมควรก่อนที่พายุฝนฟ้าคะนองดังกล่าวจะสงบลงและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม พายุฝนฟ้าคะนองดังกล่าวได้ทิ้งร่องรอยที่ชัดเจนไว้บนผืนดิน หยางเหยียนเจากำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปสั่งให้ทหารวิญญาณทั้งหมดเพื่อสั่งให้ตั้งแคมป์ขึ้น แต่แล้วเขาก็ถูกใครบางคนคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ฝ่าบาท?” หยางเหยียนเจาหันกลับไปมองด้วยแววตาสงสัย แต่ก็ยอมให้ฉินเย่เดินนำตนออกไปนอกถ้ำเงียบ ๆ
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็ละสายตาและเอ่ยกับอีกฝ่าย “ใจเย็นๆ ดูก่อนเถิดว่าอรากษสเป็นอย่างไรบ้าง…”
“ข้าไม่เป็นไร” เสียงหนึ่งตอบขึ้นจากด้านหลังของฉินเย่ “แต่เหตุใดท่านจึงบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบกัน? ถึงแม้ว่าข้าจจะไม่ค่อยรู้อะไรนัก แต่ข้าก็รู้ดีว่าทุกการตัดสินใจที่ท่านได้ทำลงไปในขณะที่อยู่ในโหมดจริงจังนั้นไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยืนเอาหลังพิงกับผนังบริเวณทางเข้าของถ้ำ “มันผ่านมาร้อยปีแล้วนับตั้งแต่การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าใช่หรือไม่?”
จากนั้นก็เอ่ยต่อ “พายุฝนฟ้าคะนองอย่างเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? ทุกๆร้อยปี? มันเพียงแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจว่าฉินเย่กำลังต้องการจะสื่ออะไร และตอนนี้นางก็ยังรู้สึกว่าตนเองนั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ดวงตาของหยางเหยียนเจาเป็นประกายขึ้น “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะว่าพระองค์ทรงหมายถึงสิ่งใด”
“หืม?” ฉินเย่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสนใจ
“พายุฝนฟ้าคะนองนั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เหมือนดั่งเช่นสายฝนที่ตกกระหน่ำในแดนมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วทุกที่” หยางเหยียนเจาเดินไปที่ด้านหน้าของถ้ำและมองออกไปยังพื้นดินด้านล่าง ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงขณะที่อธิบายต่อ “แต่พายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงเช่นนี้นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากพูดกันตามความจริง มันรุนแรงจนเปลี่ยนภูมิประเทศโดยรอบทั้งหมดไป ท่านลองดูสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นนี่สิ หากมันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไปอย่างพายุฝนฟ้าคะนองอื่นๆจริง เหตุใดเราจึงไม่เห็นร่องรอยของมันตั้งแต่ที่เราก้าวออกมาจากยมโลกกัน?”
“ใช่แล้ว…” โนบูนางะลูบคางของตัวเองและเอ่ยออกมา “หากมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ดินแดนแถวนี้ก็คงจะพังทลายไปหมดแล้ว แต่…มันกลับไปเป็นเช่นนั้น”
หยางเหยียนเจาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และกวักมือเรียกคนทั้งหมดพร้อมกับทำท่าทางบอกให้ทุกคนอยู่เงียบ ๆ “มันเป็นเพราะสิ่งนี้…”
คนทั้งหมดเดินมารวมกันที่ปากถ้ำ ก่อนจะชะโงกหน้ามองลงไป และพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
บนพื้นเด็มไปด้วยรอยแตกมากมาย
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามีร่างมากมายนั่งอยู่ข้าง ๆ รอยแตกพวกนั้น!
ร่างดังกล่าวไม่ใช่มนุษย์ กลับกัน มันคือโครงกระดูกที่ไว้ผมยาว แต่งกายด้วยชุดของสตรีในยุคสมัยโบราณ พร้อมกับเข็มและด้ายอยู่ในมือขณะที่ค่อยๆเย็บผืนดินทั้งหมดให้กลับเป็นปกติอีกครั้ง!
นอกจากนี้ พวกเขายังเห็นอีกว่ารอยแยกบนพื้นนั้นเผยให้เห็นเนื้อสีชมพูแดงที่อยู่ด้านใน แทบจะเหมือนกับว่ามันคือรอยฉีกบนผิวหนังของสิ่งมีชีวิตที่เผยให้เห็นเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใต้! นอกจากนี้…พวกเขายังพบว่ามันยังมีดวงตาสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองออกมาจากรอยแยกนั้น!
ในขณะเดียวกัน ร่างโครงกระดูกทั้งหมดก็พยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะเย็บผืนดินที่ขาดออกให้กลับเป็นเหมือนเดิมด้วยเข็มกับด้ายในมือ พื้นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยรอยแยก และจำนวนของเหล่าผู้ช่วยโครงกระดูกที่ปรากฏตัวขึ้นเองก็มากไม่แพ้กัน มันเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เมื่อเข็มและด้ายถูกเย็บผ่านจุดใด รอยแยกบริเวณนั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย และเมื่อรอยแยกดังกล่าวถูกปิดผนึกแล้ว ผู้ช่วยโครงกระดูกเองก็หายไปจากธารสายตาและกลายเป็นดอกไม้ป่าหรือไม่ก็กอหญ้าแทน ในขณะเดียวกัน ผืนดินที่พวกนางเย็บก็ถูกปกผนึกอย่างแนบเนียนจนไม่มีร่องรอยของความเสียหายเลยแม้แต่น้อย!
มันน่าเหลือเชื่อมาก นี่เป็นภาพที่อยู่เหนือจิตนาการของทุกคน พวกเขามองดูมันด้วยลมหายใจที่ขาดห้วงขณะที่ผืนดินได้รับการซ่อมแซมอย่างช้าๆ ไม่กี่วินาทีต่อมา หยางเหยียนเจาก็ละสายตาจากภาพดังกล่าวและเอ่ยขึ้นว่า “นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก…กระหม่อมไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน และท่านพ่อเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังด้วยเช่นกัน หากพูดกันตามความจริง กระหม่อมกล้าพูดด้วยซ้ำว่านี่คือสิ่งที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารของยมโลกมาก่อน!”
“เป็นจริงดังนั้น” อาร์ทิสที่เดินมาที่ปากทางเข้าของถ้ำด้วยความยากลำบากเอ่ยออกมา “แม้แต่ข้าเองก็ไม่กล้าคาดเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่ข้าสามารถพูดได้ก็คือดินแดนแห่งนี้ดำรงอยู่ด้วยกฎ ข้อบังคับ และหลักการของตัวมันเอง หากเราวิเคราะห์พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ผ่านมุมมองความรู้ของยมโลกแห่งเก่า เราก็คงจะสรุปว่ามันเป็นดินแดนร้างที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย แต่ ข้อเท็จจริงที่ว่ามันยังมีเหล่าโครงกระดูกที่สามารถสลายผลกระทบของพายุฝนฟ้าคะนองที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ได้นั้นยังคงอยู่…”
“อีกนัยหนึ่งก็คือ ความรู้ที่เราได้รู้มาจากพงศาวดารนรกนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้อีกต่อไป พวกเราจะต้องจดบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่ แม่ทัพหยาง เจ้าได้พาอาลักษณ์มาพร้อมกับเจ้าอย่างที่ข้าได้บอกไปก่อนหน้านี้หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ พวกเขาทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่อยู่ติดกันนี้เอง แต่ละคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการบรรยายและวาดภาพทั้งสิ้น” หยางเหยียนเจาพยักหน้า
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรข้ึนมาอีก พวกเขาต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ถึงความหมายที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของที่นี่
ความรู้ทั้งหมดในอดีตไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อีกต่อไป และสิ่งที่พวกเขาต้องพึ่งพาเพื่อเอาตัวรอดในการเดินทางหลังจากนี้ก็คือประสาทสัมผัส ประสบการณ์ และสัญชาตญาณของตัวเอง
ในที่สุดทุกคนก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าการเดินทางสำรวจดินแดนทางตะวันออกในครั้งนี้นั้นอันตรายและยากมากเพียงใด
มันเป็นเหมือนกับเรือลำแรกที่แล่นออกสู่โลกกว้าง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่คืออะไร – ไม่ว่าจะเป็นพายุรุนแรงที่พร้อมจะกลืนกินพวกเขาไปในทะเล หรือทวีปใหม่ที่มีสมบัติรอพวกเขาอยู่
นี่คือความเสี่ยงและผลตอบแทนมากมายมหาศาลซึ่งมาพร้อมกับการบุกเบิกดินแดน มันน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก และวันนี้พวกเขาก็เริ่มการเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกอย่างเป็นทางการ
“แม่ทัพหยาง ช่วยข้าส่งข้อความไปให้ทหารทุกนาย บอกให้พวกเขาพักจนกว่าโครงกระดูกด้านล่างจะเย็บผืนดินเสร็จ นอกจากนั้น…” ฉินเย่เดินกลับเข้ามาในถ้ำ “เรียกรวมแม่ทัพและผู้บัญชาการทั้งหมด พวกเขาจะจัดการประชุมครั้งแรกเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้”
หยางเหยียนเจาทำทุกอย่างตามที่เขาบอก และเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ทุกคนที่ถูกเรียกก็มาถึงที่ถ้ำกันหมดแล้ว ด้านในถ้ำไม่ได้เล็กมากนัก แต่มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่เช่นกัน ทุกคนที่ถูกเรียกตัวมาที่นี่ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารวิญญาณอย่างน้อยหมื่นนาย เมื่อรวมกับหยางเหยียนเจาและแม่ทัพคนอื่นๆของตระกูลหยาง และผู้บัญชาการของฝั่งฉินเย่ ตอนนี้พวกเขาก็มีกันอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 20 คน
ฉินเย่พยักหน้าทันทีที่เขาเห็นหยางเหยียนเจาเดินเข้ามาในห้อง “สาเหตุที่ข้าไม่ได้ร่วมประชุมก่อนออกเดินทางนั้นมีอยู่สองประการ – ประการแรก ข้าไม่มีเวลา และประการที่สอง มันไม่จำเป็น นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดข้าจึงวางใจที่จะให้พวกเจ้าทั้งหมดจัดการประชุมขึ้นโดยที่ข้าไม่ได้เข้าร่วม และเมื่อข้ากลับมายังยมโลกหลังจากที่ติดตั้งตะเกียงหวนหยางเรียบร้อยแล้ว และข้าก็เลือกที่จะไม่จัดการประชุมขึ้นอีกเนื่องจากการเดินทางไปยังเมืองหวู่หยางนั้นเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ดังนั้นเราสามารถจัดการประชุมขึ้นได้ทุกเมื่อที่มีเวลา แต่ตอนนี้…”
เขาหยุดพูดไปและวาดมือขึ้น กลุ่มก้อนพลังหยินก่อตัวเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคน
มันคือแผนที่จากเมืองเป่าอันไปยังเมืองหวู่หยาง
แผนที่ดังกล่าวแสดงรายละเอียดทั้งหมดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านหรือเขตที่อยู่ระหว่างทาง รวมถึงภูมิประเทศของพื้นที่ซึ่งรวมทั้งแม่น้ำ ภูเขา และอื่นๆ
“น่าเสียดายที่การประชุมที่ว่านั้นมีความจำเป็นเสียแล้ว”
“และปัญหาแรกที่เราจะต้องพูดถึงก็คือ – เราจะไปให้ถึงที่หมายได้อย่างไร?”
เขาไล่นิ้วมือไปตามผิวหน้าของแผนที่ ตามเส้นทางไปสู่นครชฺวีฟู่ ก่อนจะเคาะนิ้วที่จุดหมาย “หากเราไม่รีบวางแผนให้ดีตั้งแต่ตอนนี้ ข้าเกรงว่า…เราอาจจะเราอาจจะไปไม่ถึงที่นั่นโดยครบ 32 ด้วยซ้ำ!”
[1] อ้างอิงจากเกม warcraft, WOW