ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 421 เหล่านักโทษจากสงคราม (1)
บทที่ 421: เหล่านักโทษจากสงคราม (1)
ซาเซียงจู่จ้องฉินเย่เขม็ง โครงกระดูกเด็กทารกลอยอยู่ตรงหน้าของเขา นี่คือวัตถุหยินที่ปกป้องเขาจากการจัดการของฉินเย่ตลอดที่ผ่านมา
การต่อสู้ของพวกเขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็รับรู้ชัดเจนแล้วว่าฉินเย่ไม่ได้มีเวทมนตร์หรือศาสตร์ใด ๆ ซ่อนอยู่อีก ทั้งหมดที่ฉินเย่ทำมีเพียงจิ้มอากาศด้วยปากกาในมือ แต่ถึงกระนั้น ซาเซียงจู่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวเองไม่สามารถปัดป้องการโจมตีเหล่านี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบโครงกระดูกที่ขงโม่เคยมอบให้ก่อนหน้านี้ออกมาใช้ หากพูดกันตามตรง ในตอนแรกเริ่ม โครงกระดูกดังกล่าวมีสีดำสนิท แต่หลังจากผ่านไป สีของมันก็เริ่มจางลงเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มปรากฏรอยร้าวข้ึน ซาเซียงจู่มีความรู้สึกว่าหากมันได้รับการโจมตีอีกครั้งเดียว วัตถุหยินชิ้นนี้จะพังทลายลงทันที
จะปล่อยให้ทุกอย่างยืดเยื้อไปมากกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด… เขาเหลือบมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่แล้วก็พบว่ายังมีขั้นตุลาการนรกอีกตนหนึ่งยืนรออยู่ใกล้ ๆ จับจ้องทุกสิ่งทุกอย่างตามที่สายตาของเขามองไป มันไม่มีทางให้หลบหนีเลยแม้แต่นิดเดียว!
เสียใจ ในที่สุดเขาก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง
เขาไม่ควรมาที่นี่… เขาไม่ควรเพิกเฉยต่อคำเตือนของขงโม่ แต่น่าเสียดาย เพราะกว่าที่เขาจะคิดได้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ตู้ม! ในขณะเดียวกัน กระแสน้ำวนพลังหยินที่อยู่ตรงข้ามกับเขาก็ระเบิดออก และสายฟ้าสีดำสนิทที่มีความหนาประมาณครึ่งเมตรก็พุ่งออกมาจากปลายปากกาและบดบังทัศนวิศัยของเขาทั้งหมดไป ทุกอย่างโดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทันทีที่สายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวนี้ปรากฏขึ้น เสียงที่ดังสนั่นของมันทำให้ทุกอย่างโดยรอบเงียบเสียงลง
แกร็ก… แม้แต่อากาศที่มันพุ่งตัวผ่านก็ดูเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ภายใต้อานุภาพที่รุนแรงนี้ ซาเซียงจู่อ้าปากค้างด้วยความหวาดกลัว เขารีบส่งพลังของตัวเองทั้งหมดไปยังโครงกระดูกคริสตัลที่ลอยอยู่ตรงหน้า แต่ทันทีที่สายฟ้าสีดำผ่าลงมากระทบกับมัน โครงกระดูกดังกล่าวก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงที่คมชัด
“ข้า–…” ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยเจตจำนงที่จะยอมจำนนของตัวเองออกไป เขาก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของตัวเองถูกเผาไหม้ และความเจ็บปวดที่รุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาเชิดหน้าขึ้นและเบิกตากว้างด้วยความกลัวขณะที่กรีดร้องออกมาสุดเสียง “อ๊ากกกกกกก!!”
เสาสายฟ้าขนาดใหญ่กระพริบอยู่ครู่หนึ่ง ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงร้องอันโหยหวนของซาเซียงจู่ นี่คือภาพที่เป็นที่ประจักแก่เหล่าทหารวิญญาณที่อยู่เบื้องล่างทั้งหมด ภายในไม่กี่เสี้ยววินาที เหล่าทหารวิญญาณของกลุ่มพันธมิตรก็ค่อยๆลดอาวุธของตนลงอย่างเงียบ ๆ
หอกและดาบกระดาษจำนวนมากร่วงลงกับพื้นในทันที ป้อมปราการที่เต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งสงครามในที่สุดก็สงบลงชั่วครู่ กองกำลังของยมโลกเข้ายึดครองดินแดน ทิ้งไว้เพียงเหล่าวิญญาณกว่าหมื่นตนที่ไร้ซึ่งอาวุธนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยที่ยกมือไว้เหนือศีรษะอย่างยอมจำนน
ตุบ...ร่างของซาเซียงจู่ร่วงลงจากท้องฟ้าและกระแทกลงกับพื้นจนฝุ่นตลบไปหมด เขาพยายามลืมตาขึ้น และก็พบว่าธงของตนได้ถูกฉีกกระชากโดยกองกำลังของศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันจบแล้ว…
ทุกอย่างจบลงแล้ว… เขาหลับตาลงด้วยความปวดร้าว แต่ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“จ้าวแห่งเจียงอิน?” ฉินเย่แย้มยิ้มบางขณะที่เขาเอ่ยกับอีกฝ่าย “ท่านก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นนี่…”
“จงอย่าประมาทไปจะดีกว่า!” ซาเซียงจู่กัดฟันแน่นและพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังนครชฺวีฟู่ใช่หรือไม่? เอาเลย… หึหึหึ… ท่านขงจะต้องล้างแค้นให้ข้าอย่างแน่นอน...”
“ท่านยินดีที่จะรับมอบตำแหน่งในยมโลกหรือไม่?”
ในวินาทีนั้น ซาเซียงจู่พบว่าคำพูดของเขาทั้งหมดติดอยู่ที่ลำคอ และเขาก็จ้องมองฉินเย่ราวกับเห็นผี ฉินเย่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม กอดอก จ้องกลับมาที่เขาด้วยแววตาพออกพอใจ
“ข้า–…”
“รับหรือไม่รับ?” สายลมที่พัดมาทำให้เสื้อคลุมของเขากระพือเบา ๆ ฉินเย่จัดแจงเสื้อผ้าของตนเล็กน้อย “ยอมรับการแต่งตั้ง และท่านก็จะได้เป็นยมทูตอย่างเป็นทางการ แล้วท่านก็จะได้รับพลังที่จะหยุดยั้งวิญญาณร้อยตนได้ด้วยการโจมตีเดียว ตราบใดที่ศัตรูเป็นวิญญาณร้ายที่อยู่ระดับขั้นพลังเดียวกันกับท่าน ท่านก็จะสามารถหัวเราะใส่หน้าของอีกฝ่ายและปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเด็กน้อยได้”
เขามองซาเซียงจู่ “เหมือนดั่งเช่นที่ข้าทำกับท่าน”
ซาเซียงจู่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และหลับตาลงอีกครั้ง
หัวใจของเขาเต้นแรง! อ้อ ใช่ – เขาไม่มีหัวใจอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว…
สามวินาทีต่อมา เขาก็ลืมตาขึ้นและพยักหน้ารัว!
แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็รู้ดีว่ารัฐบาลเป็นสถานที่หนึ่งที่มีความมั่นคงในการทำงานมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลที่เข้ามาหาเขานั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ในตอนแรกมาก!
“ดีมาก” ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันกับพูดกับคนของตน “แม่ทัพหยาง ช่วยหาคนมาพาตัวเขาไปด้านในที ข้ามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามเขา”
จากนั้น เขาก็เรียกอาร์ทิสและเดินนำเข้าไปในอาคารที่ทรุดโทรม ทันทีที่พวกเขาเข้าไปด้านใน อาร์ทิสก็รีบหันมาถามเขาเสียงเบา “ท่านคิดจะไว้ชีวิตเขาจริง ๆ น่ะหรือ?”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?” ฉินเย่หันกลับไปมองอาร์ทิสด้วยแววตาเหลือเชื่อ “อีกฝ่ายกล้าดีอย่างไรถึงนำดวงวิญญาณของเหล่าประชากรและเจ้าหน้าที่ของยมโลกไปต้องโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์?! หากข้าไว้ชีวิตเขาแล้วคนอื่นๆจะคิดอย่างไร? ผู้ใดจะยอมเคารพเขาในฐานะของเจ้าหน้าที่ของยมโลก?”
“แต่เมื่อครู่ท่านไม่ได้พูดเองหรือว่า–…”
“เจ้าเชื่อสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ?!”
“…ค่อยยังชั่วที่ท่านยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง…”
……………
ในเวลาเดียวกัน ใครบางคนก็เข้ามาช่วยพยุงให้ซาเซียงจู่ลุกขึ้นยืน
มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่าทุกอย่างโดยรอบตอนนี้ล้วนกลายเป็นซากปรักหักฟัก อาคารต่าง ๆ ถูกไฟเผา และเศษกระเบื้องกระจายกลาดเกลื่อน ผลที่ตามมาของสภาพแวดล้อมโดยรอบเผยให้เห็นว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ห่างออกไป เขาเห็นเหล่าทหารวิญญาณของกลุ่มพันธมิตรต่างคุกเข่าลงกับพื้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนและหันหน้าไปหาเหล่าตัวแทนของยมโลก
ด้านหลังของเขา เหล่าแม่ทัพของตระกูลหยางต่างจ้องมองมาที่เขาเขม็ง
มันยังมีพลธนูอีกอย่างน้อย 400 นายที่ยืนถือหน้าไม้ศักดิสิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมอยู่ล้อมรอบบ้านที่ถูกทิ้งร้าง และทั้งหมดก็ต่างเล็งมาที่เขาและพร้อมที่จะยิงมันออกมาทุกเมื่อ
มันไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับเขา นอกจากจะเข้าทางประตู เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ควรอะไรในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปเงียบ ๆ และก็พบว่ามันมีแม้กระทั่งเก้าอี้ที่ถูกเตรียมรอเขาไว้อยู่ก่อนแล้ว
“เชิญนั่ง” อาร์ทิสยืนอยู่ด้านหลังของซาเซียงจู่ ในขณะฉินเย่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา พยักหน้าและส่งยิ้มมาให้ “ยมโลกไม่เคยปฏิบัติกับคนของตัวเองไม่ดี แต่ข้าเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นคงต้องพับเก็บเอาไว้เป็นการชั่วคราว”
ซาเซียงจู่พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกปลอดภัย ไม่มีผู้ใดปฏิบัติกับเชลยศึกในลักษณะนี้ มันดูเป็นธรรมและให้เกียรติ นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเสแสร้งกันได้ง่าย ๆ
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่กี่วินาทีต่อมา หนึ่งในทัพเกราะทมิฬก็เดินเข้ามาและเอ่ยรายงานเสียงดัง “ฝ่าบาท! ผู้บัญชาการทัพเกราะทมิฬ จ้าวฉี รายงานตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“ทหารวิญญาณของฝ่ายศัตรูกว่า 67,000 นายถูกสังหารไปในการต่อสู้ และอีก 30,000 นายได้ถูกจับตัวเอาไว้ สิ่งที่ได้รับจากสงครามโดยรวมได้แก่ ชุดเกราะ หอก และโล่ 40,000 ชุด คันธนูและลูกธนู 30,000 คัน หน้าไม้และลูกดอกหน้าไม้อีก 20,000 คัน และตอนนี้พวกเราก็กำลังรอรับสั่งจากพระองค์ว่าควรจะทำอย่างไรกับพวกเชลยศึก”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที
ความร่ำรวยจากสงคราม…
หอกและโล่ ชุดเกราะ ลูกธนูและคันธนู หน้าไม้และลูกดอกหน้าไม้… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลผลิตทางการทหารที่ยังไม่ได้รับการผลิตในยมโลก! ไม่คิดเลยว่าการต่อสู้เพียงครั้งเดียวจะทำให้เขาได้อะไรมามากมายขนาดนี้!
ความแข็งแกร่งของกองกำลังยมโลกจะไม่มีทางหยุดอยู่ที่หลักหมื่นตลอดไป นอกจากนี้ กองกำลังของหยางจีเย่ก็จะต้องกลับมาสักวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟิลิปินัสเป็นประตูที่นำมาสู่จีนโดยตรง พวกเขาจำเป็นจะต้องจับตาดูโลกใต้พิภพอื่น ๆ ด้วย!
แต่ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดจากสงครามก็ยังเป็น…คน! ไม่–…วิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย!
“แล้วความเสียหายที่ฝ่ายเราได้รับเล่า?”
“ทหารวิญญาณ 6,400 นายได้เสียชีวิตไปในหน้าที่ โดยส่วนใหญ่ในที่นี้ล้วนถูกกำจัดโดยเหล่าแม่ทัพขั้นยมทูตขาวดำของฝ่ายศัตรูก่อนที่พวกนั้นจะถูกกำจัดโดยท่านชื่อจินพ่ะย่ะค่ะ หากพิจารณาทั้งหมดทั้งมวลแล้ว นี่สามารถถือได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของเราพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเย่ครุ่นคิดเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “รวบรวมพวกเขาเข้ากับกองทัพของเรา แยกพวกเขาเป็นหน่วย ๆ และมอบหมายให้มีผู้บังคับบัญชาคอยคุมพวกเขาเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะจัดการกับพวกเขาหลังจากนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้รับคำสั่ง จ้าวฉีก็เดินออกจากห้องไป ฉินเย่เอนตัวนั่งตามเดิม ยกแขนขึ้นเท้าคาง ยกขาขึ้นไขว่ห้างและเอ่ยเสียงเรียบ “แม้ว่ายมโลกจะยอมรับการยอมจำนนของท่าน แต่ข้อตกลงทั้งหมดก็ล้วนขึ้นอยู่กับว่าท่านสามารถมอบอะไรให้เราได้บ้าง ท่าน…เข้าใจที่ข้าพยายามจะสื่อหรือไม่?”
การเจรจาได้เริ่มขึ้นแล้ว…ซาเซียงจู่เม้มปากและพยักหน้า
ระหว่างศักดิ์ศรีและชีวิต แน่นอนว่าอย่างหลังมีความสำคัญกว่าอย่างเห็นได้ชัด
และในเมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะยอมจำนนแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังอะไรอีก เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว การเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้กับตัวจะไปมีประโยชน์อะไร?
“ดี ข้าชอบวิญญาณที่รู้ว่าตัวเองควรปฏิบัติตัวอย่างไร คำถามแรก – เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?” ฉินเย่หรี่ตาลง “ข้าไม่เชื่อว่าท่านสามารถสัมผัสได้ถึงการเดินทัพของยมโลกได้จากที่ไกลๆ แต่ถึงกระนั้น ท่านก็ยังสามารถปรากฏตัวขึ้นได้ในทันทีที่พวกเราขึ้นมาจากโลกใต้พิภพ”
“มันเป็นความบังเอิญ” ซาเซียงจู่ตอบอย่างถ่อมตน “เมืองแห่งนี้คือสถานที่ซึ่งข้าได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ที่ตายมา แน่นอน มันอาจเป็นเพียงการรวมกลุ่มกันของบ้านที่ทรุดโทรมไม่กี่หลังในตอนแรก แต่หลังจากนั้น ท่านขงโม่ ขออภัย ขงโม่ก็เข้ามาและช่วยขยายเมืองๆนี้และทำให้มันกลายเป็นเมืองมากขึ้น และเขาก็ได้แต่งตั้งให้ข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ในตอนนั้น สถานการณ์นั้นซับซ้อนและเร่งด่วน และกองกำลังทั้งหมดก็ถูกถอนกำลังให้กลับไปยังนครชฺวีฟู่ ข้ารู้ดีว่าการก่อตั้งเมืองเช่นนี้จะไม่มีทางถูกปล่อยให้ถูกทิ้งร้างโดยกองกำลังที่เดินทางผ่าน ดังนั้นข้าจึง—…”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองฉินเย่ อย่างไรก็ตาม ฉินเย่เพียงแย้มยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “พูดมาเถิด ทั้งหมดเป็นอดีตไปแล้ว ข้าไม่ได้ติดใจอะไร”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็กลอกตาอย่างห้ามไม่ได้ – เสแสร้งเสียจริง!!
หากนางไม่รู้เรื่อง นางก็คงคิดไปแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กับชายที่กัดฟันแน่นเพื่อแก้แค้นก่อนหน้านี้เป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง!
ซาเซียงจู่ก้มหน้าลงและสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ข้ารู้ดีว่าท่านไม่มีทางปล่อยเมืองนี้ทิ้งร้าง และอาจจะกลับมาในอนาคตอันใกล้เพื่อสำรวจสิ่งที่อาจจะได้จากสงคราม ดังนั้น หากข้าสามารถใช้โอกาสนี้ในการสังหารกองกำลังของยมโลกทั้งหมดได้ เช่นนั้น…ข้าก็อาจจะสามารถกำจัดหนึ่งในภัยคุกคามหลักที่มีต่อเมืองเจียงอินได้”
เขายังคงเอ่ยต่อด้วยความเคารพ “แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้เมืองแห่งนี้เป็นของยมโลกแล้ว และข้ารับใช้ผู้นี้ก็มิได้มีเจตนาที่จะแย่งมันกลับคืนมา!”
ข้ารับใช้ผู้นี้อย่างนั้นหรือ…อาร์ทิสยิ้มหยัน – ช่างเป็นการเปลี่ยนฝ่ายที่ลื่นไหลเสียจริง… เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนเห็นใครบางคนในตัวของชายผู้นี้กัน?
“ข้าดีใจที่ท่านมีความคิดเช่นนั้น ยมโลกต้องการที่จะสลายการต่อต้านและรวบรวมกองกำลังทั้งหมดที่เต็มใจเพื่อรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง” ฉินเย่ยิ้มและพยักหน้า “คำถามข้อที่สอง – ฐานปฏิบัติการของพวกท่านในตอนนี้อยู่ที่นครชฺวีฟู่ใช่หรือไม่? ข้าค่อนข้างอยากรู้เกี่ยวกับนครชฺวีฟู่พอสมควร รวมถึงสถานการณ์ที่นั่น มันถูกสร้างขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว และกำลังทหารและการป้องกันที่นั่นแน่นหนาแค่ไหน ท่าน…คงไม่มีปัญหาที่จะบอกข้อมูลเหล่านั้นกับข้าหรอกใช่หรือไม่?”
แววตาของซาเซียงจู่วูบไหวเล็กน้อย แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็สามารถบอกได้ว่านี่คือข้อมูลหลักที่ฉินเย่ต้องการ!
ยมโลกจะสามารถส่งกองกำลังไปที่ใดได้อีก?
พวกเขาเดินทางมาจากทางใต้ และเลือกที่จะเดินทางผ่านมณฑลอันฮุ่ยและมณฑลเจียงซู ดังนั้นจุดหมายของพวกเขาจะต้องอยู่ที่นครชฺวีฟู่อย่างไม่ต้องสงสัย! ดังนั้น เขาจึงรู้ดีว่าหากเขาไม่ตอบคำถามนี้ให้ดีพอ ทุกอย่างที่ฉินเย่สัญญากับเขามาจนถึงทุกวันนี้จะต้องสูญสลายหายไปอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงคิดอยู่เป็นเวลากว่า 30 วินาที ฉินเย่เองก็ไม่ได้เร่งเร้าอีกฝ่ายเช่นกัน หลังจากผ่านไป ซาเซียงจู่เงยหน้าขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นใหม่ “ท่านฉิน… ท่าน… ไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ฉินเย่แย้มยิ้มอย่างจริงใจ “สัญญาก็คือสัญญา พวกเรามีสัญญาลูกผู้ชาย นอกจากนี้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องกลับคำพูดของตัวเอง”
ซาเซียงจู่สูดหายใจเข้าช้า ๆ หุบยิ้มและเริ่มอธิบาย “นครชฺวีฟู่นั้นเป็นฐานปฏิบัติการหลักของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดจริง ๆ แต่จุดกำเนิดของมัน…นั้นแตกต่างกัน”
“แตกต่างกัน?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว” ซาเซียงจู่สบตากับฉินเย่ “ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันมาจากที่ใด มันแทบจะเหมือนกับว่า ภายในข้ามคืน เมืองๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในนครชฺวีฟู่”
“ข้าเพิ่งตายมาเมื่อไม่นานนัก หากพูดกันตามจริง ข้าไม่ได้มีข้อข้องใจใด ๆ เลยสักนิด และข้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าสู่ยมโลกด้วยเช่นกัน ข้าเพียงแต่ล่องลอยอยู่ในแดนมนุษย์ แต่มันก็บังเอิญว่าสถานที่ซึ่งข้าถูกฝังนั้นอยู่ในหลุมของโครงกระดูกนับพัน – ดินแดนที่มีพลังหยินหนาแน่นกว่าที่อื่น หากท่านได้อ่านบันทึกของสำนักงานรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีก่อน ท่านจะเห็นว่ามีเหตุฆาตกรรมลึกลับที่ยังไม่สามารถไขได้เกี่ยวกับเหยื่อไร้หัวอยู่ อย่างไรก็ตาม ข้าค่อยๆพัฒนาจนมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณเนื่องจากดินแดนที่ข้าถูกฝังเอาไว้ และเมื่อการรับรู้ดังกล่าวพัฒนาจนถึงขีดสุด ขงโม่ก็มาหาข้า”
จากนั้น ราวกับกำลังจมอยู่ภายในความทรงจำที่เจ็บปวด เขาหลับตาลงและขมวดคิ้วด้วยใบหน้าที่แสนเศร้า “เขาแข็งแกร่ง…แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าหมายถึง ความแข็งแกร่งทางพละกำลังของเขาอาจสูสีกับขั้นตุลาการนรกที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด แต่เขา…มีวัตถุหยินและความรู้มากมายเหนือพวกเราทั้งหมด!”
“เขาครอบครองตะเกียงที่ปล่อยพลังของขั้นฝู่จวินออกมา แค่สิ่งนั้นเพียงอย่างเดียวก็น่ากลัวมากเพียงพอแล้ว แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเขายังมีวัตถุหยินอีกสองชิ้นที่มีความสามารถเช่นเดียวกัน?! ในตอนนั้น ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบรับคำของอีกฝ่าย แม้ว่าข้าจะมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำสามตนและทหารวิญญาณอีกหลายพันนายอยู่ใต้บังคับบัญชาอยู่ก่อนแล้วก็ตาม!”
“เขาพาข้าไปที่นครชฺวีฟู่…” เขาลืมตาขึ้นและเอ่ยต่อด้วยเสียงแหบพร่า “และนั่นก็คือครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเมืองที่งดงามเช่นนั้น”
“ราวกับการเดินทางย้อนเวลาและได้เห็นบ้านเมืองในสมัยราชวงศ์ถังด้วยตาของตัวเอง… ราวกับว่าเมืองหลวงที่มีอายุกว่าพันปีได้มาตั้งอยู่ตรงหน้า! ท่านฉิน มันเป็นภาพที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต! มันไม่สามารถบรรยายได้! มันสวยงามและรุ่งโรจน์อย่างไม่น่าเชื่อ!”