ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 423 เหล่านักโทษจากสงคราม (3)
บทที่ 423: เหล่านักโทษจากสงคราม (3)
ณ ดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง
ที่นี่คือลิมโบ เมืองชายฝั่งของมณฑลซานตงตั้งอยู่เหนือตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขา หากพวกเขาอยู่ในแดนมนุษย์ตอนนี้ พวกเขาก็คงจะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่สดใส ชายหาดที่เต็มไปด้วยเม็ดทราย สาวงามและคลื่นทะเล แต่ภายในลิมโบแห่งนี้ มันมีเพียงเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากหินก้อนใหญ่ และทะเลที่ขยายออกไปจนดูราวกับไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น
หากลองสังเกตดูดี ๆ จะมองเห็นลูกไฟนรกลอยอยู่เหนือเทือกเขาเหล่านั้น กระโจมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนสันเขา ในขณะที่วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเดินเข้าออกอยู่เรื่อย ๆ เครื่องยิงบัลลิซต้าขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นตามขอบของชายฝั่งและมีเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่คล้ายกับอสูรวิญญาณประจำอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
จุดสีแดงจำนวนมากลอยอยู่เหนือพื้นผิวของทะเล จ้องมองไปยังป้อมปราการขนาดใหญ่ มันยังมีแม้กระทั่งที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือทะเลราวกับเรือผีสิงขนาดใหญ่อีกด้วย
กระโจมแต่ละหลังจะมีตะเกียงแขวนอยู่ดวงหนึ่ง ทั้งหมดล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยหินสีดำสนิทและเปล่งแสงสลัว ๆ ออกมา กระโจมหลังที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่กึ่งกลางกระโจมหลังอื่น ๆ พร้อมกับตะเกียงหัวกะโหลกมนุษย์มากมายที่มีเปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่ด้านในแขวนอยู่รอบ ๆ
ตอนนี้ภายในกระโจมมีคนอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ร่างผอมบางของเขาสวมทับด้วยเสื้อคลุมโบราณ ผิวของเขาแห้งและเต็มไปด้วยรอยแตก หากพูดกันตามความจริง มีหลายส่วนบนร่างกายของเขาที่มีกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น มันแทบจะไม่มีกล้ามเนื้ออยู่ภายใต้ผิวหนังของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ในจุดที่ควรจะเป็นเบ้าตาของเขากลวงโบ๋ และมันก็เป็นตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นที่ทำให้เห็นว่าด้านในมีเปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่ภายใน
มันน่ากลัวจนแทบจะดูเหมือนกับดวงดาวปีศาจสีแดงเข้มที่ส่องสว่างในยามราตรีไม่มีผิด
ชายคนดังกล่าวกำลังจ้องมองไปที่ม้วนกระดาษตรงหน้า ในขณะที่แผนที่ขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านหลังของเขา ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็วูบไหว และเขาก็รีบหยิบแผ่นไม้แผ่นหนึ่งออกมาดูทันที
บนแผ่นไม้ดังกล่าวมีจุดลูกไฟจิตวิญญาณ 12 จุดลุกโชนอยู่ แต่หนึ่งในนั้นเพิ่งดับไปเมื่อไม่นานมานี้
เขาจ้องมองไปยังจุดลูกไฟวิญญาณที่เพิ่งดับไปเมื่อครู่ด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างมาก จากนั้น หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “จ้าวแห่งเจียงอินถูกสังหารแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นไปได้อย่างไร?” มือที่สั่นเทาของเขากำแน่น “เขาได้รับหน้าที่ให้คุ้มกันนครชฺวีฟู่กับวิญญาณร้ายอีกสามตน แล้วเขาจะถูกสังหารได้อย่างไรกัน?”
เกิดอะไรขึ้นที่นครชฺวีฟู่?
เขาลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อคิดเช่นนั้น แต่ไม่นานเขาก็นั่งลงตามเดิม
กระดูกที่ขาของเขาส่งเสียงกร็อบแกร็บ ก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นผุยผงไป เหลือไว้เพียงผิวหนังที่ห่อไปมาอย่างอ่อนแรงในจุดที่เท้าของเขาควรอยู่
วิญญาณที่อยู่ด้านนอกต่างได้ยินเสียงความวุ่นวายด้านใน ทันใดนั้น วิญญาณที่สวมชุดข้ารับใช้ของราชสำนักในสมัยราชวงศ์ถังก็ลอยเข้ามาด้านใน “ท่านขง ถึงเวลาเปลี่ยนชุดแล้วขอรับ”
“ช่วงนี้ข้ามีอะไรหลายอย่างให้ต้องทำ” ขงโม่ถอนหายใจออกมาขณะที่บีบเนื้อบริเวณขาของตัวเอง “เอาชุดใหม่มาให้ข้าที และปิดม่านลงด้วย”
“รับทราบ”
ข้ารับใช้สมัยราชวงศ์ถังจากไปและกลับมาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม…สิ่งที่เขานำกลับมาไม่ใช่เสื้อผ้าเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกัน มันคือคนเป็น ๆ !
คน ๆ นี้ได้หมดสติไปสักพักใหญ่แล้ว ข้ารับใช้คนดังกล่าวรีบปิดม่านลง ในขณะที่รอยยิ้มกระหายเลือดปรากฏขึ้นบริเวณมุมปากของขงโม่ จากนั้น เขาก็หยิบกรรไกลออกมาคู่หนึ่ง
มันคือกรรไกรที่ถูกทำขึ้นมาจากเงินบริสุทธิ์
โดยปราศจากความลังเล เขาทิ่มกรรไกรลงไปที่สะดือของมนุษย์คนนั้น และเริ่มกรีดมันออกและดึงผิวหนังของเขาออกมา!
“ผิวหนังสดๆ ของมนุษย์ยังคงให้ความรู้สึกดีที่สุดเช่นเคย…” ขงโม่สูดหายใจเข้าช้า ๆ ตอนนี้ผิวหนังดังกล่าวถูกแยกออกบริเวณตรงกลาง และมันก็ถูกเปิดออกเป็นสองส่วนราวกับจั๊มสูท จากนั้นโครงกระดูกชุดหนึ่งก็เดินออกมาจากผิวหนังที่แตกร้าวและเดินไปยังร่างใหม่ของมัน พร้อมกับเข็มและด้ายที่เย็บผิวหนังใหม่จากภายในไปจนถึงช่วงศีรษะ
ตะเกียงไฟภายในห้องวูบไหวเล็กน้อย สิบนาทีต่อมา ขงโม่ก็เรียกข้ารับใช้ของตนอีกครั้ง “เข้ามาได้”
ข้ารับใช้สมัยราชวงศ์ถังลอยเข้ามาด้านในอีกครั้ง
ภายในกกระโจมหลังนี้ดูไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากกระโจมปกติ หากไม่นับกะโหลกมนุษย์ชิ้นใหม่ที่ถูกวางซ้อนกับกะโหลกชิ้นอื่น ๆ รูปร่างหน้าตาของขงโม่ในเวลานี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างส้ินเชิง
“ซาเซียงจู่ตายแล้ว” ขงโม่ยกแก้วไวน์ขึ้นมาและรินของเหลวสีแดงจากขวดแก้วที่อยู่ใกล้ ๆ จุดไฟสีแดงในเบ้าตาของเขาหดเล็กลงกว่าเดิมอย่างเห็นชัด
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!” ข้ารับใช้คนดังกล่าวอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “ข้ายังไม่ได้รับข้อความใด ๆ จากนครชฺวีฟู่เลยสักนิด มันสามารถพูดได้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆเลยในเวลานี้! ราชาผีแห่งพิภพอสูรเองก็ถูกกองกำลังของเราคอยสะกัดอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยวัตถุหยินระดับสูงที่อยู่ภายในครอบครองของท่าน แล้วผู้ใดกันที่จะสามารถสังหารจ้าวแห่งเจียงอินได้?!”
ขงโม่หมุนแผ่นไม้ในมือของตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า “ไม่ มันยังมีคนที่สามารถทำได้อยู่”
เขาช้อนตาขึ้นและสบตากับข้ารับใช้ของตน “ซาเซียงจู่และกองกำลังทหารแสนนายของเขาถูกกำจัดในระยะเวลาที่สั้นเกินกว่าปกติมาก หากมีใครบางคนในโลกนี้ที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้… มันก็ต้องเป็นพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…”
วิญญาณร้ายทั้งสองจ้องหน้ากันและกัน ความกลัวที่ยากจะอธิบายเกาะกุมไปทั่วทั้งหัวใจ
อีกฝ่ายกำลังมาที่นี่อย่างนั้หรือ?
ยมโลกกำลังจะกลับมามีอำนาจเหนือโลกใต้พิภพทั้งหมดอีกครั้งจริง ๆ น่ะหรือ?
แต่…ผู้ใดกันที่สมควรที่จะถูกพิจารณาว่าคือยมโลกในเวลานี้?
มีเพียงผู้ที่มีชีวิตรอดไปได้เท่านั้นที่ควรค่าพอที่จะถูกเรียกว่ายมโลก! ไม่เช่นนั้น มันก็จะไม่ต่างอะไรกับชื่อที่ถูกหยิกยกไปพูดอย่างทิ้งขว้าง!
“ท่านกำลังคิดว่ายมโลกกำลังรวบรวมวิญญาณภายใต้อำนาจอีกครั้งอย่างนั้นหรือ? หรือบางที…พวกเขาอาจจะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของนครชฺวีฟู่แล้วด้วย?”
ขงโม่ขมวดคิ้วยุ่ง “ข้าอยากให้เจ้านำกองกำลังทหาร 200,000 นายและเดินทัพกลับไปยังนครชฺวีฟู่เดี๋ยวนี้เลย”
“รับทราบ!” ข้ารับใช้เอ่ยตอบอย่างหมายมั่น แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ “แล้วที่นี่…?”
“ไม่ต้องห่วง ตาแก่นั่นไม่มีทางทำอะไรได้ไปอีกสักพัก” ขงโม่หัวเราะเสียงเย็น “หลังจากได้ใช้ชีวิตกับเขามาหลายร้อยปีในยมโลก ข้ารู้จักเขาดี เขาเป็นคนขี้ระแวง ใจแคบ และไม่รู้จักวิธีการใช้คนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือพลัง ความแข็งแกร่ง และอำนาจ ข้าเองก็สงสัยเช่นกันว่าสิ่งใดกันที่ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้กับแดนมนุษย์ในตอนแรก”
“อย่างไรก็ตาม ข้าอยากให้เจ้านำยันต์พยัคฆาของข้าไปด้วย หากเจ้าพบว่ามีผู้ใดที่ทรยศเรา ข้าให้อำนาจเจ้าในการกำจัดพวกมันทันที แต่หากทุกอย่างในนครชฺวีฟู่ยังคงสงบสุข เช่นนั้นเจ้าก็จงรีบหาคำตอบมาว่าซาเซียงจู่ตายได้อย่างไรและที่ไหน จากนั้นก็เดินทางไปยังที่เกิดเหตุและทำการตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วรีบมารายงานข้าทันที”
“รับทราบ”
หลังจากนั้น วิญญาณตรงหน้าก็จากไป
ขงโม่ยังคงนั่งอยู่ในกระโจมของตน จ้องมองไปยังท้องฟ้าที่ดำมืดภายในลิมโบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ กับตัวเอง “ข้าไม่เชื่อว่ายมโลกแห่งเก่าจะยังไม่ได้ล่มสลาย พวกเจ้าจะไม่สามารถแยกชิงดวงวิญญาณจากเราได้อีกต่อไป และข้าก็อยากรู้เหลือเกินว่า ‘ยมโลก’ จอมปลอมที่ว่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? พวกเจ้าคิดว่าตัวเองคือยมโลกเพียงเพราะว่าพวกเจ้าเรียกตนเองด้วยชื่อนั้นน่ะหรือ?”
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น นี่ไม่ใช่แค่เพียงคำพูดที่พูดส่งๆ…”
…………………………………………………..
ฮือฮา… ทหารวิญญาณทั้งหมดที่ได้ยอมจำนนต่างอ้าปากค้างอย่างหวาดกลัวเมื่อพวกเขาได้เห็นการประหารซาเซียงจู่ด้วยโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์กับตาของตนเอง
เขาตายแล้ว…
ซาเซียงจู่ตายแล้ว จ้าวแห่งเจียงอินผู้แข็งแกร่งถูกเผาอยู่ภายในโคมลอยต่อหน้าต่อตาของพวกเขา หอกจำนวนมาก และอาวุธต่าง ๆ ล้วนเล็กไปที่เหล่าวิญญาณเชลยทั้งหมด ไม่มีใครกล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่สิ หากพูดให้ถูกก็คือพวกเขาไม่สามารถทำได้ ร่างของพวกเขาเป็นอมพาตไปจากความหวาดกลัวอันรุนแรงที่เข้าเกาะกุมหัวใจ
วิญญาณเชลยศึกทั้งหมดถูกนำมารวมกันที่ลานกว้างภายในเมืองเจียงอิน ตุลาการนรกสองตนลอยอยู่เหนือศีรษะ แรงกดดันมหาศาลถาโถมลงมายังพวกเขา ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองเลยแม้แต่นิดเดียวว่าตุลาการนรกทั้งสองกำลังทำสิ่งใดอยู่
เสียงของไฟที่ลุกโชนอยู่ภายในโคมลอยทำให้ภายในใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้ง บรรยากาศโดยรอบบีบคั้นและหนักหน่วงเป็นอย่างมาก สิบนาทีต่อมา ฉินเย่ได้ก้าวออกมาด้านหน้าและเอ่ยกับคนทั้งหมด
“ยมโลกนั้นดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล เป็นดินแดนแห่งวิญญาณของโลกใต้พิภพของจีน แน่นอน มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในยมโลกตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ทำให้ยมโลกไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้ แต่ไม่คิดเลยว่าขงโม่จะกล้ากระทำการกบฏเช่นนี้เมื่อเราเงียบหายไป”
เขาเอ่ยออกไปโดยไม่รีบร้อน “พวกเจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังของขงโม่ หากพูดกันโดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าเองก็สมควรที่จะถูกประหารสำหรับความผิดที่ได้กระทำเอาไว้เช่นกัน”
เมื่อเขาเอ่ยออกไป เด็กหนุ่มก็เงียบไปครู่หนึ่งและกวาดสายตามองเหล่าทหารที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น มีทหารหลายนายที่อดไม่ได้ที่เงยหน้ามองเขาอย่างคาดหวังพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา
“แต่สวรรค์เองก็มีตาเช่นกัน พวกเจ้าถูกหลอกโดยขงโม่และคำโกหกของเขา ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด ดังนั้น ข้าจะมอบโอกาสในการชดใช้ความผิดให้กับพวกเจ้า”
หลังจากได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของกองกำลังที่นครชฺวีฟู่ ฉินเย่ย่อมไม่มีทางปล่อยดวงวิญญาณที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขาในเวลานี้ไปเด็ดขาด! ทหารวิญญาณ 3 หมื่นนายยังสามารถถูกควบคุมโดยกองกำลังของเขาได้ วิญญาณพวกนี้จะถูกแบ่งออกให้ไปอยู่รวมกับหน่วยต่างๆและถูกจับตาดูโดยเหล่าหัวหน้าหน่วยของยมโลก ตราบใดที่ไม่มีโอกาสให้ได้อยู่รวมเป็นกลุ่มใหญ่และทำการสมรู้ร่วมคิดใดๆ การจัดการเช่นนี้ก็มีแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งทางการทหารให้กับกองกำลังของยมโลกให้มากขึ้นไปอีก!
เพื่อที่จะยับยั้งการต่อต้านหรือต้นกำเนิดของการก่อจลาจลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดย่อมถูกประหารไปพร้อมกับซาเซียงจู่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้น เปลวไฟในโคมลอยจะลุกโชนอย่างรุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไร?
สิ่งนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับความโหดเหี้ยม แต่มันเกิดจากความจำเป็นในสถานการณ์เช่นนี้เท่านั้น
บรรยากาศที่หนักอึ้งภายในลายกว้างคลายลงเล็กน้อยทันทีที่ฉินเย่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกไป
“ท่านตัดสินใจที่จะเก็บพวกเขาไว้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่?” อาร์ทิสถามด้วยความอยากรู้ “เพราะท่านดูแน่ใจเหลือเกินว่าพวกเขาจะยอมรับข้อเสนอนี้ของท่าน”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบอย่างใจเย็น “แน่นอนอยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าวิญญาณเหล่านี้คือผู้ที่เพิ่งตายไปในช่วงร้อยปีที่ผ่านมามานี้ ไม่มีใครจงรักภักดีอย่างไม่สนใจสิ่งใดเหมือนดั่งสมัยก่อน ทุกวันนี้ ผู้คนล้วนจงรักภักดีต่อประเทศของตนเองเพียงอย่างเดียว การนำข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเราคือยมโลกแห่งดั้งเดิมของชาติ ตราหน้าพวกเขาในฐานะของกบฏและไว้ชีวิตพวกเขา พวกเขาย่อมรู้ดีว่าตนเองควรทำสิ่งใด”
เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ผู้คนในทุกวันนี้…กลัวตายกว่าแต่ก่อนมาก...”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองอีกฝ่าย – นี่ท่านกำลังพูดอยู่กับตัวเองใช่หรือไม่?
ฉินเย่ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาหันกลับไปมองเหล่าวิญญาณด้านล่างอีกครั้ง “ผู้ที่ยังคงคิดที่จะติดตามจ้าวแห่งเจียงอินให้ไปยืนทางด้านซ้ายของข้า ข้าให้สัญญาว่าเจ้าจะได้รับความตายที่รวดเร็วและไร้ซึ่งความเจ็บปวด ส่วนผู้ที่ต้องการจะชดใช้ความผิดพลาดของตนให้ไปยืนทางด้านขวา พวกเราจะใช้โคมลอยเป็นเส้นแบ่ง พวกเจ้าสามารถเริ่มตัดสินใจได้ทันที เรามีเวลาทั้งหมดสิบนาที”
และแน่นอน ไม่มีวิญญาณตนใดเดินไปอยู่ทางด้านซ้ายของฉินเย่เลยแม้แต่ตนเดียว
“ตัดสินใจได้ฉลาดมาก” สิบนาทีต่อมา ฉินเย่กวาดมือไปในอากาศ และสมุดเล่มใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของวิญญาณทั้ง 3 หมื่นตน “ตอนนี้ ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดเขียนชื่อ สถานที่เกิด วันเกิด และวันตายของตัวเองลงในสมุดเล่มนี้”
วิญญาณทั้งหมดทำตามที่เด็กหนุ่มบอก ฉินเย่มองดูรายชื่อที่ปรากฏขึ้นบนสมุดแห่งความเป็นตายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะข่มความรู้สึกดีใจภายในหัวใจของตนเองและรักษาใบหน้านิ่งเรียบเอาไว้ขณะที่เอ่ยต่อ “เอาล่ะ อันดับแรก ยินดีต้องรับสู่ยมโลกแห่งใหม่ โลกใต้พิภพดั้งเดิมของแผ่นดินจีน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นอกเหนือจากยมโลกล้วนผิดต่อจารีตและไม่สามารถให้อภัยได้ พวกเจ้าสามารถถือเสียว่าการเดินทางไปยังดินแดนทางตะวันออกครั้งนี้เป็นบททดสอบก็ได้ เมื่อพวกเจ้าผ่านบททดสอบ พวกเจ้าก็จะได้รับการปฏิบัติดั่งเช่นประชากรของยมโลก เจ้าจะได้รับสวัสดิการและงาน และทุกอย่างจะไม่ต่างกับตอนที่พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ที่แดนมนุษย์”
เขามองไปรอบ ๆ และก็พบว่ามันยังไม่มีการตอบสนองมากนัก
ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?
ไม่เป็นไร…ฉินเย่เอ่ยต่อ “ในเวลาเดียวกัน พวกเจ้าจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีเพียงยมโลกเท่านั้นที่สามารถมอบให้ได้ รวมถึงการเข้าฝันของบุคคลที่เจ้ารัก หรือแม้แต่การพบเจอกับครอบครัวและเพื่อนฝูงของตัวเองหลังจากที่ตายไปแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีเฉพาะยมโลกเท่านั้นที่สามารถทำได้เนื่องจากมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่มีสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในครอบครอง!”
ทันทีที่เขาพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป วิญญาณมากมายก็เงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ด้วยความตื่นตะลึงทันที
“แต่แน่นอน หากพวกเจ้ากล้าทรยศหลังจากที่กลับไปยังยมโลก... ข้าก็ขอพูดให้ชัดเจนไว้ ณ ที่นี่ – คนที่พวกเจ้ารักจะต้องเป็นผู้ชดใช้ต่อความผิดของพวกเขา เพราะอย่งไรแล้ว การลงโทษนั้นก็ไม่ได้ยากไปกว่าการลบชื่อของพวกเจ้าออกจากสมุดแห่งความตายเลยแม้แต่น้อย” เมื่อเอ่ยจบ ฉินเย่ก็ลอยตัวจากไป
เขามอบหมายการจัดการที่เหลือทั้งหมดให้กับหยางเหยียนเจา
หยางเหยียนเจาได้ยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วในขณะที่เขาลงมายืนอยู่บนพื้นตามเดิม ฉินเย่เลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทุกอย่างเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พระองค์ทรงวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทหารวิญญาณทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นคู่ๆและแยกตัวจากกองกำลังส่วนอื่น ๆ ของตนเอง มันไม่มีทางที่จะเกิดความวุ่นวายใด ๆ ขึ้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่พยักหน้า “เช่นนั้น…เจ้ามีแผนการสำหรับนครชฺวีฟู่บ้าหรือไม่?”
แผนการว่าเราควรจะจู่โจมนครชฺวีฟู่อย่างไร!
ข้อมูลมากมายที่ได้มาจากซาเซียงจู่ทำให้พวกเขาต้องกลับมาที่กระดานอีกครั้ง เพราะอย่างไรแล้ว ด่านซานไห่ก็เป็นหนึ่งในด่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสร์จีน มันไม่สามารถมองข้ามได้
โชคดีที่อาร์ทิสเคยเดินทางไปที่ด่านซานไห่ของโลกใต้พิภพมาก่อน และยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับที่นั่นเหลืออยู่
หยางเหยียนเจากำหมัดแน่น “เกรงว่าตอนนี้ยังไม่สามารถวางแผนอะไรอย่างเป็นรูปเป็นร่างได้พ่ะย่ะค่ะ… ฝ่าบาท ทางเดี่ยวของเราในตอนนี้ก็คือเดินทัพด้วยความเร็วสูงสุด! เราไม่มีทางสามารถวางแผนใด ๆ ได้จนกว่าเราจะไปถึงที่นครชฺวีฟู่ในที่สุด!”
“ขนาดของเมืองนั้นใหญ่เพียงใด? จุดสำคัญเชิงกลยุทธ์คืออะไร? อาณาเขตมนตราที่ถูกติดตั้งอยู่ที่นั่น? มีกับดักวางไว้หรือไม่? มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวข้ามความเป็นไปไม่ได้นี้โดยปราศจากการรับรู้ถึงรายละเอียดทั้งหมด!”