ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 427 ถึงที่หมาย
บทที่ 427: ถึงที่หมาย
กรุบ กรุบ กรุบ…ตึก ตึก ตึก…เสียงฝีเท้าของเสือโครงกระดูกและเสียงเดินของทหารวิญญาณดังก้องไปทั่วทั้งโลกใต้พิภพขณะที่กองกำลังทหาร 1 แสนนายเดินทัพไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน
ตะเกียงหวนหยางฉายแสงสีแดงไปทั่วท้องฟ้าเหนือศีรษะของพวกเขา บ่งบอกถึงทิศทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว สายลมที่พัดผ่านมาเบา ๆ ส่งผลให้ธงผืนใหญ่ของกองกำลังที่มีคำว่า “หยาง” สลักอยู่โบกสะบัดไปมาตามแรงลม นอกจากนี้พวกเขายังได้กลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งมาตามอากาศอีกด้วย
พวกเขาเริ่มต้นการเดินทางนี้มาเมื่อสามเดือนก่อน และตอนนี้สงครามการขยายอาณาเขตครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของยมโลกแห่งใหม่ก็กำลังจะเริ่มขึ้น ทัพเกราะทมิฬกว่าพันนายเดินนำทัพให้ฐานะของแนวหน้าของกองกำลังทั้งหมด จ้าวฉีลูบมือไปที่ปลอกดาบโบราณของตน ในขณะที่กองไฟภายในใจของเขาลุกโชนด้วยความเร่าร้อน
มันผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ?
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เข้าร่วมสงครามที่จะถูกจดบันทึกลงในประวัติศาสตร์คือเมื่อไหร่กัน?
ทัพเกราะทมิฬได้ถูกสังหารไปพร้อมกับราชวงศ์ถัง และเขาก็กระหายในสงครามมาเป็นเวลานานมาแล้ว หากพูดกันตามตรง มันรู้สึกราวกับว่าเขาได้หลับใหลไปสักพักใหญ่ ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อตอบรับเสียงเรียกของสงคราม
เขาอดไม่ได้ที่มองไปยังสหายรวมรบคนอื่น ๆ นี่คือเหล่านักรบที่ถูกเรียกกลับมาจากสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์เพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ บนใบหน้าขาวซีดของพวกเขาไม่มีคำว่ากลัวหรือคำว่าถอยปรากฏอยู่เลยสักนิด สิ่งเดียวที่มีอยู่ภายในใจของพวกเขาก็คือความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะต่อสู้ พวกเขาต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้เข้าร่วมสงครามแห่งชะตากรรม จากนั้น จ้าวฉีจึงเหลือบไปมองกองกำลังที่เดินตามหลังพวกเขา ธงของพวกเขาชูสูงเด่น ในขณะที่เปลวไฟนรกลอยอยู่ในอากาศ จังหวะในการก้าวเท้าของพวกเขาเองก็ไม่มีร่องรอยของความลังเลใจเช่นกัน ดวงตาของคนทั้งหมดต่างจับจ้องไปยังท้องฟ้าดำมืดที่อยู่ข้างหน้า
ทุกคนเริ่มมองเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ก่อตัวอยู่ที่ปลายสุดของขอบฟ้า ปลายสุดของถนนสายสีแดง พลังสีเขียว สีดำ และสีแดงแพร่กระจายไปในอากาศ ในขณะที่สายลมแผ่วเบาพัดพากลิ่นเลือดไปทั่วบริเวณใกล้เคียง ต้นไม้ต้นหญ้าพลิ้วไหวเบา ๆ และปราศจากวี่แววของราชาอสูรวิญญาณ สัญชาตญาณของพวกเขาบอกพวกเขาว่ามีบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กำลังจะพุ่งมายังบริเวณนี้ และพวกเขาก็ควรจะรีบหนีไปให้เร็วที่สุด
กองกำลังทหาร 1 แสนนายมุ่งหน้าเข้าใกล้ที่หมายมากขึ้นเรื่อย ๆ
โนบูทาดะขี่เสือโครงกระดูกขนาดใหญ่เดินอยู่ข้างๆจ้าวฉี เสือโคร่งตัวใหญ่ส่งเสียงครางออกมาเบาๆขณะที่มันเร่งความเร็วให้ทันคนอื่นๆ ฮวาเจี่ยอวี่ มู่กุ้ยอิง เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ และแม่ทัพตระกูลหยางคนอื่นๆเองก็เคลื่อนตัวอยู่ข้างๆโนบูทาดะโดยที่ผ้าคลุมของพวกเขากระพือไปตามแรงลม ไม่มีใครล้าหลังเลยแม้แต่น้อย
บางทีนี่อาจจะเป็นชะตากรรมของทหารวิญญาณ…จ้าวฉีค่อย ๆ ละสายตาจากคนทั้งหมด พร้อมกับความมุ่งมั่นในแววตา เขารวมกับทัพเกราะทมิฬ นำกองกำลังทั้งหมดของยมโลกมุ่งหน้าไปยังกระแสน้ำวนพลังหยินนั้น
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยิ่งดูชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ทหารวิญญาณนั้นไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางในระยะทางที่เหลือทั้งหมดภายในระยะเวลาหนึ่งวัน และในที่สุด พวกเขาก็มาถึงที่ด้านหน้ากระแสน้ำวนพลังหยินที่รุนแรง
ผมเผ้าของอาร์ทิสกระจัดกระจายไม่เป็นทรงจากความรุนแรงของกระแสลม นางเดินขึ้นไปอยู่เคียงข้างเสือโครงกระดูกที่ฉินเย่ขี่อยู่ขณะที่ทั้งคู่มองไปด้านในของกระแสน้ำวนพลังหยินตรงหน้า “ด่านซานไห่อยู่เหนือพวกเรา” กองกำลังทั้งหมดของยมโลกยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า… มันกลับไม่มีพวกเขาคนในที่สามารถต้านทานความรู้สึกขนลุกได้เลย
แม้แต่ฉินเย่เองก็ไม่มีข้ายกเว้น เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังหยินที่กดทัพลงมา กองกำลังรักษาการณ์ที่ด่านซ่านไห่นั้นเหนือกว่ากองกำลังของเขามาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว อีกฝ่ายก็มีวิญญาณหลายล้านตนและทหารวิญญาณอีก 820,000 นาย แรงกดดันที่ทรงพลังทะลุผ่านเส้นแบ่งระหว่างลิมโบและโลกใต้พิภพและกดลงมายังกองกำลังของยมโลกจนทำให้พวกเขาเริ่มหายใจติดขัด
ถึงเวลาแล้ว…
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ ภายในใจของเขาเวลานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ตั้งตารอ? กังวล? หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกไหนที่รุนแรงกว่ากัน
อย่างไรก็ตาม มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมายที่ตั้งตารอมานาน
มันเป็นทั้งการปิดม่านของยุคสมัยเก่า และการเปิดฉากการแสดงสำหรับยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะมาถึง
หัวใจของเขาเต้นราวกับรัวกลอง หลังจากผ่านไปสักพัก เมื่อความรู้สึกต่าง ๆ สงบลง เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะหันไปมองกองกำลังของตนเอง
ในวินาทีนั้น กองกำลังทหารทั้ง 1 แสนนายต่างสบตาตอบเขากลับมาด้วยความมุ่งมั่น ธงผืนใหญ่ลอยอยู่ในอากาศ เสียงกลองดังก้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเจตนาที่จะทำศึก
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่ฉินเย่
พวกเขากำลังรอ...รอรับคำสั่งจากท่านจ้าวนรกแห่งยมโลก
พวกเขาทั้งหมดได้เห็นฉินเย่มาแล้วหลายต่อหลายครั้งตลอดระยะเวลาของการเดินทาง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ฉินเย่ก็เหลือบมองขึ้นไปยังกระแสน้ำวนสีแดงเลือดเหนือศีรษะของเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
การเติบโตของอาณาจักรอันแสนยิ่งใหญ่ทุกอาณาจักรล้วนมาพร้อมกับเปลวไฟแห่งสงครามและการเสียเลือดเนื้อ ฉินเย่อาจจะไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับตัวให้ชินกับมัน
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว นี่มันเพิ่งแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เขาสูดหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นจึงยกมือขึ้น หน้าจอพลังหยินก่อตัวขึ้นในอากาศ เผยให้เห็นภาพของเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบน
มันกินพื้นที่หลายพันไมล์ ตั้งตะหง่านอยู่บนพื้นที่ราบของลิมโบ เหมือนกับอสูรขนาดใหญ่ที่อยู่ ณ จุดบนสุดของห่วงโซ่อาหาร จุดแสงมากมายฉายลงมาจากด้านบนสุดของกำแพงเมือง ในขณะที่วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเดินผ่านประตูเมืองทั้งสี่เพื่อเข้าไปยังเขตรักษาความปลอดภัยภายในเมือง ทหารม้าจำนวนมากเองก็กำลังควบม้าไปรอบๆเพื่อลาดตระเวน ฉินเย่กวาดสายตามองทหารวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “ทุกคน สิ่งที่พวกเจ้าเห็นอยู่บนหน้าจอในตอนนี้คือเป้าหมายของเรา – นครชฺวีฟู่”
คนทั้งหมดยังคงเงียบ บรรยากาศที่เคร่งขรึมและร้อนแรงปกคลุมไปทั่ว
“ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าคงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มาตลอดการเดินทาง ใช่แล้ว มันคือนครขนาดใหญ่ หากพูดกันตามตรง พวกเจ้าอาจสามารถพูดได้เลยว่านี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดที่ยมโลกแห่งใหม่เคยเผชิญหน้ามาเลยก็ว่าได้ พวกเรากำลังพูดถึงทหารวิญญาณกว่า 820,000 นาย และวิญญาณอีกหลายล้านตนที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ประมาณ 1 ร้อยตารางกิโลเมตร และอีกฝ่ายยังมีค่ายกลต่อสู้และวัตถุหยินไว้ในครอบครองอีกด้วย”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร…ยมโลกจะไม่มีทางยอมให้อภัยต่อการดำรงอยู่ของเหล่าวิญญาณกบฏเป็นอันขาด!!!”
คำพูดของเขาอาจเริ่มต้นด้วยการประดิษฐ์ประดอยเนื่องจากนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็รู้ดีว่าเขาจำเป็นจะต้องกระตุ้นกองกำลังทั้งหมดด้วยคำพูดที่ปลุกใจก่อนที่สงครามครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงครามครั้งใหญ่ที่ว่านี้จะเป็นตัวกำหนดชะตาของยมโลกแห่งใหม่เอง
แต่ขณะที่พูดไป เขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในใจ คำพูดมากมายหลั่งไหลออกมาอย่างราบรื่นกว่าที่เขาคาดเอาไว้ และตอนนี้…เขาก็ได้เปิดตัวตนบางส่วนของตัวเองต่อหน้ากองกำลังทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ
มันคือส่วนที่เขาเลือกที่จะปกปิดมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจมาโดยตลอด และนี่ก็อาจจะเป็นการแสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาได้จริงที่สุดตั้งแต่เริ่มทุกอย่างมากเลยก็ว่าได้
“ข้าจะไม่พูดถึงความสำคัญของการต่อสู้ในครั้งนี้มากไปกว่านี้ เว้นแต่เรื่องที่ว่ามันคือการต่อสู้ที่จะกำหนดอนาคตของยมโลกไปอีกร้อยปี พวกเจ้าอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หากเราไม่สามารถยึดนครชฺวีฟู่มาได้ ยมโลกก็จะถูกจำกัดอยู่แค่ในอาณาเขตของเมืองเป่าอันไปตลอดกาล! พวกเราจะถูกมองข้ามตลอดไป! แน่นอน มันอาจจะปลอดภัยที่จะอยู่ในอาณาเขตของยมโลกในเวลานี้ แต่ข้ารับร้องได้เลยว่าในอีกร้อยปี กองกำลังของต่างชาติจะต้องมาเคาะประตูรอพวกเราที่หน้าบ้านอย่างแน่นอน!”
“พวกเจ้าบางคนอาจจะไม่เคยสัมผัสกับชีวิตในยุคสมัยของสงครามและการเข่นฆ่า แต่ข้าเคย!” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบพร่า “เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินจีน! ข้าไม่ต้องการเห็นภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก! ชะตากรรมของหยินและหยางนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไม่สามารถแยกออกได้ หากยมโลกล่มสลาย แดนมนุษย์จะตกอยู่ในอันตราย! หรือพวกเจ้าจะบอกข้าว่าพวกเจ้าต้องการให้จีนกลับไปสู่ยุคสมัยที่มืดมนและถูกกดขี่โดยต่างชาติ?”
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างอ้าปากค้าง
ฉินเย่หลับตาลงอีกครั้ง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก “ข้าผู้หนึ่งที่ไม่ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น”
“หากสามารถทำได้ ข้าก็ไม่อยากที่จะกลับไปสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนั้นอีก ข้าไม่ต้องการให้แผ่นดินของเรากลายเป็นนรกบนดินสำหรับทุกคน แผ่นดินจีนถูกต่อตั้งมายาวนานกว่า 5,000 ปี พวกเราควรจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก! และตอนนี้ โอกาสนั้นก็ได้มาอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว และเราจะสามารถคว้ามันมาได้ก็ต่อเมื่อสามารถยึดเมืองทั้งเมืองมาได้แล้วเท่านั้น! มีเพียงแค่การรวบรวมโลกใต้พิภพของจีนให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถยืดหยัดต่อสู้กับผู้รุกรานต่างชาติในอีกร้อยปีนับจากนี้ได้!”
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง “และหากจะมียมโลก มันก็ควรถือกำเนิดขึ้นในโลกใต้พิภพเท่านั้น!”
“ยึดมันมาให้ได้ และข้าสัญญาเลยว่าชื่อของพวกเจ้าทุกคนจะถูกจดจำไปตลอดหลายชั่วอายุคน ข้าสัญญาว่าทุก ๆ เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของยมโลกจะมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่บริเวณทางเข้า รำลึกถึงผู้เสียชีวิตทุกคนในการเดินทางครั้งนี้ในฐานะของบรรพบุรุษผู้ร่วมก่อตั้งยมโลก ข้าขอรับปากว่าคนที่พวกเจ้ารักทั้งหมดจะได้รับการดูแลอย่างดีในอนาคตที่พวกเจ้าแลกมันมาด้วยเลือด เหงื่อ และหยดน้ำตา! คราวนี้ บอกข้ามา พวกเราคือใคร?!!”
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!!” กองกำลังทหารนับแสนนายตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดน
ความอัปยศของการถูกกดขี่ยังคงกดทับอยู่ภายในใจของชาวจีนทุกคน
ไม่มีผู้ใดยอมคุกเข่า
ไม่มีใครต้องการที่จะก้มหน้าใช้ชีวิตและคอยรับใช้ผู้อื่น!
และมันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้จีนพยายามพัฒนาตัวเองให้ตามทันประเทศอื่น ๆ ภายในระยะเวลาเพียง 30 ปี และมันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เช่นกันที่ฉินเย่พยายามอย่างหนักในโลกใต้พิภพ และมันก็ยังอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาทุกคนมายืนอยู่ที่นี่ ตอนนี้อีกด้วย! ทุกคนต่างพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อรวมโลกใต้พิภพของจีนให้เป็นหนึ่ง พวกเขาต้องการฟื้นฟูยมโลกให้กลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ในสมัยอดีตกาล และเป็นเหมือนกับแดนมนุษย์ของพวกเขา ยืนอยู่ในจุดที่เทียบเท่ากับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
“ดี สำหรับวันนี้ พวกเราจะพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ เราจะบุกโจมตีนครชฺวีฟู่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!” สุดท้ายแล้ว ฉินเย่ก็จบลงด้วยการพูดทุกอย่างภายในใจของตนออกไป
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดของเขาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับรู้ถึงการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่า
เขาเคยประสบกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน และก็ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากกับช่วงเวลาเหล่านั้น และเขาก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังไปตลอดกาล
นี่คือเหตุผลว่าทำไมยมโลกถึงต้องรวบรวมโลกใต้พิภพและสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์!
อาณาจักรของยมโลก!
บาปในดินแดนมนุษย์ล้วนมีตัวเจ้าเป็นผู้กำหนด
นรกนั้นมีอยู่มาแต่สมัยโบราณกาล
ความอยุติธรรมทั้งหมดที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของระบบกฎหมายในแดนมนุษย์จะไม่มีทางถูกปล่อยผ่านในยมโลก
และทั้งหมดนั้นก็เริ่มต้นด้วยคนบาปแห่งตระกูลขง – ขงโม่
ทันใดนั้นเอง เหล่าแม่ทัพและทหารวิญญาณทั้งหมดก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง “ยมโลกจงเจริญ!!!”
“ไม่เลวเลย” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นเบา ๆ นางสามารถบอกได้ว่าใบหน้าของฉินเย่ในตอนนี้แดงขึ้นเล็กน้อยจากความมุ่นมั่นที่แสดงออกมา “ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้เห็นท่านพูดคำพูดที่ออกมาจากใจจริงแบบนี้”
ฉินเย่ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย กลับกัน เขาเพียงหันไปหาหยางเหยียนเจาและประสานมือกับกำปั้นให้อีกฝ่ายอย่างเคารพ “แม่ทัพหยาง ข้าขอฝากด้วย”
“โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หยางเหยียนเจาโค้งคำนับให้เด็กหนุ่มด้วยความเคารพที่ไม่ต่างกัน “พวกเราทั้งหมดสามารถตายได้โดยไม่คิดเสียดายชีวิตเพื่อการรวบรวมโลกใต้พิภพให้เป็นหนึ่ง!”
ฉินเย่พยักหน้าและเอ่ยเตือนอีกครั้ง “แล้วจงอย่าลืมที่จะรวมข้าและอรากษสไว้ในกองกำลังหลักที่จะเข้าจู่โจมเมืองชั้นในด้วย”
หยางเหยียนเจากำลังจะเอ่ยแย้งออกไปแต่ฉินเย่ก็ส่ายหน้าอย่างแข็งขืน “ภายในนครชฺวีฟู่จะต้องมีขั้นตุลาการนรกที่พวกเจ้าไม่สามารถรับมือได้อยู่อย่างแน่นอน หากเจ้าไม่รวมเราทั้งสองเข้าไปด้วย พวกเขาก็อาจจะสามารถยับยั้งการจู่โจมทั้งหมดของเราได้โดยใช้ขั้นตุลาการนรกเพียงแค่สองคน และไม่ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมข้า ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว”
หยางเหยียนเจากัดฟันแน่นและถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน “เพราะว่ากระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ หากเป็นไปได้ กระหม่อมก็ไม่ต้องการให้พระองค์เข้าร่วมสู้ด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งเดียวที่กระหม่อมอยากจะขอก็คือ…กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงรักษาตัวให้ดี ในการต่อสู้ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้เสมอพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ยกผ้าคลุมขึ้นและเดินไปยังพื้นที่โล่งซึ่งอยู่ห่างออกไป
ตอนนี้แม่ทัพทั้งหมดล้วนไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
วิญญาณอื่น ๆ ต่างจ้องมองไปยังเหล่าแม่ทัพด้วยดวงตาที่ลุกโชนด้วยเจตนาต่อสู้ที่ร้อนแรง
นี่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะของหนึ่งในสามการต่อสู้ครั้งใหญ่ของยมโลกแห่งใหม่ มันคือเกียรติของทหารวิญญาณทุกนาย และเหรียญตราแห่งเกียรติยศสำหรับแม่ทัพทุกคน
หยางเหยียนเจาเดินไปที่จุดกึ่งกลางของพื้นที่ซึ่งมีโต๊ะหินถูกสร้างเอาไว้ชั่วคราว ยันต์พยัคฆาสิบแผ่นถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
เขาหยิบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมาและใช้นิ้วของตัวเองลูบมันเบา ๆ
ผิวสัมผัสเรียบและเนียนนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกในเวลาเดียวกัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเหล่าแม่ทัพด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก “มู่กุ้ยอิง ก้าวออกมาข้างหน้า”
“ข้าอยู่นี่!” มู่กุ้ยอิงก้าวเท้าออกมาและประสานกำปั้นกับฝ่ามืออย่างเคารพ ก่อนจะคุกเขาข้างหนึ่งลงกับพื้นอย่างเคร่งขรึม
“ข้าได้คุยกับท่านอรากษสเกี่ยวกับการจัดกำลังพลของเราแล้ว เราจะแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งเข้าไปในเมือง แต่ยังไม่แน่ใจนักว่าจะไปปรากฏตัวขึ้นที่ส่วนใด”
“ข้าอยากให้เจ้านำกองกำลังทหาร 20,000 นายไปล้อมกำแพงตะวันตกเอาไว้ ไม่ต้องสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าอยากให้เจ้าทำการควบคุมกำแพงตะวันตกให้ได้เร็วที่สุด! เป้าหมายของเจ้าก็คือการสร้างความวุ่นวายและดึงความสนใจจากเหล่าทหารรักษาการณ์ของเมือง เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“รับทราบ!”
มู่กุ้ยอิงสูดหายใจเข้าช้าๆและรับยันต์พยัคฆามาไว้กับตนก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไปตามเดิม หยางเหยียนเจาไม่รีรอและหันไปหาแม่ทัพคนต่อไปทันที “ฮวาเจี่ยอวี่!!”
“ข้าอยู่นี่!”
เขากำลังส่งแม่ทัพและทหารทั้งหมดไปสู่ความตาย แต่ถึงกระนั้น คำสั่งของเขาก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธหรือผลักความรับผิดชอบแต่อย่างใด ไม่มีช่องว่างสำหรับความใจดี ความเป็นห่วง หรือกังวลใดๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่ามันมีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ และนั่นก็คือก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญจนกว่าความตายจะมาหยุดพวกเขาเอาไว้
“นำกองกำลังทหาร 20,000 นายและโจมตีกำแพงเมืองทางทิศใต้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในเมือง จงจู่โจมต่อไป และสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด เจ้าทำได้หรือไม่?”
“ข้าทำได้!”
“เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ นำกองกำลังทหาร 20,000 นายและโจมตีกำแพงเมืองทางทิศตะวันออก! จงดำเนินการโจมตีต่อไปแม้ว่านั่นอาจจะหมายถึงชีวิตของเจ้าก็ตาม!” “ฮูเหยียนชื่อจิน เจ้าเองก็จงนำกองกำลังทหาร 20,000 นายและล้อมประตูเมืองทางทิศเหนือเอาไว้ จนกว่านครชฺวีฟู่จะแตกพ่าย และทหารฝ่านศัตรูทุกนายถูกกำจัดจนหมด เจ้าจะต้องไม่ผละจากกำแพงเมืองเป็นอันขาด!”
“รับทราบ!” “เข้าใจแล้ว!”
“ทุกคน” หลังจากเอ่ยคำสั่งทั้งหมดจบ หยางเหยียนเจาก็รู้สึกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอของตน เขาลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับคนทั้งหมดอย่างสุดซึ้ง
หลังจากวันนี้…ครั้งต่อไปที่พวกเขาจะได้พบกันอาจจะเป็นบนอนุสาวรีย์แห่งความทรงจำ
แต่ถึงกระนั้น…พวกเขาตระกูลหยางล้วนใช้ชีวิตอยู่และตายโดยไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียใจ
“ความตายนั้นเกิดขึ้นกับทุกคน แต่การกระทำของเราจะคงอยู่ตลอดไป” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเทาเล็กน้อย “ดูแลตัวเองให้ดี และพยายาม…กลับมาให้ได้โดยที่ยังมีชีวิต”