ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 150 ไม่พอใจ
ตอนที่150 ไม่พอใจ
เหลียวเซียวหยุนรู้สึกว่า เธอต้องรีบหยุดทุกอย่างในเวลานี้โดยเร็ว มิฉะนั้นจ้าวเฉียนอาจสงสัยเธอได้
“ฟู่เอ๋อร์พอได้แล้ว! ถ้ากล้าแตะต้องเขา ฉันเอานายตายแน่!”
ฟู่เอ๋อร์สูดหายใจชืดเย็นเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอนกำปั้นออกมาและกล่าวกับเหลียวเซียวหยุนว่า
“ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ เราสามารถสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นได้ ถ้าพวกเราแต่งงานกัน ด้วยความยิ่งใหญ่ของพวกเราสองตระกูล พวกเราสามารถโค่นซิงหยวนได้ในพริบตา และหัวโหย้วของเธอจะขึ้นกลายมาเป็นอันดับหนี่งแห่งอุตสาหกรรมเกมตลอดกาล ยอมรับเถอะ ที่นายเลือกคบกับไอ้หมอนี่ก็แค่ประชดฉันใช่ไหม?”
เหลียวเซียวหยุนไม่แม้แต่สนใจฟู่เอ๋อร์ แต่การที่เขากล่าวออกมาแบบนี้กลับยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้นไปอีก เหลียวเซียวหยุนกระชับกอดจ้าวเฉียนแน่น ภาพฉากนี้ทำให้ฟู่เอ๋อร์เจ็บปวดใจยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
ฟู่เอ๋อร์เดือดดาลถึงขีดสุด เขาชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนในทันที
“มึงอย่าเพิ่งหนีไปไหน! หลังเลิกคลาสมึงเจอดีแน่!”
คล้อยหลังพูดจบ ฟู่เอ๋อร์ก็พาบรรดาลูกน้องตัวเองออกจากห้องสมุดไป
“เจ้าหนุ่มนั้นเป็นแฟนใหม่ของเหลียวเซียวหยุน? แต่ก็ไม่คุ้มอยู่ดีที่ต้องมาเป็นศัตรูกับฟู่เอ๋อร์ หมอนั่นฆ่าตัวตายชัดๆ”
“แต่ดูเหมือนว่า ที่เหลียวเซียนหยุนคบกับชายคนนั้นก็แค่ประชดให้ฟู่เอ๋อร์เห็นรึเปล่า? ยิ่งทำแบบนี้เขาก็ยิ่งเกลียดชังผู้ชายคนนั้นมากขึ้น”
“โอ้…คราวนี้เจ้าหนุ่มโชคร้ายนั้นเตรียมตัวซวยได้เลย ขัดแย้งกับใครไม่ว่า ดันมาขัดแย้งกับฟู่เอ๋อร์นี่สิ”
“รอดูไปอีกสักพักดีกว่า อาจมีการแสดงสนุกๆรออยู่”
….
บรรดานักเรียนในห้องสมุนเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระสากกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และโดยส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องว่า ฟู่เอ๋อร์จะต้องสั่งสอนจ้าวเฉียนสักหนึ่งบทเรียนให้หลาบจำ
จ้าวเฉียนกระตุกแขนเขากลับไปอย่างไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก ปริปากเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“นี่คุณขอให้ผมมาทำอะไรกันแน่?”
“นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่ขอให้นายมามหาลัยเป็นเพื่อนฉันเฉยๆ ไม่ใช่ว่าจะให้นายมาจัดการพวกตามตื้อฉันสักหน่อย ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ฉันคงไม่พานายมาตั้งแต่แรกหรอก!”
เหลียวเซียวหยุนเล่นลิ้นเปลี่ยนโวหาร
“ผมไม่ฟังคำอธิบายคุณแล้ว ผมจะเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้ามีอะไรก็ให้บอกกันล่วงหน้าก่อน ผมไม่ชอบที่คนอื่นต้องมาหาเรื่องก่อปัญหาให้อย่างไม่จบไม่สิ้น และคุณเองก็อย่ามาเล่นแง่กับผม! ถ้าคราวหน้าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ช่วยคุณแน่!”
แต่อย่างไรเหลียวเซียวหยุนก็ไม่ได้สนใจฟังจ้าวเฉียนเลย เพราะเธอเคยชินแล้วกับเรื่องอะไรพวกนี้ตั้งแต่เด็ก จึงคิดว่าผลสรุปสุดท้ายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และคิดว่าตัวเธอเองนั้นแหละที่ฉลาดที่สุด
ฟู่เอ๋ออร์หัวเสียอย่างมากจนโดดคลาสช่วงบ่ายในที่สุด เขาออกไปติดต่อระดมเหล่าพี่น้องคนสนิทมา ในห้องสมุดเขาเสียหน้าเกินรับได้ ดังนั้นแค้นนี้จักต้องเอาคืน!
ไม่นานนัก เหลียวเซียวหยุนก็พาจ้าวเฉียนเข้าคลาสเรียน และเป็นอาจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เดินเข้ามา
เหลียวเซียวหยุนเรียนคณะบริหาร วิชาเอกคือเศรษฐศาสตร์
ในฐานะที่จบคณะวิทยาศาสตร์มาอย่างจ้าวเฉียน นอกจากนี้เขายังมีปรมาจารย์ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์อยู่ข้างกายเสมอมาอย่างจ้าวฝู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเนื้อหาพวกนี้เลยสักนิด แต่เนื่องจากข้างนอกอากาศร้อนเหลือเกิน บวกกับความเหนื่อยล้าตั้งแต่เช้า ประจวบเหมาะกับคลาสเรียนแอร์เย็นๆ ไม่นานจ้าวเฉียนก็เผลอหลับไป
“นักศึกษาคนนั้น สนใจจะเอาผ้าห่มด้วยไหม ดิฉันจะได้หยิบมาห่มให้? เข้าใจนะว่าอากาศร้อน แต่มานานในคลาสต่อหน้าดิฉัน ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่จริงไหม?”
อาจารย์คนนั้นเหลือบมองไปที่จ้าวเฉียนที่ฟุบหลับไป แววตาคู่สวยราวกับเพชฌฆาตสาดวาบเข้าใส่ สีหน้าการแสดงออกของเธอดูรังเกียจอย่างมาก
เหลียวเซียวหยุนอดหัวเราะไม่ได้ และสะกิดเรียกจ้าวเฉียนสองสามที
จ้าวเฉียนสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาทันใด ลุกขึ้นยืนพรวดพร้อมหันไปถามเหลียวเซียวหยุนว่า คลาสเรียนรจบแล้วใช่ไหม เขาจะได้รีบๆกลับบ้านไปสักที
แต่แล้วจ้าวเฉียนก็เพิ่งค้นพบว่า บรรยากาศภายในนี้กลับไม่ถูกต้อง ทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ตนพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ
จ้าวเฉียนตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหันมากล่าวขอโทษกับอาจารย์คนนั้นและนั่งลงไป
แต่อาจารย์คนดังกล่าวกลับยิ่งหัวเสียเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของจ้าวเฉียน
“นักศึกษา ดิฉันคิดว่าคุณเองก็โตแล้วเช่นกัน ยิ่งไม่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้คนอื่นในคลาสเห็น แถมดูจากการแต่งตัวก็ไม่ได้มาจากครอบครัวมีเงินมีทองอะไร แล้วทำไมยังไม่ตั้งใจศึกษาหาความรู้อีก? พ่อแม่ของคุณจ่ายค่าเทอมเพื่อให้ตัวคุณพัฒนา แต่กลับมาหลับแบบนี้น่ะเหรอ? หรือต้องโทษดิฉันที่ไม่มีความสามารถพอจะสอนคุณ!?”
เหลียวเซียนหยุนลอบแสยะยิ้มเล็กน้อย และยกมือขึ้นกล่าวว่า เธอวานให้จ้าวเฉียนมานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่นักศึกษา
อาจารย์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ตวาดลั่นคลาสด้วยความโกรธว่า
“เล่นอะไรไร้สาระจริงๆ ถ้าคุณไม่อยากฟังก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ อย่ามาขัดขวางเวลาเรียนของคนอื่นเขา!”
จ้าวเฉียนไม่อยากจะอยู่ที่นี่อยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ดี กลับถูกอาจารย์ขับไล่ไสส่งแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการดูถูกศักดิ์ศรีเขาเลย นี่ทำให้รู้สึกแย่ไม่น้อย
“คุณครูท่านนี้ ผมขอพูดอะไรสองข้อนะครับ หนึ่ง คุณเป็นครูประสาอะไรถึงจำหน้านักศึกษาของคลาสตัวเองไม่ได้ คุณสมบัติความเป็นครูคือการใส่ใจนักเรียนนักศึกษาทุกคนไม่ใช่เหรอครับ? และสอง สิ่งที่คุณกำลังสอนไปทั้งหมดเป็นเพียงภาคทฤษฎี ผมที่เรียนรู้จากภาคปฏิบัติมาตลอด บอกได้เลยว่าทุกอย่างในเนื้อหาไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องฟัง”
อาจารย์ท่านนั้นพลันหยุดชะงักในทันใด เนื้อหาภาคทฤษฏีเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจอย่างมากในการทำงานฐานะอาจารย์ผู้สอน
และอีกหนึ่งข้อสำคัญคือ นี่เพิ่งจะเปิดภาคเรียนใหม่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น มีคุณครูสักกี่คนในมหาวิทยาลัยที่สามารถจำหน้านักศึกษานับร้อยในคลาสได้?
“นี่เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน ดิฉันยังไม่สามารถจดจำได้ทุกคน บางคนย้ายเซคเรียนไปช่วงเช้าบ้างก็มี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยังไม่คุ้นหน้าคุ้นตากัน แล้วสิ่งที่คุณกำลังหมายถึงคือ ความรู้ในหน้าหนังสือไม่มีประโยชน์ใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนนั่งนิ่งชนิดไม่มีกลัวเกรงใดๆและตอบกลับไปว่า
“ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ทุกสิ่งอย่างที่นักศึกษาเหล่านี้เรียนรู้ไปมีแต่ภาคทฤษฎี แต่สำหรับผมที่อยู่ในวัยทำงานแล้ว อยากเสนอแนะให้ลองสร้างโครงการจำลองบริการธุรกิจขึ้นมาดู เพื่อเรียนรู้ถูกผิดจากภาคปฏิบัติ ทุกอย่างมีประโยชน์ในแบบของมันครับ”
“แต่ถ้าบางคนฐานด้านทฤษฏีไม่แน่น แล้วจะอยู่รอดในภาคปฏิบัติได้ยังไง?”
อาจารย์โต้กลับด้วยเหตุผล
“จริงเหรอครับ งั้นคุณลองแต่งตั้งนักศึกษาคนหนึ่งมาเป็นเจ้านาย ส่วนอีกคนเป็นลูกน้อง จากนั้นก็ลองสร้างปัญหาระหว่างพวกเขาดู ผมอยากรู้ครับว่า นักศึกษาทั้งสองคนนั้นจะสามารถกลับมาปรองดองอีกครั้งได้ยังไงโดยใช้ภาคทฤษฎีที่เรียนมา?”
“ถ้าตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น คนที่มีความรู้ภาคทฤษฎีมากกว่าย่อมแก้ปัญหาได้แน่นอน หลังจากปัญหาหมดสิ้นไป โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมจะกลับมาปรองดองอีกครั้งเอง”
อาจารย์อธิบายตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะยกตัวอย่างสถานการณ์การทำงานจริงๆให้ฟัง คุณครูช่วยแก้ปัญหาดังต่อไปนี้ให้ทีครับ กรณีที่สามีของประธานบริษัทมีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอ แต่ก็ยังพยายามอวดเบ่ง และเข้าแทรกแซงหน้าที่งานของฝ่ายอื่นๆ ทั้งหมดทำไปเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง และจงใจทำให้พนักงานคนนั้นอับอาย แม้ผลที่ต้องแลกมานั้นจะกระทบกับบริษัทโดยตรงก็ตาม แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือออกมาเรียกร้อง เพียงเพราะเขาเป็นสามีเจ้าของบริษัท ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ผมอยากจะทราบว่าภาคทฤษฎีของคุณครูยังมีประโยชน์อยู่ไหมครับ?”
อาจารย์คนนั้นนิ่งไปสักพักราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ สักพักหนึ่งเธอก็ตอบกลับไปว่า
“สิ่งที่ควรแก้ไขคือทัศนคติของสามีเจ้าของบริษัทคนนั้น ส่งเขาไปเรียนด้านบริหารมนุษย์สักคลาส น่าจะดีขึ้นนะ”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะและตอบกลับไปว่า
“เขาคนนั้นจบMBA[1]จากอเมริกา คิดเหรอครับว่าจะไม่เคยเรียนวิชาบริหารมนุษย์มา? เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อแล้วใช่ไหมครับ?”
อาจารย์คนนั้นถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยิน เพราะสุดท้ายเมื่อนำมาซักถามกันอย่างจริงจัง ทฤษฎีก็คือทฤษฎีวันยังค่ำ ไม่ผิดที่เขาจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในส่วนทฤษฎีเหล่านั้น แต่สิ่งที่จ้าวเฉียนกำลังจะอธิบายให้อาจารย์ฟังก็คือ การที่ทฤษฎีหรือความรู้ในหัวแน่น มันไม่สามารถการันตีได้ว่า เขาคนนั้นจะสามารถอยู่ร่วมกับสังคมการทำงานได้เสมอไป ไม่อย่างนั้นจางหยางจะเป็นแบบนี้เหรอ?
ทันใดนั้นเอง บรรดานักศึกษาก็เริ่มซุกซิบกันอีกครั้ง
“เจ้าหนุ่มนี่ไม่รู้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงเลย ทำให้ฟู่เอ๋อร์หัวเสียไม่พอ นี่ยังไปหาเรื่องกับคณบดีมหาลัยอีก!”
“สงสัยชีวิตของเขาคงผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะคงพูดแบบนี้ออกมาได้ แต่อย่างไรวันนี้ถือเป็นวันซวยของเขาจริงๆ ดันหาเรื่องสองคนนี้ในวันเดียว!”
“ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า ทำไมดาวมหาลัยของเราถึงตาบอดคบหากับนายกะหล่ำปลีแบบมัน?”
สุ้มเสียงในห้องเริ่มดังขึ้นในคลาส อาจารย์ตบโต๊ะสองสามคราด้วยความโกรธ ก่อนที่เธอจะหันมากล่าวกับจ้าวเฉียนว่า
“เงียบหน่อย! นี่มันในคลาสเรียนนะ อย่าเสียงดัง! พ่อหนุ่มทำงานอยู่บริษัทไหนกันหื้ม?”
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า
“บริษัทเกมฟางนี่ครับ ถ้าวิธีแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่ในหน้าหนังสือจริง ผมคงกลายเป็นหนอนหนังสือไปแล้ว”
อาจารย์ท่านนี้ไม่ทราบว่า บริษัทเกมฟางนี่คืออะไร แต่บรรดานักศึกษาต่างทราบกันดียิ่ง เพราะทุกคนในคลาสเรียนนี้เล่นเกมมือถือยอมนิยมแห่งยุคอย่าง‘League of Glory’กันหมด กล่าวได้ว่าเป็นเกมที่กำลังฮิตอย่างมากในขณะนี้
ปัจจุบัน ทุกคนต่างตระหนักทราบกันดีแล้วว่า พวกเขาประเมินจ้าวเฉียนต่ำเกินไป และไม่คู่ควรกับเหลียวเซียวหยุน แต่ตอนนี้ทุกำคนรู้กันดีแล้วว่า จ้าวเฉียนนี่แหละของจริง
ณ ขณะนี้ทัศนคติของทุกคนในคลาสที่มีต่อจ้าวเฉียนได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาเอ่ยปากถามจ้าวเฉียนทันทีว่า
“พี่ชายเป็นคนของบริษัทเกมฟางนี่ ค่ายที่สร้างเกม League of Gloryใช่ไหมครับ?”
“เกม League of Glory ควรได้รับรางวัลเกมยอดเยี่ยมประจำปี! แถมยังสร้างรายได้ถล่มถลาย แสดงว่าคุณคงมีเงินเยอะน่าดูจริงไหม?”
“ฮ่าฮ่า…พี่ชาย บริษัทพี่ตอนนี้รับเด็กฝึกงานรึเปล่าครับ?”
“ผมขอไปฝึกที่นั่นได้ไหม!? ผม…ผมไม่รับค่าจ้างเลยสักแดง!”
“ฉันเองก็อยากไปฝึกงานที่นั่นเหมือนกัน!”
[1] ย่อมาจาก Master of Business Administration คณะบริหารระดับสูง(ป.โท)