ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่118 ร้อยล้าน
ตอนที่118 ร้อยล้าน
จ้าวเฉียนกลับเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัว แม่ของเขาเอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า
“ใครโทรมางั้นเหรอ? เห็นออกไปคุยตั้งนาน หวานเจียงรึเปล่า?”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอบไปว่า
“แม่ชอบเธอจริงๆเหรอ?”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้น แค่คิดว่าเธอเหมาะสมที่สุดกับลูกแล้ว แล้วอีกอย่างการจะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจ้าวจะต้องมีหน้ามีตาทางสังคมด้วยเช่นกัน ต้องผ่านการประเมินอย่างเข้มงวด และอย่างน้อยที่สุดภูมิฐานครอบครัวของฝ่ายหญิงจะต้องขาวสะอาด เพราะไม่อย่างนั้นอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ตระกูลจ้าวของเราได้”
“เธอเป็นคุณหนูคนโตของฮวาหยิน กรุ๊ป ภูมิฐานครอบครัวจัดอยู่ในระดับดี แต่ผมได้ยินมาว่า เฟยอวี่ กรุ๊ปจับเธอให้มาแต่งงานกับทายาทของพวกเขา แต่เธอกลับปฏิเสธ”
“เฟยอวี่ กรุ๊ป? บริษัทกระจอกแบบนั้นนี่นะ? จะว่าไปแม่ได้ยินมาว่า ลูกชายเจ้าของเฟยอวี่ กรุ๊ปมีปัญหากับลูกหนิ? ทำไมไม่จ้างคนไปอุ้มฆ่ามันให้สิ้นเรื่องล่ะ?”
ไม่จำเป็นต้องถามถึง คนที่คาบข่าวเรื่องนี้มาบอกแม่จะต้องเป็นหยางหู่ไม่ก็จ้าวฝู่ พ่อของเขานั่นแหละ ที่นำเรื่องของหยางหมิงไปรายงานให้ฟัง
ท้ายที่สุดนี้จ้าวฝู่มีลูกชายแค่คนเดียว นั้นก็คือจ้าวเฉียน แม้ว่าเขาในฐานะผู้เป็นพ่อจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกชายได้ตลอดเวลา แต่เขาเองก็จำต้องรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับลูกชายของเขาเสมอ อย่างน้อยที่สุด ใครบ้างที่เป็นศัตรูกับลูกเขา จ้าวฝู่ต้องรู้จักทั้งหมด
จ้าวเฉียนตระหนักดีว่า เรื่องนี้ไม่อาจหลบซ่อนจากแม่ได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
ด้วยความสวยของอวีกุ้ยเฟิง ในอดีตเธอยังเคยได้ชื่อว่าเป็น‘ราชินีแห่งวงการธุรกิจ’ ไม่เพียงเรื่องความงามเท่านั้นที่ยืนหนึ่ง แต่เรื่องความโหดและเด็ดขาดของเธอเองก็ไม่แพ้เหล่าพญาเสือแห่งวงการนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเธอจะมาเป็นภรรยาของจ้าวฝู่ได้ยังไง? เธอกล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“จะให้เก็บทิ้งก็บอกได้ตลอด ถึงยังไงแม่กับพ่อก็ไม่เมินเฉยเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่าให้มันล้ำเส้นมามากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นแม่คงต้องเข้าไปแทรกแซงแล้วจัดการเองนะ ลูกก็รู้ดีว่า ถ้าถึงมือพ่อลงมาเอง ผลลัพธ์จะเป็นยังไง?”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า
“ผมเข้าใจในความปรารถนาดีของแม่กับพ่อดีนะ แต่ปีนี้ผมก็อายุ24แล้ว มันถึงเวลาที่ต้องเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง ถ้าไม่ปล่อยให้ลองบิน แล้วลูกนกจะรู้จักวิธีบินได้ยังไง? ถ้าในอนาคตเกิดปัญหาขึ้นอีก ผมคงไม่ต้องเดินไปหาหน้าหลุมศพพ่อกับแม่ แล้วขอร้องให้ฟื้นมาช่วยเลยเหรอ?”
อวีกุ้ยเฟิงกลอกตาเล็กน้อยพร้อมเหลือบมองลูกชายของเธอ แต่สิ่งที่เขาพูดไปก็จริงเช่นกัน ยังไงสักวันทั้งพ่อและแม่ก็ต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้าก็เร็ว ถ้าลูกของเขาได้ลองเผชิญหน้ากับความลำบากตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ยังพอมีพ่อแม่คอยสนับสนุน ยังดีกว่าเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีตั้งแต่ตอนนี้ แล้วไปลำบากโดยไม่มีใครช่วยไม่อนาคต
หลังจากคุยกันอีกสักพัก ทั้งสองก็กลับบ้านไปพักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนรีบไปบริษัททันทีหลังจากส่งแม่ของเขาขึ้นเครื่องเสร็จ พอเดินเข้ามาในออฟฟิศ เขาก็พลันได้ยินเสียงโวยวายลั่นมาจากในห้องประชุม เท่าทีฟังดูน่าจะเป็นเสียงตะโกนของหวานฉันซู อีกฝ่ายน่าจะมาที่นี่เพื่อร้องเรียนความยุติธรรม
จ้าวเฉียนครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ จากนั้นเขาก็เดินไปหาทันที หลังจากเคาะประตูอยู่หลายครา จางหยางก็เป็นเปิดประตูให้ ทันทีที่เห็นว่าเป็นจ้าวเฉียน สีหน้าการแสดงออกของจางหยางก็ฉายแววโมโหมาแต่ไกล
“มาสักทีเจ้าตัวดี! หวังว่าแกจะช่วยแก้ปัญหาได้นะ!”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใจใดๆ ปริปากขึ้นกล่าวอย่างใจเย็นว่า
“ผู้จัดการจางมีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูกังวลใช่ย่อย? แล้วให้ผมแก้ปัญหาอะไรงั้นเหรอครับ?”
“ก็แหกตาดูส! ยังจะปัญหาอะไรอีก!!”
“อ่า…ตกลงครับ ผู้จัดการจางคงเหนื่อยแย่ ฮ่าฮ่า…”
จ้าวเฉียนเดินเข้าไปในห้องประชุมทันทีหลังพูดจบ ทางด้านหวานฮันซูก็จ้องเขม็งมาทางเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง สีหน้าของฟางนี่ในขณะนี้เองก็เลวร้ายไม่ต่าง แต่เธอไม่กล้าว่าจ้าวเฉียน เพราะเธอทราบดี บริษัทนี้ไปต่อไม่ได้แน่นอนถ้าไม่มีเขา
จ้าวเฉียนและหวานฮันซูจ้องหน้ากันสักครู่ใหญ่ ก่อนจะเป็นจ้าวเฉียนที่แสยะยิ้มคิกคัก เอ่ยปากแซะถามไปว่า
“ทำไมวันนี้คุณหวานถึงมาที่นี่ได้ครับ? คงว่างมากเลยใช่ไหม?”
น้ำเสียงหงุดหงิดดดังตอบจากปากหวานฮันซูทันทีว่า
“ก็มาเพื่อสืบสวนเรื่องนายนั่นแหละ! ฉันได้ยินมาว่านายต้องการหุ้น31%ของบริษัทนี้ จริงเหรอ?”
จ้าวเฉียนพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
หวานฮันซูเดือดจัดตบโต๊ะเสียงดังปัง พร้อมลุกขึ้นพรวดในทันใด เขาตะคอกขึ้นว่า
“นี่แกรู้ไหมว่า ฉันมีสิทธิ์ถอดถอนสิทธิ์การถือหุ้นของแก! ฉันไม่เห็นด้วยที่แกจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทแห่งนี้!”
จ้าวเฉียนยังคงนั่งไขว้ห้างอย่างสบายอารมณ์ ราวกับกำลังนั่งชื่นชมสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ เอ่ยปากตอบโดยไม่มีท่าทีประหม่าใดๆไปว่า
“ถ้าจำไม่ผิด ประธานฟางบอกว่า คุณไม่ให้สิทธิ์ซื้อขายหุ้นส่วนกับเธอ?”
“ใช่! รู้แบบนี้แล้วยังจะหน้าด้านขอหุ้นส่วนไปอีกงั้นเหรอ?!”
“ฮ่าฮ่า….แล้วทำไมผมต้องขอคุณด้วยล่ะ? ประธานฟางใจดีโอนหุ้นจำนวน31%ให้ผมแบบฟรีๆ แถมยังเป็นส่วนของเธอเองไม่ใช่ส่วนของคุณ ดังนั้นคุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องนี้เช่นกัน คุณหวาน…นี่ไม่ได้เรียกว่าการซื้อขายนะครับ แต่เรียกว่าให้ด้วยความเสน่หา”
หวานฮันซูถึงกับชะงักไปสองสามอึดใจ ก่อนจะตะคอกใส่อีกระลอกว่า
“นี่แก…แกกล้าเล่นคำกับฉันงั้นเหรอ? ไร้ยางอาย!”
“คุณหวานพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ คุณเองก็ควรเคารพในสิทธิเสรีภาพของประธานฟาง ผมกู้บริษัทจากหายนะขึ้นมาได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นรางวัลที่ผมควรได้รับเช่นกัน คุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงนะครับ แล้วอย่ามาก้าวก่ายในส่วนหุ้น31%ของผมด้วย”
หวานฮันซูถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอจ้าวเฉียนกระหน่ำใส่มาชุดใหญ่ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้เลย เขาต้องทุ้มเงินกว่า20ล้านเพื่อเข้าซื้อหุ้น แต่จ้าวเฉียนกลับได้หุ้นส่วนจำนวน31%ไปแบบฟรีๆ? ดังนั้นเขาจึงคิดหาวิธีอื่นเพื่อจัดการกับจ้าวเฉียนทันที
“โอเค! ฉันเข้าใจแล้ว! แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ…นายต้องอัดฉีดเงินทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายอัตราส่วนของผู้ถือหุ้น ให้มากกว่า32%ขึ้นไป!”
ฟางนี่ส่ายหัวและตอบไปว่า
“ไม่! บริษัทฉันไม่สามารถขยายส่วนของผู้ถือหุ้นได้มากกว่านี้แล้ว! ไม่อย่างนั้นฉันจะสูญเสียคุณสมบัติประธานบริษัทไป!”
“ไม่! คุณให้ผม32% ส่วนเขา31% คิดได้เป็น63%จากทั้งหมด และคุณยังเหลือตั้ง37% ถึงจะขยายยังไงคุณก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ตราบเท่าที่คุณไม่โอนหุ้นให้ใครมัวซั่วอีกในอนาคต!”
ในความเป็นจริงจะเพิ่มขึ้นแค่1หรือ2% มันก็ไม่ได้กระทบกับเธอมากเท่าไหร่นัก แต่เพราะถ้ายอมรับข้อตกลงไป ก็ไม่ต่างอะไรกับหักหลังจ้าวเฉียนเลยเช่นกัน ได้หุ้นไปแล้วยังต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เขาจะไปจ่ายไหวได้ยังไง?
จ้าวเฉียนยิ้มตอบหวานฮันซูไปว่า
“คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าขยายขึ้นสัก2% กลับเป็นคุณเองที่ได้ผลประโยชน์ เอาแบบนี้แล้วกันถ้าอยากได้หุ้นส่วนเพิ่มมากนัก ผมจะขายให้ คำนวณจากกมูลค่าปัจจุบันของบริษัท 2%ผมขายให้ในราคา100ล้านล่ะกันครับ”
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เปล่งดังออกมา ทุกคนก็แทบลุกขึ้นทันที หุ้นส่วนแค่2%มีมูลค่าตั้ง100ล้าน ถ้า100%มูลค่ารวมบริษัทไม่ปาเข้าไป5,000ล้านหยวนเลยเหรอ?
หวานฮันซูตบโต๊ะอีกรอบเสียงดังลั่น
“นี่แกเอาบ้าอะไรมาคำนวณ!”
เสียงหัวเราะดังลั่น จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปว่า
“ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายไหวก็ไม่ต้องถามครับ ถึงตอนนี้มูลค่าของบริษัทจะไม่มากนัก แต่ในไม่ช้าบริษัทนี้จะต้องพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น2%ในราคา100ล้านถือว่าคุ้มค่ามากครับ”
“นี่แกคิดว่าฉันโง่มากรึไง! 2%ท่ากับ100ล้าน ก็หมายความวามูลค่าโดยรวมของบริษัทจะสูงถึง5,000ล้านหยวน บริษัทเกมเล็กๆแบบนี้บริหารยังไงก็ไม่มีทางมีมูลค่าสูงขนาดนั้นได้ นอกจากต้องฟอกเงิน!”
“คุณไม่เชื่อก็ตามใจครับ ผมเองก็ไม่ได้ต้องการเงินจากคุณเช่นกัน”
หวานฮันซูรู้สึกได้ว่า ต่อปากต่อคำกับจ้าวเฉียนต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาจึงหันมาถามฟางนี่แทนว่า บริษัทนี้เป็นของเธอหรือเป็นของจ้าวเฉียนกันแน่ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงประธาน แต่ทำไมให้ลูกน้องมากดขี่ได้ถึงขนาดนี้?
ฟางนี่รู้สึกอับอายอย่างมากเมื่อได้ยิน แต่เธอก็ทราบดี บริษัทแห่งนี้อยู่ไม่ได้โดยปราศจากจ้าวเฉียน ถึงยังไงเธอก็จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเขา
ทว่าจางหยางไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย เขาจึงตอบแทนฟางนี่ทันทีว่า
“ชื่อบริษัทก็บอกอยู่ว่าเป็นของฟางนี่ ดังนั้นบริษัทแห่งนี้เธอสร้างมากับมือแน่นอน แล้วจะให้คนอื่นมาบงการได้ยังไง? ถ้านายอยากได้หุ้นส่วนเพิ่มจริงๆก็ต้องใช้เงินแหละนะ เอาอย่างงี้ดีกว่า2%ในราคาสิบล้านเป็นไง?”
“จางหยาง นี่เห็นฉันลงทุนในบริษัทของนายเพราะเห็นแก่เพื่อนงั้นเหรอ? ฉันเพิ่งลงทุนไป20ล้านเพื่อแลกกับ30% แต่ตอนนี้กลับมาเสนอขายหุ้น2%ในราคาตั้งสิบล้าน แกบ้าไปแล้วเหรอ?”
“ในเวลานั้นกับเวลานี้มันต่างกัน บริษัทของเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เรทราคาจึงแตกต่างกันออกไปน่ะ”
จ้าวเฉียนขี้เกียจมานั่งฟังสองคนนี้เถียงกันแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกจากห้องประชุมทันที ก่อนทิ้งท้ายไว้ว่า เรื่องจำนวนหุ้นส่วนของบริษัท ห้ามให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายบริษัทนี้ทิ้งด้วยมือเขาเอง
ประโยคนี้ที่จ้าวเฉียนกล่าวออกไปก็เพื่อเตือนใจฟางนี่ไม่ให้สับสน ตราบเท่าที่เขาเต็มใจ เพียงโทรกริ๊งเดียวจ้าวเฉียนก็สามารถทำให้บริษัทซิงหยวนถอนความร่วมมือออกไปได้ทันที และนั้นจะส่งผลให้บริษัทเกมฟางนี่ ตกสู่หายนะอีกครั้ง
จางหยางกับหวานฮันซูย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดโดยธรรมชาติ ทั้งคู่ถามสวนกลับไปทันทีว่า ที่พูดไปหมายความว่ายังไง? คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้รึเปล่า?
จ้าวเฉียนไม่ได้ให้ความสนใจใดๆต่อคำถามของพวกเขาเลย พร้อมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเก่ง เพื่ออ่านนิยายอย่างสบายใจเฉิ่ม
สุ้มเสียงฉกเฉียงยังคงดังลั่นภายในห้องประชุมอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะหยุดลงในท้ายที่สุด และเป็นหวานฮันซูที่เดินออกมาด้วยความเดือดจัด ปิดประตูห้องประชุมเสียงดังปัง ขณะเดินกลับเขาหันมามองจ้าวเฉียนด้วยสายตาสุดแสนจะดุร้ายและลงลิฟต์ไปโดยตรง
คล้อยหลังไม่นานนัก จางหยางก็เดินมาหาจ้าวเฉียนที่โต๊ะทำงานและโยนเอกสารปึกหนึ่งลงต่อหน้า
“จ้าวเฉียน นายพูดเองใช่ไหมว่า บริษัทของเราจะเติบโตจนมีมูลค่ากว่าหลายพันล้าน? อาศัยแค่พึ่งพาซิงหยวนเพียงบริษัทเดียวเองงั้นเหรอ? เห็นได้ชัดว่าเราไม่มีทางประสบความสำเร็จไปถึงจุดนั้นได้เลย เราต้องการดิลกับคู่ค้ารายใหม่ เอกสารชุดนี้คือข้อมูลบริษัทที่ฉันอยากให้นายไปดิลด้วย นี่เป็นหน้าที่ของนายแล้ว ถ้าทำไม่ได้เตรียมรับโทษและลาออกไปได้เลย”
จ้าวเฉียนไม่ได้มองเอกสารปึกหนาตรงหน้าด้วยซ้ำ แค่ยิ้มตอบไปว่า
“ไม่มีปัญหาครับ”
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนมุมปากของจางหยาง เขาเอ่ยถามขึ้นว่า
“ยังไม่ได้เปิดอ่านด้วยซ้ำว่าเป็นบริษัทไหน แล้วนายมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
จ้าวเฉียนสะบัดปอยผมเล็กน้อย เอ่ยตอบไปว่า
“แน่นอนครับ มั่นใจมาก”
“ฮ่าฮ่า…หวังว่าจะทำได้อย่างที่พูด!”
จางหยางเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์บนมุมปาก