ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่120 ไร้เหตุผล
ตอนที่120 ไร้เหตุผล
แม้จะไม่มีใครรู้ว่าหยางหมิงกำลังโทรไปหาใคร แต่ดูจากท่าทีอันเกรี้ยวโกรธและน้ำเสียงแสนหยาบกระด้างนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ฟางนี่รีบขอโทษหยางหมิงทันที
“นายน้อยหยาง อย่าหัวเสียเลย ทำธุรกิจกันต้องมีขัดแย้งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวทางดิฉันจะรีบหาทางแก้ไขโดยด่วนเลยค่ะ”
“แก้บ้อแก้บออะไรอีก! เดือนที่แล้วฉันก็บอกไม่ใช่เหรอว่า โปรเจคนี้มีปัญหาให้รีบแก้ไขโดยด่วน พอมาวันนี้มีอะไรเปลี่ยนบ้าง? ก็ยังแย่เหมือนเดิม! กูไม่อยากคุยกับพวกโง่แล้วโว้ย!”
ท่าทางการแสดงออกของฟางนี่ดูลุกลี้ลุกลนอย่างมาก เธอรีบเอ่ยถามไปว่า
“แล้วนายน้อยหยางต้องการอะไร ดิฉันจะทำตามทุกอย่าง!”
“ง่ายชิบหาย ค่าชดเชยไง! ค่าชดเชย!! ตามสัญญาเป็นราคาสามเท่าจากเดิม ถ้าไม่ยอมให้ กูจะทุบออฟฟิศมึงให้แหลก!”
จางหยางยิ่งเดือดดาลจัดเข้าไปใหญ่พอได้ยินแบบนั้น ปรากฏว่าหยางหมิงมันจ้างคนมาทำลายข้าวของในออฟฟิศนี่เอง! เขาตะคอกเสียงดังลั่นไปว่า
“คุณกล้าเหรอ!? คิดจะทำเรื่องผิดกฎหมายต่อหน้าต่อตากันแบบนี้เลยใช่ไหม?!”
หยางหมิงหันควับไปจ้องจางหยางตาเขม็ง เค้นเสียงตอบทีละคำอย่างหนักแน่นว่า
“กู ไม่ กลัว! ”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เจียงเสี่ยวปิงก็รีบวิ่งเข้ามา
“ประธานฟางแย่แล้ว! มีพวกอันตธานกลุ่มนึงบุกเข้ามาในออฟฟิศ ไล่ทุบคอมพิวเตอร์ในแผนกพัฒนาไม่หยุดเลย”
“อะไรนะ?!”
ฟางนี่ตกใจอย่างมากที่มีคนบุกเข้ามาทำลายข้าวของในออฟฟิศ ทั้งเธอ จางหยางและหวังเฉียงรีบวิ่งออกไปดูทันที
ปรากฏว่ามรแก๊งอันตธานกลุ่มหนึ่งกำลังอาลวาดไม่หยุด ถึงขั้นไล่กระทืบพนักงานแผนกพัฒนาไม่ยั้ง
ฟางนี่ตะโกนลั่นด้วยความตื่นตระหนก
“หยุด! หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! พวกแกเป็นใคร! มาก่อเรื่องที่นี่ทำไม?!”
ในตอนนั้นเอง สุ้มเสียงของหยางหมิงพลันตะโกนขึ้นจากด้านหลัง
“เจ้าพวกนั้นเป็นคนของฉันเอง ก็บอกไปแล้วไงว่าจะจ่ายค่าชดเชยมาหรือจะทุบออฟฟิศนี้ให้เละ! คอมพิวเตอร์สำหรับออกแบบเกมข้างค้างมีมูลค่าสูงนะ ถ้าพังทีจะเป็นยังไง?”
“หยางหมิง อย่าให้เรื่องมันเกินไปกว่านี้เลย!”
ฟางนี่ตะโกนลั่นด้วยความโกรธ
ในที่สุดฟางนี่ที่ข่มกลั้นความโกรธอยู่นานก็ถึงขีดจำกัด หยางหมิงที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกชื่นใจเสียเหลือเกิน พร้อมตะโกนตอบกลับอย่างหน้าด้านๆ ไปว่า
“เกินกว่านี้แล้วยังไง? น้ำหน้าอย่างคุณทำอะไรผมได้?”
ทันทีที่เห็นภรรยาถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ จางหยางก็ไม่สามารถทนดูได้เช่นกัน แต่เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะหยุดอีกฝ่ายได้ จึงทำได้แค่ขยิบตาส่งสัญญาณแก่หวังเฉียง กระตุ้นให้ทำอะไรสักอย่าง นี่ถือเป็นสถานการณ์วัดใจเช่นกันว่า ลูกน้องคนนี้มีมิตรภาพต่อเขาเหนียวแน่นเพียงใด
หวังเฉียงตระหนักถึงอำนาจอิทธิพลของหยางหมิงเป็นอย่างดี รองผู้จัดการบริษัทเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ แต่เขาเองก็ไม่อยากทำให้จางหยางต้องผิดหวังเช่นกัน ดังนั้นจึงคิดหาวิธีโยนภาระหน้าที่ไปให้คนอื่นโดยเร็ว
หวังเฉียงคลี่ยิ้มประจบ กล่าวกับหยางหมิงขึ้นว่า
“นายน้อยหยาง เหตุผลที่ทำให้คุณโกรธขนาดนี้เพราะจ้าวเฉียนใช่ไหม? ไม่ใช่เป็นเพราะตัวผลิตภัณฑ์ เราจะลากมันให้มาขอโทษต่อหน้าคุณเดี๋ยวนี้เลย”
หยางหมิงเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากจ้าวเฉียน เพื่อหาโอกาสโทรเรียกกลุ่มอันตพาลที่เขาจ้างบุกเข้ามาเท่านั้น แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการทำลายบริษัทเกมฟางนี่ จ้าวเฉียนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในขณะนี้จะต้องแบกรับหนี้อันมหาศาลหลังบริษัทล้มละลาย
ดังนั้นต่อให้จ้าวเฉียนออกมาขอโทษ หยางหมิงย่อมไม่ยอมหยุดง่ายๆ แน่นอน
“อะไร? เป็นถึงรองผู้จัดการ แต่กลับเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับส่วนรวม? นี่กำลังทำธุรกิจกันนะเว้ย ไม่ใช่เล่นขายขนม! เกมที่พวกแกพัฒนามามันห่วย! ดังนั้นก็ต้องชดเชยตามที่สัญญาระบุไว้!”
ราวกับว่าหยางหมิงตบหน้าหวังเฉียงฉะใหญ่ต่อหน้าทุกคน โดยปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้กับพื้นพร้อมกับความอับอาย
ถึงจ้าวเฉียนออกมาขอโทษ ทางด้านหยางหมิงก็ยังไม่ยอม นี่แสดงให้เห็นว่า การประเมินครั้งนี้มันต่ำกว่ามาตรฐานที่หยางหมิงกำหนดไว้จริงๆ
ฟางนี่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ในฐานะผู้เป็นสามีของเธอ จางหยางลุกขึ้นออกมาปกป้องแทนทันที
“หยางหมิง ถ้าคุณคิดว่าพวกเราพัฒนาเกมออกมาไม่ได้มาตรฐานจริงๆ ก็สามารถไปฟ้องศาลได้เลย แล้วค่อยไปต่อสู้กันอย่างถูกกฎหมาย ไม่ใช่ลอบกัดจ้างคนมาทำลายข้าวของแบบนี้ แถมมาพังคอมพิวเตอร์ก็ยิ่งทำให้การพัฒนาล่าช้าไปอีกไม่ใช่รึไง? นี่ส่งผลกระทบไปถึงโปรเจคพัฒนาของซิงหยวนอีก! ท้ายที่สุดนี้กลับเป็นคุณที่ต้องแบกรับผลกรรมทั้งหมด!”
สีหน้าของหยางหมิงมืดทมิฬลงทันใด ก่อนจะค่อยๆ ย่างสามขุมตรงเข้าประจันหน้ากับจางหยาง และปริปากกล่าวขึ้นอย่างดูถูกดูแคลนว่า
“ได้ งั้นแกก็โทรหาซิงหยวนสิ ถ้าพวกเขายอมออกมาปกป้องแก ฉันเองก็จะยอมออกไปทันที!”
จางหยางหันไปหาหวังเฉียง ขอให้อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาซิงหยวนโดยตรง
แต่ขณะที่จางหยางยกหูขึ้นโทร กลับเป็นจ้าวเฉียนที่ยกมือมาหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าหมอนี่ คุณเอามันไม่อยู่หรอก ให้ผมช่วยดีกว่านะ”
ทีท่าของจางหยางดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วเช่นกัน หยางหมิงเรียกแก๊งอันตพาลมานับสิบ เข้ามาทำลายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในพริบตาเดียว
แม้ภายในใจจางหยางจะทราบดีว่า ด้วยฝีมือตนเองคงไม่มีหวังนัก แต่หากเป็นจ้าวเฉียนที่สามารถโทรหากัวหมิงต้าแค่กริ๊งเดียว ก็สามารถแก้วิกฤตในตอนนั้นได้ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มีแต้มต่อดีกว่าเขามาก
จางหยางไม่ค่อยจะเต็มใจยอมรับ เอ่ยขู่ไปว่า
“ถ้าเกิดมันกระทบกับโปรเจคเดิมของเรา นายต้องรับผิดชอบ!”
“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นมาจริง เราสามารถนำภาพจากกล้องวงจรปิดในออฟฟิศ นำไปแจ้งตำรวจและยื่นคำร้องในชั้นศาล เพื่อเอาผิดกับทางนายน้อยหยางได้ แล้วทำไมต้องลากให้ผมมารับผิดชอบด้วย?”
“ไม่! แค่ฉันก็จัดการทุกอย่างได้แล้ว พนักงานตัวเล็กๆอย่างแกไม่ต้องมายุ่ง!”
ต่อหน้าภรรรยาแบบนี้ จางหยางไม่ยอมให้จ้าวเฉียนได้หน้าไปอีกเด็ดขาด
“ก็ตามใจนะครับ มีอะไรก็เรียกล่ะกัน ผมขอตัวไปชงกาแฟก่อน”
พูดจบจ้าวเฉียนก็เดินตรงออกไปดั่งทองไม่รู้ร้อน
จางหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนกัดฟันกดต่อสายตรงโทรไปหาบริษัทซิงหยวนทันที เขาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง และกล่าวทิ้งท้ายว่า
“หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าวของแผนกพัฒนาของเรา มันจะกระทบไปถึงโปรเจคระหว่างเรากับทางคุณด้วย ช่วยออกหน้าให้ความช่วยเหลือทีครับ!”
“นี่ไม่ใช่ธุรกิจของทางเราค่ะ ถ้าไม่สามารถพัฒนาโปรเจคได้ทันตามที่กำหนด ทางเราจะส่งเรื่องนี้ต่อศาลเพื่อร้องเรียกค่าชดเชยจากทางคุณตามที่สัญญาระบุไว้ อย่าลากซิงหยวนของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ขอโทษค่ะ ตู๊ด..ตู๊ด..”
จางหยางแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินแบบนั้น โทรศัพท์มือถือร่วงลงจากในมืออย่างไร้เรี่ยวแรง ฟางนี่เห็นแบบนั้นพลันส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
หยางหมิงระเบิดหัวเราะสียงดังสนั่น กล่าวเย้ยหยันไปว่า
“ฮ่าฮ่าๆๆ … พวกซิงหยวนก็ไม่ยอมยื่นมือมาช่วยงั้นเหรอ? ไม่ต้องกลัว แค่เตรียมชำระค่าชดเชยมาให้พร้อม!”
ฟางนี่สุดจะทานทนได้ไหวแล้ว เธอตะโกนลั่นว่า
“หวังเฉียง! นายไปเรียกจ้าวเฉียนกลับมาเดี๋ยวนี้!!!”
จางหยางตะโกนหักห้ามไว้ในทันใดด้วยความโกรธจัด
“ทำไมเธอถึงเข้าใจยากเข้าใจเย็นขนาดนี้! แม้แต่จ้าวเฉียนก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว!!”
หวังเฉียงที่กำลังตั้งท่าจะวิ่งออกไปถึงกับชะงักฉับพลัน
“หวังเฉียงไม่ต้องฟังเขา! ฉันบอกให้ไปเรียกจ้าวเฉียนมา!!”
“อะไรๆ ก็จ้าวเฉียน! จ้าวเฉียน!! จ้าวเฉียน!!! แต่งงานกับมันแทนผมเลยไหม!!?”
“พอได้แล้ว! หุบปากไปเดี๋ยวนี้! หวังเฉียง นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดไปรึไง?! หรือเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟังคำพูดฉันแล้ว?!!”
หวังเฉียงพยักหน้าโดยเร็ว พุ่งตัววิ่งออกไปโดยไว ชนิดไม่กล้าผ่อนแรงเลย
ขณะนั้นเองจ้าวเฉียนกำลังยืนพิงเคาน์เตอร์ชงกาแฟ พลางค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหวงโหย้วให้ได้มากที่สุดทางอินเตอร์เน็ต เพื่อเตรียมตัวสำหรับการดิลคู่ค้า
หวังเฉียงวิ่งเข้ามาหาพร้อมท่าทีเหนื่อยหอบ กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจขึ้นว่า
“จ้าวเฉียน… แฮ่ก แฮ่ก…ประธานฟางเรียกตัวด่วน…”
จ้าวเฉียนชูแก้วกาแฟในมือและเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นขึ้นว่า
“ขอดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อนนะ”
“ยังจะมาใจเย็นอยู่อีก! ที่หยางหมิงบ้าดีเดือดขนาดนี้ก็เพราะแกนั่นแหละ รีบไปได้แล้ว!!”
“ก็ผู้จัดหารจางบอกเองว่าจัดการเองได้ แล้วอีกอย่าง…ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ที่ฉันต้องรับผิดชอบด้วย นี่มันหน้าที่ของผู้นำอย่างพวกนายมากกว่านะ ฉันก็แค่พนักงานตัวกระจ้อยคนหนึ่งเท่านั้น”
หวังเฉียงโกรธมาก เหวียงมือขึ้นทุบเตาน์เตอร์ชงกาแฟจนแก้วที่วางอยู่สั่น กล่าวขู่ขึ้นคำหนึ่งว่า
“อย่างแรกนะ นี่คือความผิดของนาย! อย่างที่สองคือ ฉันเป็นรองผู้จัดการมีสิทธิ์สั่งพนักงานตัวกระจ้อยอย่างแก! ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปซะ! อย่าบ่น!”
จ้าวเฉียนแค่พยักหน้าตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะวางแก้วกาแฟและก้มหน้าดูมือถือเดินออกไป
หวังเฉียงวิ่งกลับมารายงานฟางนี่และบ่นให้เธอฟังทันทีว่า
“ประธานฟาง! จ้าวเฉียนมันบอกว่า นี่ไม่ใช่ขอบเขตหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ เป็นแค่พนักงานตัวกระจ้อย มันไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรบริษัทเราเลย!”
ฟางนี่ตระหนักได้ทันทีว่า จ้าวเฉียนจะต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ยื่นมือมาช่วย
เวลานั้นเองจ้าวเฉียนก็ก้มหน้าดูมือถือเดินเข้ามาอย่างไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย
“จ้าวเฉียน ต้องทำยังไงนายถึงจะช่วยพวกเรา?”
ฟางนี่เอ่ยถามด้วยความกังวล
จ้าวเฉียนเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ ปั้นหน้าตาไร้เดียงสากล่าวตอบไปว่า
“ไม่รู้สิครับ ทีแรกผมก็อยากจะช่วยอยู่หรอก แต่พอผู้จัดการจางกล่าวตอบแบบนั้น ผมก็ตระหนักขึ้นได้ว่า พนักงานตัวเล็กๆ อย่างผมคงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรบริษัทได้ เรื่องแบบนี้ต้องปล่อยหะดับผู้นำจัดการไปแหละครับ ประธานฟาง คุณมีตั้งผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวังอยู่ทั้งคน อุ่นใจได้หลายเปราะ”
จู่ๆ จางหยางก็กระชากแขนของฟางนี่มาหลบมุม ณ ด้านหนึ่ง และกล่าวขึ้นด้วยความโกรธจัด
“นี่เธอช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม? ช่วยเลิกทำตัวงี่เง่าและเลิกทำให้ฉันรู้สึกว่าด้อยกว่ามันได้แล้ว! เวลามีปัญหาก็เรียกหาแต่มัน! ช่วยมองมาที่ผมบ้างได้ไหม? ผมเป็นสามีของคุณนะ!!”
ฟางนี่เบื่อหน่ายเต็มทนแล้วกับความไร้เหตุผลของจางหยาง เธอจึงเดินออกมาและกล่าวต่อหน้าทุกคนเสียงดังฟังชัดว่า
“เอาล่ะ! ฉันจะให้โอกาสคุณพิสูจน์ตัวเอง มีวืธีไล่หยางหมิงออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ได้ไหม? ถ้าทำได้ฉันจะฟังคุณนับตั้งแต่บัดนี้ แต่ถ้าไม่ได้ก็เลิกทำตัวงี่เง่าได้แล้ว! ไม่ก็ลาออกไปจากบริษัทนี้ไปเลย!!”
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ จางหยางไม่สามารถถอยออกไปไหนได้อีกแล้ว หากเขาไม่สามารถแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ไปได้ คงไม่เหลือหน้าอยู่ในบริษัทนี้ต่อแล้วเช่นกัน
“ดี! ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นเองว่า ฉันเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่ามันเลย!”
ทันทีที่พูดดจบ จางหยางก็หยิบมือถือขึ้นมาและโทรหาหวานฮันซูโดยเร็ว เพราะนี่คือความหวังเดียวของเขาแล้ว