ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่121 การสมรู้ร่วมคิด
ตอนที่121 การสมรู้ร่วมคิด
สายที่โทรออกติดขึ้นในไม่ช้า หวานฮันซูเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่
“มีอะไรอีก?”
จางหยางรีบกล่าวอธิบายทันที
“นายจำหยางหมิงคนที่ฉันเล่าให้นายฟังได้ไหม? ตอนนี้อีกฝ่ายมาก่อปัญหาถึงออฟฟิศฉันแล้ว!”
หวานฮันซูหัวเราะเยาะคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า
“ก็ไปเรียกจ้าวเฉียนสิ โทรหาฉันทำไม? ไม่ว่ามันจะพูดอะไรนายก็เชื่อฟังมันทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ ให้มันช่วยสิ!”
“มันเองก็แก้ปัญหาไม่ได้ หยางหมิงเอาตายถึงขั้นยุบบริษัทเลยนะ! ถามเป็นแบบนั้นเงินทุนทั้งหมดที่นายลงไปจะหายไปในพริบตา!”
ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ขอเพียงอย่าให้บริษัทฟางนี่ต้องล้มละลายก็พอ ไม่อย่างนั้นหวานฮันซูในฐานะผู้ถึอหุ้นพลอยล้มจมเป็นแน่
“เดี๋ยวฉันโทรคุยกับเขาเอง”
คล้อยหลังพูดจบหวานฮันซูก็กดตัดสายทิ้ง และโทรไปหาหยางหมิงแทน
“ฮาโหลครับ นายน้อยหยาง มาทำอะไรที่บริษัทเกมฟางนี่ครับ?”
หยางหมิงไม่คิดปกปิดเรื่องนี้อยูแล้ว จึงกล่าวตอบตามตรงไปว่า
“มาบังคับให้พวกมันจ่ายค่าชดเชย”
“ผมมีเงินลงทุนอยู่ในบริษัทนั่น20ล้าน คุณเองก็น่าจะทราบดีว่าผมมีสำนักงานใหญ่ที่อเมริกาหนุนหลังอยู่ ถ้าเงิน20ล้านก้อนนี้กลายเป็นทุนจมขึ้นมา ทางสำนักงานใหญ่ไม่นิ่งนอนใจแน่นอน แถมสำนักงานใหญ่ที่ผมอยู่ได้ข่าวว่าเป็นหนุ้ในหุ้นส่วนใหญ่ของเฟยอวี่ กรุ๊ปด้วยหนิครับ เรื่องนี้คุณพอจะทราบใช่ไหม?”
หยางหมิงเริ่มลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินหวานฮันซูกล่าวไปแบบนั้น สำหรับการลงทุนครั้งนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตก็ไม่เกินจริง และถ้าหยางหมิงยังคงบีบต้อนอีกฝ่ายต่อไป มีหวังกระทบถึงเฟยอวี่ กรุ๊ปจริงๆแน่
ทว่าอย่างไรโอกาสแบบนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วเช่นกันที่จะจัดการจ้าวเฉียน ถ้าทำลายบริษัทฟางนี่ให้สิ้นซากได้ ก็เท่ากับว่าล้มจ้าวเฉียน ศัตรูคู่ปรับคนนี้ได้เช่นกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพีกใหญ่ หยางหมิงก็ปลีกตัวเดินออกมาจากฝูงชน มาหลบมุมอยู่ด้านหนึ่ง หวังไม่ให้ใครได้ยินบทสนทนาที่เขากำลังจะกล่าวกับหวานฉันซูต่อจากนี้
“ฉันได้ยินมาว่า จ้าวเฉียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของฟางนี่ ทำไมนายไม่รีบโอนหุ้นในมือให้มันไปก่อน แค่นี้ก็ถอนทุนคืนมาได้ แล้วทางสำนักงานใหญ่ของนายเองก็คงไม่ว่าอะไรจริงไหม?”
หวานฮันซูถอนหายใจเฮือกหนึ่งกล่าวว่า
“พูดง่ายแต่ทำยากน่ะสิ ที่ผมลงทุนไปไม่ใช่หลักพันหมื่น แต่มากถึง20ล้าน! แล้วไอ้หมอนั่นจะมีปัญญาซื้อไปหมดได้ยังไง?”
“นายถามมันไปสิว่า อยากได้เงินรึเปล่า ถ้าอยากนี่เป็นโอกาสดีแล้ว เพราะถ้ารวมส่วนผู้ถือหุ้นของนายกับมัน ก็เกินครึ่งแน่นอน นั้นหมายความว่าจะมีสิทธิ์ควบคุมบริษัทนี้ได้โดยชอบธรรม พยายามขายฝันมันเข้าไว้ จาดนั้นฉันจะทำลายบริษัทฟางนี่ให้เละ! ครั้งนี้แหละ…มันตายแน่นอน! ฮ่าฮ่า…”
หวานฮันซูเงียบไปสักพักคล้ายว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ ก่อนเอ่ยตอบไปว่า
“ถ้าแบบนั้นผมเองก็เห็นด้วยนะ อย่าเพิ่งทำอะไรจนกว่าผมจะให้สัญญาณอีกทีแล้วกัน ถึงตอนนั้นคุณค่อยลงมือ”
“โอเค ฉันจะถ่วงเวลาพวกมันเอาไว้ก่อน แล้วรอจนกว่านายจะมาถึงที่นี่แล้วกัน”
หวานฮันซูพยักหน้าและรีบไปที่บริษัทฟางนี่ในทันที
หยางหมิงจงใจหาเรื่องฟางนี่กับคนอื่นๆเพื่อถ่วงเวลาจนหวานฉฮันซูมาถึง
จางหยางที่เห็นแบบนั้นพลันมีความสุขอย่างมาก และรีบวิ่งไปทักทายเขาอย่างรวดเร็ว
“ฮันซู ในที่สุดก็มาถึงสักที รีบไปแผนกพัฒนาเดี๋ยวนี้เลย แล้วพาอีกฝ่ายออกไปด้วย!”
หวานฮันซูส่ายหัวและตอบกลับทันทีว่า
“ไม่ ฉันจะไปหาจ้าวเฉียนก่อน”
จางหยางเอ่ยถามอย่างงุนงงว่า
“นี่นายจะคุยอะไรกับเขาในเวลาแบบนี้?”
หวานฮันซูเอ่ยตอบเสียงเย็น และเดินผ่านหน้าจางหยางไปอย่างไม่แยแส
“นี่เป็นความลับ นายไม่จำเป็นต้องรู้”
จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นถึงขั้นวิตกในทันใด พลางครุ่นคิดกับตัวเองว่า
“หวานฮันซู…นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หวานฮันซูเดินไปหาจ้าวเฉียน พลางเคาะโต๊ะสองสามคราเพื่อเรียกเขา
“จ้าวเฉียน ออกมาคุยกันหน่อย”
จ้าวเฉียนเงยหน้าขึ้นมองหวานฮันซู จากนั้นก็ก้มศีรษะปัดมือถือหาข้อมูลบนจอไปต่อ โดยไม่มีท่าทีสนใจอีกฝ่ายแม้สักนิด
หวานฮันซูเห็นแบบนั้นถึงกับหัวเสียทันที แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้มีแต่จำต้องข่มกลั้นความโกรธลงท้องไปอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะโน้มหัวเข้ากระซิบข้างหูจ้าวเฉียนว่า
“ฉันจะคุยกับนายเรื่องโอนหุ้นส่วน นายไม่สนใจได้เพิ่มเหรอ?”
จ้าวเฉียนกดปิดจอโทรศัพท์มือถือและลุกออกไปพร้อมกับหวานฮันซูทันทีโดยไม่พูดไม่จาใดๆ
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าต่างระหว่างทางเดิน
“ขอแบบตรงไปตรงมาเลยครับ ผมไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระ”
จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นน้ำเสียงเรียบนิ่ง
หวานฮันซูพยักหน้าและเข้าเรื่องไปในทันทีว่า
“ฉันไม่ต้องการถือหุ้นส่วนของที่นี่อีกแล้ว นายสนใจซื้อต่อไหม?”
ทว่ากลับผิดคาด จ้าวเฉียนส่ายหัวตอบไปว่า
“ผมต้องการหุ้นส่วนของที่นี่ก็จริง แต่ไม่เอาของในมือคุณ”
หวานฮันซูถึงกับไปไม่เป็นไปชั่วครู่ และเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า
“ทำไม? จะหุ้นของฉันหรือฟางนี่มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ฮ่าฮ่า…ผมไม่รู้ว่าคุณจะแทงข้างหลังผมเมื่อไหร่ อยู่ดีๆก็ขายหุ้นให้ผมตั้ง31% ผมว่ามันแปลกๆนะ แถมอีกอย่างราคาตั้ง20ล้านหยวน ถ้า20หยวนยังว่าไปอย่างจริงไหม?”
หากไม่สามารถระบายหุ้นในมือเขาออกไปได้ ก็เท่ากับว่าหวานฮันซูยังลงเรือดำเดียวกับฟางนี่อยู่ และไม่สามารถดำเนินการแผนต่อไปได้ เขาตะคอกใส่จ้าวเฉียนคำโตด้วยความหงุดหงิดและเดินจากไปหาหยางหมิง
หยางหมิงปลีกตัวเองออกมาจากทุกคนแอละออกไปสูดอากาศด้านนอกกับหวานฮันซูตามลำพัง
“ไอ้เวรจ้าวเฉียนไม่ยอมซื้อหุ้นของฉัน ถ้าแบบนี้เราจะโค้นบริษัทฟางนี่ได้ยังไง? ฉันต้องหาวิธีระบายหุ้นส่วนพวกนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด จากนั้นคุณจะทำอะไรต่อก็ตามสบายเลย”
หวานฮันซูยื่นซองบุหรี่ให้หยางหมิง นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขากำลังเอาใจอีกฝ่ายอยู่
หยางหมิงเองก็ไม่ต้องการสละโอกาสทองเช่นนี้ไปเช่นกัน แต่ตอนนี้เงินทุนของหวานฮันซูยังติดอยู่ในบริษัทฟางนี่ เขาจึงยังเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้มากเท่าที่ควร
“ฉันจะรอ แต่นายต้องสัญญาก่อนว่าจะเอาเงินทุนก้อนนั้นมาอัดฉีดให้กับเฟยอวี่ กรุ๊ปโดยเร็วที่สุดหลังจากนี้”
หวานฮันซูยื่นมือทุบอกตัวเองอย่างภาคภูมิและกล่าวว่า
“ไม่ต้องห่วงเลยครับ เรื่องนี้อยู่ในการดูแลของผมแล้ว ไม่เพียงแค่20ล้านก้อนนั้น แต่ผมกำลังรอให้ทางสำนักใหญ่อนุมัติเช็คอีกใบ เงินทุนระลอกสองใกล้จะมาถึงเร็วๆนี้แล้ว ด้วยแรงสนับสนุนจากสำนักงานใหญ่ในครั้งนี้ จะต้องดันให้แพชตฟอร์มเฟยอวี่ ขึ้นแทรกเทียนซูวและกลายมาเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในอนาคตแน่นอน! ถึงเวลานั้นนายน้อยหยางอย่าลืมให้เครดิตผมด้วยล่ะกัน”
หยางหมิงพึงพอใจอย่างยิ่งกับคำกล่าวของหวานฮันซู เขายื่นมือออกไปจับด้วยทันทีและให้สัญญาว่า
“ไม่ต้องกังวล ถ้าแพชตฟอร์มเฟยอวี่ของฉันกลายมาเป็นเบอร์หนึ่งแห่งอุตสาหกรรมไลฟ์สตีมเมื่อไหร่ ฉันจะยกความดีความชอบให้นายหมดเลย บางทีฉันอาจจะซื้อบ้านติดแม่น้ำตงไห่พร้อมรถอีกสักคนให้เป็นค่าตอบแทน”
หวานฮันซูพยักหน้าตอบอย่างสุขใจยิ่งยวด และกล่าวต่อว่า
“นายน้อยหยางสุภาพเกินไปแล้ว เพราะพวกเรามีเป้าหมายร่วมกันต่างหาก แถมผลประโยชน์ยังได้ร่วมกันทั้งคู่ ต้องขอบคุณนายน้อยหยางจริงๆ”
“ฮ่าฮ่า…กลับเข้าไปกันเถอะ เล่นให้เนียนๆหน่อยล่ะ!”
หยางหมิงยิ้มตอบและทั้งสองก็เดินกลับเข้ามาทันที ทุกคนที่กำลังเฝ้ารอพวกเขาอย่างใจจดใจ่จ่ออยู่ ก็พลันไปเห็นสีหน้าของหยางหมิงและหวานฮันซูบึ้งตึงยิ่งกว่าอะไร ฟางนี่และที่เหลือเห็นแบบนั้นก็คาดการณ์ได้ทันทีว่า การเจรจาระหว่างทั้งสองคงไม่ลงรอยกัน ดูท่าคงเหลืออยู่แค่วิธีเดียว เธอต้องโทรแจ้งตำรวจให้มาจัดการโดยเร็วที่สุด
ฟางนี่หยิบมือถือออกมา ขณะกำลังจะกดโทรออก หยางหมิงที่เหลือบไปสังเกตเห็นก็เอ่ยขึ้นว่า
“ประธานฟาง ยังอยากโทรเรียกใครให้มาช่วยอีก? หรือเป็นไปได้ไหมว่ายังเหลือผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลังอยู่อีก?”
ฟางนี่เอ่ยตอบเจือแจวน้ำเสียงขุ่นมัวไปว่า
“ฉันไม่มีใครคอยหนุนหลังทั้งนั้น แต่จะโทรหาตำรวจ! ฉันเชื่อว่ากฎหมายยังคงศักดิ์สิทธิ์เสมอ!”
“โทรหาตำรวจ? พวกตำรวจนี่แหละยิ่งตัวดีเลย สมองเธอยังดีอยู่ใช่ไหม?”
หยางหมิงเอ่ยถามด้ยวาจาแสนหยามเหยียด
“อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ฉันยอมเสี่ยง!”
ฟางนี่ตอบกลับเสียงแข็ง
ทั้งสองแยกออกไปทันทีคนละด้าน ทุกคนต่างเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
ในเวลานี้เอง ก็เป็นหวานฮันซูที่แสร้งรับบทเป็นคนดี หวังจะเป็นคนปิดเกมนี้ในทันที
“นายน้อยหยาง เห็นแก่ประโยชน์ระหว่างความร่วมมือของเราเถอะนะ ถอยกันคนละก้าวดีกว่าไหม?”
“ไม่ใช่ว่าฉันต้องการฉีกหน้าคุณหรอกนะ แต่เจ้าพวกนี้มันเกินเยี่ยวยาแล้วจริงๆ ฉันบอกว่าโปรเจคนี้มีปัญหาไปตั้งนานนมแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่แก้ไข ผิดพลาดปัญหาซ้ำซาก ช่วยไม่ได้นะ ตราบใดที่คุณฟางเลี้ยงอาหารสักมื้อในโรงแรมตงไห่ บางทีฉันอาจจะใจเย็นลงและยอมให้เวลาแก้ไขเพิ่ม แต่ถ้าไม่ฉันจะบอกเลิกสัญญาทันที และเดินทางไปฟ้องศาลเพื่อร้องเรียนค่าชดเชย!”
ทุกคนต่างทราบดีว่า การรับประทานในโรงแรมตงไห่มีค่าใช้จ่ายสูงเพียงใด ถ้าหยางหมิงจงใจแกล้ง เขาสามารถสั่งไวน์ราคาแพง หรืออาหารจานหรูได้ตามต้องการ กล่าวได้ว่าสามารถลั่นราคามื้ออาหารได้ถึงหลักหลายล้านภายในคืนเดียว
แน่นอนว่าฟางนี่ไม่เต็มใจจ่ายเงินในจำนวนมหาศาลขนาดนั้นอยู่แล้ว เธอเหลือบไปมองจ้าวเฉียนแวบหนึ่ง หวังให้เขาออกโรงช่วยเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าจ้าวเฉียนยอมช่วยจริงๆ บางทีอาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้ในอึดใจ สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับฟางนี่ในขณะนี้คือ การที่เธอต้องจ่ายค่าดินเนอร์ให้หยางหมิงในจำนวนหลายล้านหยวน ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ