ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่129 ลบหลู่
ตอนที่129 ลบหลู่
เมื่อเห็นว่าลุงห้าสีหน้าท่าทางดูจริงจังขึ้นมาทันตา บางคนถึงกับสะกิดเรียกให้จ้าวเฉียนรีบขอโทษ
“พ่อหนุ่มอย่าโง่ไปหน่อยเลย เอ็งชื่อแซ่อะไรห่ะ? ทำไมถึงทำตัวใหญ่โตแบบนี้ รีบๆขอโทษแล้วไสหัวไปดีกว่า!”
“ถูกต้อง! ยังไงซะพวกเขาทุกคนก็เข้าข้างเจ้าบ้านอย่างลุงห้าอยู่แล้ว นายยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจโลก!”
“รีบขอโทษไปเถอะ ไม่มีใครสนใจแกแล้ว”
“รีบๆขอโทษซะ…”
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจฟังคนพวกนี้อีกต่อไป เหลือบมองเซียนเชียงพร้อมรอยยิ้มประดับกว้างบนใบหน้า
ความหยิ่งหยองของเขามันมากจนใครหลายคนเริ่มจะทนไม้ไหว
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันพบเจอ ไอ้หนุ่มที่โง่งมไม่รู้อะไรเป็นอะไรขนาดนี้! กระทั่งจะโดนกระทืบอยู่แล้วยังมัวยิ้มอยู่ได้!”
“เออนั่นสิ! อย่าให้มันสันดารเสียแบบนี้ต่อไปจนโต! ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำ!”
“ลุงห้าครับ! พวกเราสนับสนุนให้คุณสั่งสอนมันให้หนัก!”
“ใช่ครับ! สั่งสอนมันให้เข็ด!”
“ผมเห็นด้วยครับ…”
สองมือยื่นล้วงกระเป๋ากางเกง เชิดศีรษะเหลือบหางตามองอย่างหยิ่งผยอง จ้าวเฉียนไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจแม้แต่น้อย ทว่ายังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกอดขึ้น
หยางเฉิงต้องการราดน้ำมันลงกองไฟอีกระลอก จึงกล่าวกระตุ้นไปว่า
“ลุงห้า เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ไอ้หนุ่มนี่หยิ่งผยองขนาดไหน ขนาดคนอื่นๆพูดขนาดนี้ยังไม่ฟัง! ไม่เพียงแค่นั้นยังยิ้มท้าทายคุณอีก ดูสายตาของมันสิ! สำนึกที่ไหน!! สันดานเสียตั้งแต่วัยรุ่น โตไปสักวันต้องเจอปัญหาแน่นอน ลุงห้าต้องดัดสันดานให้เลิกทำตัวสถุนได้แล้ว!”
นัยน์ตาคตู่นั้นของเซียนเชียงเหยียบเย็นลงทันที เค้นเสียงเรียกบอดี้การ์ดเหล่านั้นลากจ้าวเฉียนออกไป
จ้าวเฉียนยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ คำรามสั่งคำโต
“อย่าขยับ! ฉันออกไปเองได้! ไม่ต้องเข้ามาใกล้!”
หวานเจียงทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เธอรีบเร่งเดินเตรียมวิ่งออกไปทันที ทว่ายังไม่ทันได้ยกขา หลานหลินก็รั้งเธอไว้ไม่ให้ออกไป
“เสี่ยวหลิน! ถ้าอยากออกไปก็ข้ามศพพ่อไปก่อน!”
หวานหลินยื่นคำขาดท่าทีหงุดหงิดอย่างมาก
“แต่หนูเป็นคนพาเขามาที่นี่นะ หนูก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ? ถ้าเขาเป็นอะไรหลังจากนี้ มันจะกลายเป็นตราบาปของหนูไปตลอดชีวิต!”
หวานเจียนเถียงสวนกลับไป
“แล้วยังไง? ลูกเป็นลูกพ่อนะ! ถ้าออกไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับลูก พ่อจะทำยังไง!?”
หวานหลินไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ ถึงตัวหวานเจียงเองจะไม่สนว่าตัวเองจะเป็นหรือตาย แต่อย่างน้อยๆคนหนึ่งที่เป็นกังวลเรื่องของปลอดภัยของเธอ นั้นก็คือหวานหลิน
“ฮ่าฮ่า…”
หยางหมิงระเบิดหัวเราะอย่างสะอกสะใจยิ่งนัก
หวานฮันซูเองก็หัวเราะเยาะไม่หยุด
ทั้งสองรู้สึกราวกับได้แก้แค้นด้วยตัวเอง
ชางอี้ที่เพิ่งได้นามบัตรของจ้าวเฉียนมา เธอถอนหายใจด้วยความเศร้าใจยิ่ง ก่อนจะส่ายหัวและโยนนามบัตรทองคำขาวของจ้าวเฉียนทิ้งถังขยะไป
ในความคิดของเธอแล้ว จ้าวเฉียนที่ออกไปกับบอดี้การ์ดพวกนั้น คงมีสภาพไม่สวยแน่นอน ถึงเขาจะร่ำรวยขนาดไหน แต่มีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงแบบนี้ ยังไงก็ไม่เหลืออนาคตแน่นอน และเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ทั้งสองจะสามารถร่วมมือกันได้อีกต่อไป เก็บนามบัตรของเขาไว้ก็เป็นขยะเสียเปล่า
เซียนเชียงส่งผู้ช่วยของเขาออกไปป่าวประกาศกับทุกคนเสียงดังว่า
“ทุกท่านครับ กระผมต้องขอโทษจริงๆที่สร้างความเดือดร้อนให้ภายในงาน หลังจากนี้คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วนะครับ ฟลอร์เต้นเปิดให้บริการแล้ว เชิญทุกคนเต้นรำให้สนุกนะครับ!”
ณ สถานที่เกิดเหตุยามนี้ได้สงบลงแล้ว เพราะตัวปัญหาอย่างจ้าวเฉียนถูกเชิญออกไป ทุกคนต่างรีบพาคู่ของตัวเองออกไปยังฟลอร์เพื่อเต้นรำในทันที
หยางหมิงรู้สึกว่าโอกาสนี้ได้มาถึงแล้ว เขารีบเดินตรงไปหาหวานเจียงเพื่อเชื้อเชิญให้มาเต้นรำด้วยกัน
“เสี่ยวเจียง มาเต้นกันเถอะ”
“ไสหัวไป!”
หวานจัยงสวนตอบกลับไปทันที
หยางหมิงได้ยินแบบนั้นพลันรู้สึกอับอายไปชั่วขณะ แต่ก็ยังหน้าด้านกล่าวต่อว่า
“ครั้งนี้เจ้าหมอนั่นมันไม่รอดอยู่แล้ว เลิกหวังกับคนแบบมันได้แล้ว หรือเธออยากเลี้ยงดูคนพิการไปชั่วชีวิตกัน? ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวมัน เธอรับได้เหรอ?”
“ฮ่าฮ่า…ถ้ายังไม่หุบปาก ฉันจะประเคนหมัดใส่หน้านายแน่!”
หวานเจียงไม่แม้แต่ให้หน้าหยางหมิงเลยสักนิด เธอถึงขั้นยกหมัดขึ้นขู่ในทันใด
จะว่าอย่างไรได้ หยางหมิงเป็นถึงลูกชายของประธานเฟยอวี่ กรุ๊ป ทายาทมหาเศรษฐีแห่งเมืองตงไห่ แต่เธอกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด ย่อมเลี่ยงสายตาของผู้คนโดยรอบไม่ได้
อย่างไรก็ตามหวานหลินคิดว่า ลูกสาวของเธอควรจะออกไปเต้นรำกับหยางหมิง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ แม้ลูกสาวของเธอจะไม่ชอบหยางหมิง แต่อย่างน้อยที่สุด เขาทั้งดีและเหมาะสมกว่าจ้าวเฉียนเยอะ ลูกสาวของเขาควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
“เสี่ยวเจียง หยางหมิงมาชวนขนาดนี้แล้ว ควรให้เกียรติไปเต้นกับเขาหน่อยนะ”
หวานเจียงส่ายหัว ตอบอย่างหัวเด็ดตีนขาดว่า
“ไม่!”
“เป็นเพราะลูกไม่ค่อยมีเพื่อน นั้นเป็นสาเหตุที่ลูกสับสนในตัวเองอยู่ในตอนนี้ มีผู้ชายอีกเยอะแยะที่ดีกว่าเจ้าหมอนั้น ตราบใดที่ลูกยอมเปิดใจ พ่อมั่นใจเลยว่า ลูกจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน ออกไปเต้นรำกับหยางหมิงเถอะ”
น้ำเสียงในประโยคสุดท้ายของหวานหลิน เน้นหนักคล้ายเป็นคำสั่งการ
ตอนนี้เธอเป็นกังวลอย่างมาก จะเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวเฉียนข้างนอกนั่น? แค่ยืนอยู่ที่นี่เฉยๆยังร้อนใจราวกับมดในกระทะร้อน แล้วนับประสาอะไรจะออกไปเต้นรำกับหยางหมิง?
“พ่อเลิกสั่งหนูได้แล้ว ตอนนี้หนูไม่มีอารมณ์มาเต้นกับใครทั้งนั้น อย่าทำให้หนูต้องเกลียดหยางหมิงไปมากกว่านี้เลย”
หวานเจียงกล่าวตอบไปตามตรง
หยางหมิงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งไม่พอใจขึ้นไปใหญ่ เขาเอ่ยถามขึ้นว่า
“เซียวเจียง ฉันมีดีน้อยกว่าไอ้พิการนั่นเหรอ? ทำไทเธอต้องปฏิเสธฉันตลอด ทั้งๆที่ยังไม่เคยให้โอกาสด้วยซ้ำ?”
“ฉันไม่อยากให้โอกาสนาย รีบๆไสหัวไปได้แล้ว”
ความอดทนของเธอถึงขีดสุด ตวาดไล่อีกฝ่ายไปให้พ้นๆหน้าโดยไว
หยางหมิงทราบดีว่า ถ้ายังฝืนรั้งพูดต่อไป ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดเขามากขึ้นเท่านั้น เธอควาดไล่ส่งเสียงดังลั่นแบบนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเธอไม่ให้หน้าเขาเลยสักนิด หยางหมิงจึงเดินจากไปหาพ่อและกล่าวขึ้นด้วยความหงุดหงิดว่า
“พ่อ ช่วยอะไรผมหน่อย ไปบอกลุงห้าทีว่า ให้บอดี้การ์ดพวกนั้นสั่งสอนจ้าวเฉียนให้หนัก ขอแบบพิการไปตลอดชีวิตเลยยิ่งดี ไม่อย่างนั้นหวานเจียงคงไม่ตัดใจจากมันแน่นอน!”
หยางดฉิงพยักหน้าตอบว่า วางใจพ่อได้เลย ขอให้ลูกชายคนนี้มั่นใจ อีกไม่ช้าหวานเจียงจะต้องเหลียวมองลูกอย่างแน่นอน คล้อยหลังพูดจบ หยางเฉิงก็ตรงไปหาผู้ช่วยของเซียนเชียงทันที
“สวัสดีครับ คุณผู้ช่วยรบกวนติดตามลุงห้าให้หน่อยได้ไหม? พอดีผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา”
หยางเฉิงกล่าวตอบอย่างสุภาพ
“เอ่อ…ขอโทษนะครับคุณหยาง พอดีลุงห้าเพิ่งสั่งการมาว่า ถ้าไม่มีธุระสำคัญจริงๆ ยังไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนน่ะครับ”
ผู้ช่วยตอบปฏิเสธกลับไปอย่างจนใจ
หยางเฉิงดึงดันไม่ยอมแพ้ แอบยัดเช็คราคาหนึ่งแสนหยวนลงในมืออีกฝ่ายโดยตรง
“ถือว่าช่วยผมสักครั้งนะ ผมมีธุระสำคัญจริงๆ”
หยางเฉิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ผู้ช่วยเหลือบมองเช็คในมือมูลค่าหนึ่งแสนหยวนเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบและกระซิบเสียงแผ่วว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมจะลองไปคุยให้ดู แต่ได้ไม่ได้ยังไงอีกเรื่องนึงนะครับ”
“ฮ่าฮ่า…เข้าใจแล้ว ต้องรบกวนน้องชายหน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหาครับ รออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ”
“ได้เลย”
หยางเฉิงยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยความคาดหวัง รอให้ผู้ช่วยของเซียนเชียงกลับมาเรียกตัวตนเองไป
ห้านาทีผ่านไป ผู้ช่วยคนดังกล่าวก็เดินออกมา หยางเฉินร่วนหัวเราะอย่างสุขใจและรีบยกมือทักอีกฝ่ายทันทีว่า
“น้องชาย เป็นยังไงบ้าง? ลุงห้าว่างไหม?”
หยางเฉิงเอ่ายถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ลุงห้าเรียกคุณหยางให้เข้ามาได้ครับ เชิญทางนี้เลย”
“ฮ่าฮ่า…ขอบคุณน้องชายมากนะ”
หยางเฉิงดูมีความสุขอย่างมากและรีบเดินเข้าไปหา ติดตามผู้ช่วยที่นำทางเขาไปเพื่อเข้าพบกับเซียนเชียง
ไม่นานหลังจากนั้น หยางเฉิงก็พบเซียนเชียง อีกฝ่ายกวาดตามองทุกคนรอบบริเวณ เชิงสัญญาณว่าให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน
“พวกนายออกไปรอข้างนอก ฉันจะคุยกับคุณหยาง”
เซียนเชียงกล่าวสั่งอีกรอบหนึ่ง
ทุกคนโดยรอบบริเวณเดินออกไปทันที เหลือเพียงเซียนเชียงกับหยางเฉิงเท่านั้นภายในห้อง
“ลุงห้า เจอเด็กไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ ใช้แค่ไม้อ่อนกลัวว่าจะไม่หลาบจำเอาน่ะสิครับ”
หยางเฉิงกล่าวเปิดประเด๋นในทันที
อยู่ด้วยกันสองต่อสองกลับเปิดประเด็นเรื่องนี้มา คงไม่ได้ง่ายดายดั่งผิวเผินแน่นอน เซียนเชียงเอ่ยถามไปตามตรงว่า
“คุณหยาง มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“งั้นผมขอพูดตรงๆเลยนะครับ เด็กนั้นมีปัญหากับลูกชายผมมาก็นานแล้ว หวังว่าลุงห้าจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนมันให้หนัก ขอให้พิการเลยยิ่งดีครับ”
เซียนเชียงเหล่มมองหยางหมิงโดยไม่พูดไม่จาใดๆเป็นเวลานาน หยางเฉิงเห็นท่าทีแบบนั้นยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมันหมายความว่ายังไง? เต็มใจหรือไม่เต็มใจทำให้เขากันแน่?
“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยคุณหยางหรอกนะครับ แต่นี่ก็งานราตรีที่ผมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นมาเอง จะให้เกิดเรื่องรุนแรงแบบนั้นคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แถมเจ้าเด็กนั่นเองก็ดูไม่ใช่ธรรมดา ถ้าทางบ้านอีกฝ่ายเรียกร้องค่าเสียหามา ผมจะทำยังไง? เดี๋ยวนี้พอมีอินเตอร์เน็ต ข่าวหลุดมันเร็วและควบคุมยากนะครับ อย่างน้อยๆก็ใช้เงินกว่าหลายล้านเพื่อระงับข่าวพวกนี้ไม่ให้แพร่หลาย คุณหยางเข้าใจที่ผมพูดไหมครับ?”
ตราบใดที่สามารถกำจัดจ้าวเฉียนออกจากชีวิตได้ หยางเฉิงยินดีจ่ายเงินห้าถึงสิบล้านได้ เพราะถ้าหากหยางหมิงสามารถแต่งงานกับทางบ้านหวานเจียงได้ ในอนาคตเขาก็จะสามารถเข้าไปควบคุมฮวาหยิน กรุ๊ปได้เช่นกัน พอถึงเวลานั้น ตัวเขาคงมีทรัพย์สินส่วนตัวไม่น้อยกว่าหลักหลายพันล้าน แล้วเงินเพียงกี่ไม่ล้านในตอนนี้ยังมีความหมายอะไรอีก?
“ลุงห้า ตราบเท่าที่ผมจ่ายไหว ยังไม่ก็ไม่มีทางปเสธแน่นอน”
เซียนเชียงที่ได้ยินแบบนั้นพลันยิ้มแปลกๆให้ และปริปากกล่าวตอบไปสั้นๆว่า
“สิบล้าน”