ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่142 ทายาทเศรษฐี
ตอนที่142 ทายาทเศรษฐี
จ้าวเฉียนถูกเหลียวเซียวหยุนกอดแขนลากออกมาอย่างแนบแน่นผ่านแผนกต้อนรับไป พนักงานสาวคนนั้นถึงกับตกตะลึงอย่างมาก เพียงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาทั้งคู่ก็สนิทสนมกันถึงขนาดนี้แล้วเหรอ?
ในฐานะลูกสาวของประธานบริษัทหัวโหย้ว รถของเหลียวเซียวหยุนย่อมไม่ใช่ธรรมดา เป็นถึง lamborghini huracanสีน้ำเงิน ส่วนรถของจ้าวเฉียนเป็นแค่จากัวร์ธรรมดา ชิดซ้ายไปได้เลย
“สีน้ำเงินดูมีภูมิฐาน เหมาะสมกับคุณดีนะครับ”
จ้าวเฉียนกล่าวชื่นชม
เหลียวเซียวหยุนรู้สึกขบขันไม่ใช่น้อยกับคำพูดของจ้าวเฉียน เธอกล่าวตอบไปว่า
“นี่นายพูดจริงใช่ไหม? ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อท่าไหร่ บางที…นายอาจจะพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนก็ได้?”
“ผมโกหกคุณไปก็ไม่ได้อะไร แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ…ทำไมต้องพาผมไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ?”
เหลียวเซียวหยุนคลี่ยิ้มแปลกๆ เธอกล่าวตอบไปว่า
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยดีกว่า ไปถึงที่นั่นเดี๋ยวก็รู้เอง รีบขับรถไปเถอะ ไม่งั้นอาจสายได้นะ”
จ้าวเฉียนรีบพยักหน้าและขึ้นรถขับไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
รถlamborghiniคันนี้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนตลอดทางไป แต่อย่างไรตอนนี้เขาไม่ได้ชื่นชอบรถสปอร์ตเหมือนในอดีตแล้ว เพราะเขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของคนอื่น
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หลังจากจอดรถเสร็จ เหลียวเซียวหยุนก็โทรศัพท์หาใครบางคน พลางเดินควงคู่ไปพร้อมกับจ้าวเฉียน
“เซียวหยุน ทางนี้!”
เธอรีบลากจ้าวเฉียนตามสุ้มเสียงเรียกไปทันที
จ้าวเฉียนมองไปยังกลุ่มวัยรุ่นที่ส่งเสียงเรียก ปรากฏว่าเป็นบรรดาหนุ่มสาวที่กำลังโบกมือให้ เท่าที่นับดูมีทั้งหมดเก้าคนสี่คู่ ซึ่งอีกคนเป็นสาวโสด
ตอนนี้จ้าวเฉียนเข้าใจอย่างกระจางแจ้งแล้วว่า ทำไมเหลียวเซียวหยุนถึงต้องพาเขามาที่นี่ บรรดาเพื่อนฝูงล้วนมากันเป็นคู่ คงน่าอายไม่น้อยถ้าเหลือเธอเป็นส่วนน้อยที่โสดสนิท
เหลียวเซียวหยุนรีบเอ่ยปากทักทายเพื่อนๆ จากนั้นก็แนะนำตัวจ้าวเฉียนให้คนอื่นฟัง
“ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือแฟนฉันเอง เขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย หวังว่าพวกเธอจะไม่แกล้งเขากันนะ”
จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เขาคาดเดาจุดประสงค์ของเหลียวเซียวหยุนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหลียวเซียวหยุนหันมาพูดกับจ้าวเฉียนไปว่า
“จ้าวเฉียน พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง หวังว่าจะเข้ากับพวกเขาได้นะ?”
เธอกังวลว่าจ้าวเฉียนจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ จึงกระพริบตาส่งซิกให้อย่างลับๆ
ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากทำให้เหลียวเซียวหยุนต้องขายหน้า จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มให้ทุกคนและกล่าบทักทายอย่างสุภาพว่า
“สัวสดีครับ ผมชื่อจ้าวเฉียน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อยด้วยความเคารพ แต่ความเป็นมิตรของเขากลับไม่ได้แลกมาซึ่งความเป็นมิตรของพวกเขาที่มีให้เลย
“เซียวหยุน เธอยังสติดีอยู่รึเปล่า? ทำไมถึงหาแฟนได้สถุนแบบนี้?”
“นั้นสิ! เขาดูหล่อก็จริงแหละ แต่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งตัวแล้ว คงเป็นพวกยากจนอ่ะ ภูมิหลังครอบครัวคงไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”
“เซียวหยุน พวกเราบอกไปก่อนหน้าแล้วไงว่า พวกเราไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเธอยังหาแฟนไม่ได้ แต่ไม่เห็นต้องลงไปเกลือกกลั้วกับคนจนแบบนี้เลย”
เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนดูถูกจ้าวเฉียนชนิดที่ว่าไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เขาไม่ดีพอสำหรับเหลียวเซียวหยุน
เหลียวเซียวหยุนยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก และตอบกลับไปว่า
“พวกเธอคิดมาเกินไปแล้ว ฉันชอบเขาจริงๆนะ ดังนั้นช่องว่างระหว่างสถานะจึงไม่เกี่ยวเลย ถึงตอนนี้เขายังมีเงินไม่มากนัก แต่ครอบครัวของฉันก็รวยพอที่จะเลี้ยงเขาไปจนตาย”
ทุกคนต่างไม่ยอมแพ้และพยายามเกลี้ยกล่อมเหลียวเซียวหยุนต่อไป
“แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าคุณพ่อของเธอรู้เข้าจะรู้สึกยังไง? จะเห็นด้วยกับพวกเธอสองคนงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง ค่อยๆหาไปเดี๋ยวก็เจอคนที่ใช่เองนั้นแหละ พวกเธอสองคนคบกันไปก็มีแต่หายนะ”
“เสี่ยวหยุน ฟังที่พวกเราแนะนำหน่อยเถอะ รีบๆบอกเลิกมันซะ ไม่อย่างนั้นเธอได้เสียใจทีหลังแน่นอน”
เหลียวเซียวหยุนก็ยังเอาแต่ชื่นชมจ้าวเฉียนไม่หยุดหน่อย เธอเคยเห็นความกล้าหาญของจ้าวเฉียนมากับตาในงานราตรีคืนนั้น และเหตุการณ์นั้นเองก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกชอบจ้าวเฉียนมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ฟังคำเกลียกล่อมของบรรดาเพื่อนฝูง เธอกลับคิดว่านี่มันตลกมาก และอดหัวเราะดังลั่นไม่ได้
จ้าวเฉียนดูลำบากใจไม่น้อยในขณะนี้ และไม่คิดเลยว่าบรรดาเพื่อนๆของเหลียวเซียวหยุนจะดูถูกดูแคลนเขาถึงขนาดนี้ และข้อสำคัญคือ เขาไม่ใช่แฟนของเหลียวเสี่ยวหยุน ถ้าคนรู้จักมาเห็นเขาอาจกระทบกับชื่อเสียงของตนได้
เจียงหลี่หลินกล่าวโอ้อวดขึ้นทันที
“เสี่ยวหยุน นี่เธอกำลังหน้ามืดตามัวเข้าขั้นวิกฤตเลยนะ อย่างน้อยๆคนที่จะคู่ควรกับพวกเราต้องมีภูมิฐานที่ดีหน่อย อย่างแฟนฉันเนี่ย ที่บ้านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีเงินตั้งหลายพันล้านหยวน”
หวังชิงกล่าวชมแฟนตัวเองเช่นกัน
“จางซูแฟนของฉันเองก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ครอบครัวของเขาผูดขาดกับตลาดนี้เกือบทั้งหมดในเขตไห่เป่ย”
เจวียนหมิงเอ่ยก็เหลือบหางตามองจ้าวเฉียนด้วยความรังเกียจ และหันไปกอดแขนแฟนหนุ่มอย่างแนบแน่น โดยกล่าวว่า
“หวางกันแฟนฉันทำงานกับการสร้างโครงการบ้านจัดสรรเหมือนกัน กำลังปีหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยล้าน”
เฉินเสี่ยวเฉียงเห็นทุกคนต่างอวดแฟนก็ไม่ยอม กล่าวชื่นชมแฟนตัวเองขึ้นว่า
“เฉียนหมินแฟนฉันเองก็เปิดธุรกิจร้านอาหารกว่า30สาขาภายในเมืองนี้ ลำพังแค่สาขาเดียวยังไม่มีปัญหาซื้อมาเลยมั่งแฟนเธอน่ะ? อย่าเอามาเทียบชั้นกับแฟนพวกเราเชียวล่ะ!”
และสาวโสดเพียงคนเดียวในบรรดาเพื่อนฝูงของเหลียวเซียวหยุนมีชื่อว่า อวู่เฉียน เธอเองก็พยายามกล่าวโอ้อวดเหมือนกันว่า
“ถึงคนที่ฉันกำลังคุยอยู่ยังไม่ได้คบหาเป็นแฟน แต่เขาเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดเฟยอวี่ กรุ๊ป! แพลตฟอร์มไลฟ์สตีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศ! เมื่อเร็วๆนี้แพลตฟอร์มเฟยอวี่ มีมูลค่าทรัพย์สินพุ่งสูงขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อน เมื่อไหร่ที่ฉันเป็นแฟนกับเขา คงสบายไปอีกนาน!”
จ้าวเฉียนหันไปมองเหลียวเซียวหยุพร้อมรอยยิ้มขื่นบนใบหน้า เธอเองก็ยิ้มตอบอย่างรู้สึกผิดเช่นกัน เธอไม่รู้มาก่อนเช่นกันว่า คนที่อวู่เฉียนกำลังคุยด้วยจะเป็นหยางหมิง
ในเวลานั้นเอง แฟนของเจียงหลี่หลินก็ก้าวออกมาตวาดใส่จ้าวเฉียนว่า
“เฮ้! นายกล้าดียังไงมาคบหากับเสี่ยวหยุน? อยากมีหน้ามีตาในสังคมขนาดนั้นเลยรึไง? ทุกคนในแวดวงทายาทเศรษฐีต่างคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แล้วแกมาจากไหนว่ะ? คิดจะมาเกาะผู้หญิงกินรึไง? หน้าอย่างแกมีคุณสมับัติอะไรมาควงแขนกับเธอหะ?! กลับจากอเมริกาแล้วยังไง ทำงานประจำจะได้เงินเดือนสักเท่าไหร่เชียว? หรือต้องให้เธอจ่ายค่าเลี้ยงดูเพิ่ม?”
“ฮ่าฮ่าๆ! ดูเสื้อผ้ามันก่อน ทั้งตัวรวมแล้วราคายังไม่ถึงหมื่นหยวนเลย! กระโปรงของเสี่ยวหยุนแค่ตัวเดียวก็หลักแสนแล้ว น่าสมเพชวะ!”
แฟนของเจวียนหมิงกล่าวเยาะเย้ยซ้ำเติมอีกระลอก
คนอื่นๆเองก็เตรียมซ้ำต่อแล้ว แต่จ้าวเฉียนไม่อยากทนฟังอีกต่อไป จึงรีบกล่วาแทรกขึ้นทันทีว่า
“พวกคุณต่างหากที่ใช้ชีวิตได้น่าสมเพชจริงๆ ใช้เงินที่พ่อแม่หามาแถมยังพูดจาดูถูกคนอื่นได้อย่างหน้าไม่อาย แล้วอีกอย่างนะ ไม่ใช้คนรวยทุกคนที่ต้องทำตัวรวยตามฐานะ ผมชอบใส่ชุดง่ายๆสบายๆ และไม่อยากเป็นจุดเด่น ก็เลยเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าราคาถูก ถ้าพวกคุณไม่มีครอบครัวคอยหนุนหลัง คิดเหรอว่าจะมีปัญญายืนอยู่บนจุดนี้กันได้? ถึงเสื้อผ้าการแต่งตัวของคุณจะดูดี แต่ภายในของพวกคุณทุกคนเน่าเฟะซะยิ่งกว่าหนอนแทะศพอีก”
“เซียวหยุนได้ยินที่มันพูดไหม?! มันกล้าพูดจาทุเรศๆแบบนี้กับพวกเรานะ! เธอต้องเลิกกับไอ้หมอนี่เดี๋ยวนี้!”
“ใช่แล้ว! พวกเราไม่ต้อนรับคนแบบมัน! มันดูถูกพวกเราเกินไป!”
“เธอต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วนะ ว่าควรฟังคำแนะนำของพวกเราหรือไอ้หมอนี่!”
……
คนเหล่านี้ต่างพูดจาสบถด่าจ้าวเฉียนอย่างเดือดดาล ในเวลาเดียวกันนั้นเองคนที่กำลังคบหาดูใจอยู่กับอวู่เฉียนก็เดินมาพอดี นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางหมิงจริงๆ
เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวเฉียนเริ่มไม่สู้ดีนัก เหลียวเซียวหยุนจึงจับมือของเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว
“พอได้แล้ว! พวกเธอนั้นแหละกล้าดียังไงมาด่าแฟนต่อหน้าฉัน! ถ้ายังไม่หุบปากแบบนี้ก็แยกย้ายกันเดินเถอะ!”
เหลียวเซียวหยุนกอดแขนจ้าวเฉียนและจากออกไปโดยตรง ปล่อยให้คนอื่นๆยืนถอนหายใจพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“นี่! อย่าเพิ่งไปสิ! รอว่าที่แฟนฉันก่อน! เขากำลังเดินมาโน้นแล้ว!”
อวู่เฉียนตะโกนไล่หลัง
จ้าวเฉียนเหลือบมองไปเห็นเงาหยางหมิงตรงเคาน์เตอร์ ดูท่ากำลังซื้อตั๋วให้ทุกคนอยู่ร
จ้าวเฉียนหัวร่อคำหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณรู้ว่าหยางหมิงจะมาด้วย ก็เลยจงใจลากผมมา?”
“เหอะ เหอะ…ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคนที่อวู่เฉียนกำลังคุยด้วยเป็นหยางหมิง ช่วยทนให้ผ่านวันนี้ไปก่อนนะ ฉันสัญญาว่าพรุ่งนี้นายดิลกับผู้จัดการได้สำเร็จแน่นอน”
เหลียวเซียวหยุนหยุดเดินพลางยิ้มแห้งให้
จ้าวเฉียนรู้สึกว่าเงื่อนไขดังกล่าวคุ้มค่าไม่ใช่น้อยเลย แต่เดิมเป้าหมายของเขาคือการมเจรจาความร่วมมืออยู่แล้ว ถ้าเธอสามารถรับประกันจากปากได้ถึงขนาดนี้ ทุกอย่างหลังจากนี้ก็ปราศจากอุปสรรค์ใดอื่นแล้ว