ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่192 ข่าวร้าย
ตอนที่192 ข่าวร้าย
หยางหูรับสายโทรศัพท์ของจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามไปว่า
“คุณชายจ้าว เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วเหรอครับ?”
“อู่เลอถูกแก๊งอันตพานทุบตีขาจนหัก เหมือนว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันขอนายแค่อย่างเดียวพอ…ไปจัดการกับมันให้เดินไม่ได้ตลอดชีวิต!”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบส่งมือดีไปตรวจสอบทันที”
“นอกจากนี้ ฝากประสานกับทางผู้อำนวยการลี่ด้วย ส่งตัวอู่เลอไปที่โรงพยาบาลเขต1 และหาหมอมือดีที่สุดมารักษาเขา!”
“รับทราบแล้วครับ ผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด!”
หยางหู่กดวางสายทิ้งไปทันทีที่พูดจบ และส่งลูกน้องของเขาไปตรวจสอบหาความจริง
หยางหู่ไม่เคยได้ยินจ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงดุดันขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตระหนักดีว่า สถานการณ์ตอนนี้มันร้ายแรงเพียงใด และเขาต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
ขณะนั้นเอง ด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย อู่ซินก็รีบเดินทางมาโรงพยาบาลเช่นกัน จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็เดินไปปลอบเธอทันที
“ตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
อู่ซินรู้สึกเศร้าใจเกินรับไหว จู่ๆเธอก็คว้าเอวจ้าวเฉียนพุ่งไปกอดทั้งน้ำตาโดยไม่พูดไม่จาใดๆทั้งสิ้น สายตาคู่นั้นของหวานเจีงเองหันควับจับจ้องไปที่จ้าวเฉียนโดยไว เจือหงุดหงิดเล็กน้อย แต่อย่างไรเสีย เธอก็ยังตรงเข้าลูบหลังอู่ซินอย่างแผ่วเบา เธอไม่มีทั้งญาติพี่น้องใดๆ อยู่กินกับพี่ชายตัวเองมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่หวานเจียงจะรู้สึกเห็นใจเช่นกัน
หวานเจียงกล่าวปลอบอู่ซินขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร…เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเอง บางทีอาจเป็นกระดูกหักเฉยๆ ไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่านั้นก็ได้นะ”
อู่ซินตกใจไม่น้อย ก่อนจะหันมากอดแขนหวานเจียงและระเบิดน้ำตาออกมาอีกครั้ง
จ้าวเฉียนเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน แค่เห็นแววตาของหวานเจียงก็รู้แล้วว่า เธอกำลังหงุดหงิดเขาอยู่ เพื่อเบี่ยงไม่ให้อู่ซินกอดกับเขา เธอจึงอาสาตรงเข้ามาปลอบด้วยตัวเอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรดาลูกมือในทีมคนอื่นๆก็รีบยกขบวนวิ่งแหกันเข้ามา และเอ่ยถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
จ้าวเฉียนบอกให้ทุกคนใจเย็นลงก่อน
“อย่ากระโตกกระตากไป หมอกำลังรักษาเขาอยู่ ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง แต่อย่าเพิ่งไปรบกวนพวกหมอดีกว่านะ”
“เสี่ยวซิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ใช่แล้ว! ไอ้พวกเวรนั้นมันเป็นใคร? บังอาจทำร้ายพี่เลอเชียวเหรอ!?”
“แล้วเธอเห็นหน้าพวกมันไหม?”
คำถามมากมายถาโถมเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เธอหันไปกอดหวานเจียงและร้องไห้ออกมาอีกระลอก ในความเห็นของอู่ซิน ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอล้วนๆ ถ้าเธอไม่ออกมาเดินกับพี่ชาย เขาคงไม่ถูกทำร้ายแบบนี้นแน่นอน
จ้าวเฉียนรีบเข้ามาห้ามปรามทุกคนทันที แต่ในเวลาเดียวกัน คุณหมอก็ตรงออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนรีบวิ่งไปถามในทันใด
“คุณหมอค่ะ พี่หนูเป็นยังไงบ้าง?”
อู่ซินเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามด้วยความวิตกกังวล
หมอถอนหายใจเฮือกหนึ่งเอ่ยตอบไปตามตรงว่า
“เชาโชคดีมากเลยนะครับ ที่กระดูกหักแค่บางส่วน พักสักหน่อยเพื่อรอกระดูกผสานตัวก็จะดีขึ้นเองครับ”
ความรู้สึกของทุกคนดั่งยกภูเขาออกจากอก พร้อมเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แล้วต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะหายเป็นปกติครับ?”
“นี่พูดยากนะ โดยปกติต้องใช้เวลากว่า3-6เดือน ถ้าจะให้หายดีเลยจริงๆก็บวกไปอีก2เดือนได้เลย”
คุณหมออธิบายไปตามความจริง
ข่าวนี้ทำให้ทุกคนสิ้นหวังโดยไม่ต้องสงสัย เพราะนั้นหมายความว่าอู่เลอจะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งระดับเอเซียได้แน่นอนในเดือนหน้า
“แล้วแบบนี้จะทำยังไง? พี่เลอจะเข้าร่วมการแข่งเดือนหน้าไหวได้ยังไง?”
“ยังจะคิดเรื่องนี้อีกเหรอ? ไม่ได้ยินคุณหมอบอกรึไง? อย่างน้อยก็ต้องสามเดือน!”
“ถ้าพี่เลอ…รู้เรื่องนี้เข้าจะทำยังไง? เขาคงเสียใจตายแน่เลย เขารอโอกาสนี้มาตั้ง5ปีเชียวนะ ถ้าพลาดไปก็ต้องลงแข่งเพื่อคว้าสิทธิ์ใหม่ในปีหน้า”
….
อู่ซินไม่อยากฟังอะไรใดๆทั้งสิ้นอีกแล้ว เธอหันหลังและเดินจากออกไปโดยตรงทั้งน้ำตา เธอรู้ว่า พี่ชายของเธออยากจะพิสูจน์ตัวเองขนาดไหนกับการแข่งครั้งนี้ แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ทำลายความฝันนั้นลง
จ้าวเฉียนตะโกนเสียงขรึมดังลั่นเพื่อหยุดทุกคน
“เอาล่ะ! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว! ถ้าพี่เลอออกมา ทุกคนต้องบอกว่าใช้เวลาแค่40ถึง50วันถึงจะดีขึ้น! เข้าใจไหม?”
ทุกคนเข้าใจความหมายทันทีว่าจ้าวเฉียนพยายามจะทำอะไร เขาไม่ต้องการจะดับไฟแห่งความหวังในตัวอู่เลอลง ดังนั้นทุกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วยในทันที
คุณหมอเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี จึงเดินไปบอกพยาบาลให้ช่วยกันปิดบัง
ไม่นานพยาบาลคนหนึ่งก็เข็นอู่เลอออกมา
จ้าวเฉียนตรงออกไปกล่าวกับเขาทันทีอย่างยิ้มแย้มว่า
“พี่เลอโชคดกีมากเลยนะ! แค่กระดูกหักเล็กน้อยไม่ถึงกับละเอียดจนเสียทรง ขอเพียงพี่เลอให้ความร่วมมือกับการรักษา ประมาณ40-50วันก็ดีขึ้นแล้ว! น่าจะทันเวลาแข่งพอดี!”
อู่เลอได้ยินแบบนั้นก็คลี่ยิ้มออกทันที นี่ยังพอมีเวลาสำหรับลงแข่งระดับเอเชีย ถ้าหายก่อนเวลาที่กำหนดก็น่าจะเหลือเวลาซ้อมด้วยซ้ำ
หยางหู่จัดการเรื่องโรงพยาบาลเสร็จสิ้น และพาอู่เลอย้ายไปที่โรงพยาบาลเขตหนึ่งในห้องพักที่ดีที่สุด เพื่อให้อู่เลอทำโปรแกรมการรักษาและบำบัด หวังฟื้นตัวให้ได้ไวที่สุด
หลังจากที่อู่เลย้ายเข้าห้องพักไปแล้ว เขาก็ขอให้อู่ซินและคนอื่นๆกลับไปก่อน เขามีบางอย่างที่อยากคุยกับอู่เลอกันแค่สองต่อสอง
“บอสครับ คิดเหมือนผมไหมว่า ต้องมีใครบางคนจงใจไม่ให้ผมเข้าร่วมการแข่งระดับเอเชีย ไม่อย่างนั้นจะมีพวกอันตพานที่ไหนพกไม้เบสบอลกันมาพร้อมมือ ราวกับเตรียมการกันไว้ล่วงหน้าแต่แรกแล้ว?”
อู่เลอยกข้อสงสัยขึ้นมาไถ่ถามทันที
จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า
“ฉันเองก็คิดเห็นกัน แค่นายไม่จำเป็นต้องกังวลไป ฉันจะลงมือหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้เอง ตอนนี้นายทำใจให้สบายแล้วรักษาตัวไปก่อนเถอะ ทันทีที่รู้ตัวการ ฉันจะแก้แค้นมันแทนนายให้สาสมเอง!”
อู่เลอพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากบอสด้วยนะครับ แต่อย่าทำอะไรไม่คิดไม่คิดหลังนะครับ ตรวจสอบก่อนว่า อีกฝ่ายมีอำนาจอิทธิพลแค่ไหน ดีไม่ดีกลัวเป็นอันตรายถึงบอสด้วย”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า
“ไม่ต้องกังวลไป ฉันรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ตั้งใจทำการรักษาตามที่หมอบอกนะ ต้องหายให้ทันการแข่งให้ได้”
“ขอบคุณบอสมากครับ ผมจะรีบหายแล้วกลับไปซ้อมโดยเร็ว ทันการแข่งเดือนหน้าแน่นอนครับ!”
อู่เลอเอ่ยปากสัญญากับจ้าวเฉียนพร้อมรอยยิ้ม
แต่อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนรู้ดีว่าตัวเองหมดหวังแล้วสำหรับเกมการแข่งในเดือนหน้า เขาเพียงหวังให้อู่เลอกลับมาหายเป็นปกติโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในปีหน้า
อู่ซินและคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว แต่หวานเจียงยังคงนั่งรออยู่นอกวอร์ดพยาบาล พอเห็นจ้าวเฉียนเดินออกมา เธอจึงรีบตรงเข้าไปหาทันที
“นายคิดว่านี่เป็นฝีมือใคร?”
หวานเจียงเอ่ยถาม
จ้าวเฉียนไม่พูดไม่จาอันใด แต่โบกมือให้ตามเขามา
ทั้งสองกลับลงไปที่ลานจอดรถและเป็นหวานเจียงที่เอ่ยถามอีกครั้ง
นัยน์ตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธ เขากล่าวตอบไปว่า
“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร แต่คราวนี้ฉันไม่ปราณีมันแน่! ชอบเห็นคนอื่นโดนทุบตีมากนักใช่ไหม? ฉันจะให้มันลิ้มรสเองว่า มันเจ็บปวดแค่ไหน!”
แววตาใสของหวานเจียงพลันสั่นไหวเล็กน้อย ดูคล้ายกับว่าเธอมีอะไรบางอย่างต้องการจะพูด แต่พอเห็นท่าทีของจ้าวเฉียนเป็นแบบนี้เธอจึงเงียบลงไป
ถึงอย่างไรสิ่งนี้มิอาจหลบซ่อนจ้าวเฉียนได้พ้น เขาเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
หวานเจียงลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบไป
“ถ้าเป็นกรณีที่เฟิงเต๋อทำ ฉันไม่คิดว่านายควรใช้ไม้แข็งกับเขานะ เขาเป็นผู้กำกับชื่อดัง ถ้านายไปทำร้ายร่างกายเขา ตำรวจจะไม่ยอมปล่อยนายไปง่ายๆแน่ เพราะเรื่องนี้มันจะกระจายไปถึงสาธารณชนได้”
จ้าวเฉียนไม่กลัวถูกฝูงชนตราหน้าใดๆ เขาตอบกลับไปอย่างไม่แยแสทันที
“เฟิงเต๋อมันอยู่ในบัญชีดำของฉันอยู่แล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นคนทำหรือไม่ก็ตาม แต่ชีวิตของมันจะต้องถูกฉันทำลายอยู่ดี ถ้าบังอาจมาทำเรื่องแบบนี้อีก ไม่เพียงแค่มันจะหมดอนาคต แต่เตรียมนั่งวิวแชร์ไปตลอดชีวิตได้เลยคอยดู!”
หวานเจียงไม่เคยเห็นสีหน้าของจ้าวเฉียนที่ดุดันขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าคราวนี้ เขากำลังโกรธจริงๆแล้ว
“ฉันรู้นะว่านายหัวเสียมาก ฉันเลยมาเกลี้ยกล่อมนายอยู่นี่ไง ชื่อเสียงของเฟิงเต๋อ นายก็รู้ดีว่าเป็นยังไง ถ้านายทำร้ายร่างกายเขาจริงๆ สื่อจะประโคมข่าวให้นายเป็นคนร้ายในสายตาของทุกคน!”
หวานเจียงพยายามเกลี้ยกล่อมให้จ้าวเฉียนใจเย็นลง
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวเยาะไปว่า
“ก็แค่ผู้กำกับคนหนึ่ง ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว เป็นคนร้ายในสายตาทุกคน? ฉันเคยผ่านเรื่องแบบนั้นมาแล้ว แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่กลัวเช่นกัน! ช่างเถอะ พูดไร่สาระมาเยอะแล้ว ขอตัวก่อน บาย”
จ้าวเฉียนกำลังเดินกลับขึ้นไปห้องพักตัวเองเพื่อนอนพักผ่อน แต่หวานเจียงยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับเขยือนไปไหน จู่ๆเธอก็เอ่ยถามน้ำเสียงต่ำว่า
“เอ่อ…ฉันขออยู่ดูแลนายสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้พวกเราค่อยออกจากโรงพยาบาลกัน”
รอยยิ้มในครั้งนี้ของจ้าวเฉียนกลับไม่ดูขี้เล่นแบบครั้งก่อนๆ เขาตอบกลับไปอย่างไร้เยื้อใยว่า
“ฉันไม่ยินดีต้อนรับ ขอบคุณ”
หวางจิ้งมุ่ยหน้าใส่พร้อมเอ่ยขึ้นอีกรอบว่า
“ฉันจะคุยเรื่องโปรเจคหนังรถแข่งด้วยนะ ก็ถือโอกาสนี้คุยกันให้เรียบร้อยกันไปเลยไง!”
จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ และตอบกลับไปสั้นๆว่า
“ตก]’”
จากนั้นเขาก็เดินขึ้นลิฟต์กลับไปห้องตัวเองทันที
พอเข้าไปถึงห้องพัก จ้าวเฉียนก็กล่าวขึ้นว่า
“ฉันแบ่งเตียงให้เธอครึ่งหนึ่ง ฉันจะนอนแล้ว”
หวานเจียงกลอกตาใส่กล่าวตอบไปว่า
“อย่าได้ฝัน! ฉันไม่นอนกับนายแล้ว!”
คล้อยหลังพูดจบ หวานเจียงก็คว้าเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งเอนหลังพักพิง และปัดจอมือถือเล่นโทรศัพท์ไปพลาง
บรรยายกาศเงียบสงัดลงทันควัน จ้าวเฉียนนอนพลิกตัวไปมาหลายครั้ง แต่ก็นอนไม่หลับสักที จึงหันมาคุยกับหวานเจียงว่า
“ขนาดนั่งพักยังจะใส่ส้นสูงอีกงั้นเหรอ ไม่ปวดบ้างรึไง? โน้น ไปวางบนชั้นหน้าประตู”
หวานเจียงเองก็คล้ายว่าเพิ่งคิดได้ เธอจึงถอดส้นสูงและเดินไปวางบนชั้นทันที พอถอดรองเท้าออกแล้ว ทำให้เห็นถุงน่องแนบเนื้อเป็นทรงสวย มองโดยรวมแล้ว เรียวขาสีขาวนวลนั่นช่างเซ็กซี่อย่างยิ่ง
จ้าวเฉียนเอื่อมมือไปยกขาของหวานเจียงขึ้นมา เล่นเอาเธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ ก่อนที่เธอจะปริปากบ่นใดๆ จ้าวเฉียนขัดจังหวะกล่าวขึ้นว่า
“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันเคยมีโอกาสไปเรียนนวดกับหมอนวดประจำบ้านมาน่ะ เวลาก่อนหน้า ทั้งพ่อและแม่ชอบให้ฉันนวดเท้าคลายจุดให้ เธออยากลองไหม?”
“เอาจริงดิ? นายเนี่ยนะ? ฉันไม่อยากจะเชื่อ!”
จ้าวเฉียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลองก่อนสิ นี่ฉันไม่เคยนวดเท้าให้ผู้หญิงคนไหนนอกจากแม่เลยนะ”
“โอ้? แสดงว่าโอกาสแบบนี้หายากนะเนี่ย? งั้นเอาสิ! แต่ถ้านวดไม่ดี ฉันถีบนะ!”
หวานเจียงรวนหัวเราะคิกคัก
“ไม่มีปัญหา! เธอขึ้นมานอนบนเตียงนี่มา เดี๋ยวฉันนวดให้ บอกไว้ก่อน หลังจากนี้อย่าเผลอมาตกหลุมรักกันล่ะ!”
หวานเจียงเห็นว่าการกระทำครั้งนี้ของจ้าวเฉียนดูไม่มีพิศสงอะไร เธอจึงพยักหน้าและขึ้นไปนอนบนเตียงคนไข้แทน