ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่218 ระดมพลฉลอง
ตอนที่218 ระดมพลฉลอง
ในไม่ช้าก็ผ่านไปหนึ่งเดือน พอได้รับอนุญาตจากแพทย์ อู่เลอก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด
จ้าวเฉียนทำการจองห้องไว้สำหรับฉลองทันทีที่โรงแรมตงไห่ และเรียกบรรดาลูกน้องทั้งใหม่และเก่าแห่แหนกันเข้ามาซะชุดใหญ่
พวกเขาเหล่านี้เป็นแล่ช่างซ่อมรถและลูกมือนักแข่งธรรมดาทั่วไป ไม่เคยมีโอกาสได้มารับรับประทานอาหารและฉลองในโรงแรมตงไห่ชั้นเจ็ดสุดหรูมาก่อน พวกเขาทุนคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“บอสจ้าวของเราสุดยอดไปเลย! นี่มันโอกาสหนึ่งเดียวในชีวิตจริงๆที่ได้มีโอกาสขึ้นมาฉลองที่นี่ได้!”
“ถูกต้อง! ฉันเคยได้ยินมาว่าคนที่จะเป็นห้องอาหารส่วนตัวในชั้นที่เจ็ดได้จะต้องเป็นระดับVIPของโรงแรมตงไห่เท่านั้น! แค่ค่าอาหารขั้นต่ำก็แพงกว่าทั้งชีวิตฉันแล้ว!”
“บอสจ้าวกำลังทำธุรกิจควบคู่ไปด้วยเหรอครับ? ทำไมถึงรวยจัง?”
…..
ทุกคนต่างเกิดข้อสงสัยขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะกับพวกอู่เลอ ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้ยังต้องเก็บเงินสองแสนใช้เวลาตั้งห้าปีกว่าจะครบ ทำไมชีวิตของอีกฝ่ายถึงกลับกันราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้ได้?
เพื่อความสบายใจของทุกคน จ้าวเฉียนตึงต้องโกหกไปว่า
“ตอนแรกฉันก็เป็นพนักงานเงินเดือนทั่วไปนี่แหละ แต่ดีนโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่งเข้า ตอนนั้นบริษัทที่ฉันทำงานกำลังประสบปัญหา จึงเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุน ต่อมาบริษัทพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด มูลค่าหุ้นในส่วนของฉันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มีรายได้เข้ามากว่าหลายสิบล้านหยวน….”
จ้าวเฉียนยังคงอธิบายกับทุกคนกว่าสืบนาที จนทำเอาทุกคนตกใจอย่างมากกับประวัติเส้นทางชีวิตอันน่าเหลือเชื่อของเขา
“บอสจ้าว เป็นคนมองการร์ไกลสรรหาโอกาสต่างๆเข้ามาในชีวิต! ถ้าตอนนั้นบังเอิญถูกรางวัลที่หนึ่งได้ แสดงว่าบอสเองก็เป็นคนโชคดีไม่น้อย?”
“นั้นสิ บอสมีเคล็ดลับเสริมโชคไหม? บอกพวกเราหน่อย! ฮ่าฮ่า…”
“ใช่แล้วบอส! มีเคล็ดลับดีๆก็ต้องแบ่งปันให้กันนะ!”
…..
จ้าวเฉียนรวนหัวเราะพลางกล่าวตอบไปว่า
“ฉันก็ไม่มีเคล็ดลับอะไรหรอก อันที่จริงเพราะโชคช่วยล้วนๆล่ะนะในตอนแรก แต่ต่อมา พอมีเงินสักก้อนในมือ ฉันก็พยายามเสาะหาความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาสถานะความเป็นอยู่ของตัวเอง เลยเลือกเข้ามาเป็นนักลงทุนน่ะ”
อาหารในค่ำคืนนี้ จ้าวเฉียนแทบจะไม่ได้กินอะไรมากเท่านั้น ขณะจะตักเนื้อเข้าปากคนหนึ่งก็เอ่ยถาม พอตอบเสร็จก็มีอีกคนเอ่ยถามขึ้นต่อไม่หยุด
หลังจากจบค่ำคืนการฉลอง ทุกคนรับประทานอาหารและกินดื่มจนพอใจ จ้าวเฉียนก็ขอกล่าวอะไรทิ้งท้ายให้ทุกคนฟัง
“เอาล่ะ ฉันขอพูดอะไรหน่อย วันนี้ที่จัดงานฉลองส่วนหนึ่งก็เพื่อต้อนรับอู่เลอที่ออกจากโรงพยาบาล แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างความสนิทสนมให้กับคนในทีม ได้พูดคุยและทำความรู้จักกัน สำหรับงานแข่งรอบฤดูใบไม้ร่วงในอีกสองเดือนข้างหน้าง ฉันหวังว่า อู่เลอ,หยางจานคุน, หลิวกวน พวกนายทั้งสามจะติดสามอันดับแรกกัน พวกนายมั่นใจแค่ไหน?”
อู่เลอกล่าวตอบทันที
“บอสจ้าววางใจได้ ผมจะพยายามสุดฝีมือครับ!”
หลิวกวนเองก็รีบแสดงจุดยืนของตนออกมาเช่นกัน
“ผมขอสัญญาเลยครับว่าจะอุทิศกายใจกับการแข่งครั้งหน้า และคว้าสามอันดับแรกมาให้บอสจ้าว!”
มีเพียงหยางจานคุนที่ไม่กล้าเอ่ยปากรับประกัน เขายิ้มและกล่าวว่า
“ถึงผมจะไม่สามารถเอ่ยได้เต็มปากขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่บอสจ้าวมั่นใจได้เลยคือ คุณจะไม่มีทางผิดหวังในตัวผมแน่!”
จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดเมื่อได้ยินหยางจานคุนกล่าวออกมาแบบนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นบุคลิกส่วนตัวของเขา แต่ที่แน่นอนก็คือ เขาคนนี้ไม่มีทางหาทางตันมาให้ตัวเองแน่นอน และจะทำทุกอย่างเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
คนที่ลงมือทำแต่พูดไม่เก่ง คนประเภทนี้นับว่าไม่เลว ตราบใดที่เขาแสดงให้เห็นว่าตัวเองพยายามเต็มที่แล้ว จ้าวเฉียนย่อมพึงพอใจเป็นธรรมดา
จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“เอาล่ะ ฉันเชื่อมั่นในความสามารถของพวกนายสามคนนะ การแข่งจะมาถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ส่วนพวกนาย ต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนนักแข่งที่ตัวเองดูแล ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถคว้าสามอันดับแรกมาได้ โบนัสสิ้นปีนี้ของทุกคน ฉันรับประกันได้เลยว่า ต้องได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนแน่นอน!”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นต่างชูแก้วขึ้นโดยพร้อมเพรียง และเอ่ยปากสรรเสริญแก่จ้าวเฉียน
“บอสจ้าวจงเจริญ!”
“บอสจ้าวมั่นใจในตัวพวกเราได้ครับ! พวกเราจะให้ความร่วมมือกับพวกเขาทั้งสามเป็นอย่างดี!”
…..
ทุกคนต่างเอ่ยปากชื่นชมจ้าวเฉียนไม่หยุดปาก กอดคอกันหัวเราะอย่างสนุกสนาน จ้าวเฉียนเห็นดังนั้นจึงปรบมือส่งสัญญาให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง
“โอเค สำหรับมื้อนี้พวกนายกินดื่มต่อให้เต็มที่ จากนั้นก็กลับไปตั้งใจทำงหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ฉันจะรอฟังข่าวดีนะ! ฉันขอตัวก่อน”
ทุกคนเอ่ยอำลาจ้าวเฉียน และเขาก็เดินออกจากห้องอาหารไป
เพิ่งขับรถออกจากโรงแรมได้ไม่นาน หวานเจียงก็โทรสายเข้ามาหา
จ้าวเฉียนเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้มว่า
“ว่าไงครับคนสวย? ที่โทรหากันแบบนี้ไม่ใช่ว่าคิดถึงหรอกนะ?”
หวานเจียงหัวเราะคิดคักอยู่สักครู่ ก่อนตอบกลับไปว่า
“นายนี่มันคิดเข้าข้างตัวเองตลอดเลยนะ ที่โทรมาเพราะมีเรื่องจะคุยน่ะ”
“ฮ่าฮ่า…รู้สึกซาบซึ้งจริงๆที่ได้ยินแบบนั้น คืนนี้เธอว่างหรือเปล่าล่ะ? ออกมานัดเจอกันหน่อย”
“แน่นอนฉันว่าง เจอไหนดีล่ะ?”
“ฉันอยู่ที่โรงแรมตงไห่ นัดเจอที่นี่เลยไหม?”
“โอเค ฉันกำลังไป”
หวานเจียงวางสายโทรศัพท์และรีบเดินทางมายังโรงแรมตงไห่โดยไว
ในไม่ช้า เธอและจ้าวเฉียนก็เจอกันในห้องอาหารส่วนตัว
จ้าวเฉียนประเดิมเอ่ยถามติดตลกไปว่า
“ไม่ได้พบเธอมาสักพักใหญ่เลยแหะ นี่สวยขึ้นรึเปล่า? สงสัยคงมีช่วงเวลาดีๆกับผู้กำกับหนุ่มนั้น?”
หวานเจียงกลอกตาใส่พลางสวนกลับไปทันที
“อย่ามาพูดไร้สาระ นอกจากเรื่องงาน ฉันกับเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น”
จ้าวเฉียนยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า
“ทำไมถึงต้องประหม่าล่ะ? ก็เห็นๆอยู่ว่ากำลังโกหก เธอนี่เล่นละครไม่เนียนเลยนะ”
หวานเจียงคว้าแก้วน้ำในมือสาดใส่จ้าวเฉียนทันที แต่โชคยังดีที่เขาหลบทัน เธอสบถขึ้นอย่างเงียบๆว่า
“หยุดพูดได้แล้ว น่าเบื่อ! ตกลงนายยังจะทำหนังรถแข่งอยู่ไหม?”
จ้าวเฉียนพนักหน้าและขอให้หวานเจียงลองเล่าเนื้อเรื่องคราวๆที่กำลังร่างในสคริปต์มา
หวานเจียงเริ่มอธิบายโครงเรื่องให้แก่เขาฟังทันที รวมไปถึงเรื่องนักแสดงต่างๆที่จะมารับบท
แน่นอน เมื่อมีโอกาสมาเช่นนี้ จ้าวเฉียย่อมไม่ปล่อยทิ้งให้สูญเปล่า เขากล่าวกับหวานเจียงขึ้นว่า
“ฉันว่าคนที่จะมารับบทนางรองควรเปลี่ยนคนแสดงนะ”
หวานเจียงพยักหน้าและเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างรู้เท่าทันว่า
“จะให้อู่ซินมารับบทนางรองใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนยกนิ้วให้พร้อมกล่าวชมเชยตอบไปว่า
“ฉลาดหนิ เธอเป็นศิลปินคนเดียวในบริษัทฉัน แน่นอนว่าฉันไม่พลาดโอกาสนี้มาให้เธอแน่นอน”
หวานเจียงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าตกลง แต่เธอก็มีข้อแม้เช่นกัน
“ฉันตกลง แต่นายต้องปล่อยหุ้นบาง ฉันจะเอาไปชดเชยให้กับนักลงทุนบางส่วน”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับว่า
“ก็ได้ ฉันแค่ต้องการ45% ที่เหลือเธอเอาไปจัดสรรได้ตามสบาย แล้วหนังเรื่องนี้สรุปตัวเลขได้รึยังว่าต้องลงทุนเท่าไหร่?”
หวานเจียงตอบกลับทันควันว่า
“ทั้งหมด300ล้าน นายที่ถือหุ้นอยู่45%ก็เท่ากับต้องออกเอง15ล้าน”
นี่มันโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน จ้าวเฉียนที่ถือหุ้นอยู่45%เขาต้องออกเงินจ่ายเพียง135ล้านไม่ใช่เหรอ? คิดได้ดันนั้นเขาก็ยิ้มถามกลับไปว่า
“แล้ว15ล้านที่เหลือมาจากไหน? เป็นค่าสินสอดให้เธอเหรอ?”
หวานเจียงปิดปากหัวเราะเล็กน้อย เธอถามกลับไปว่า
“คิดว่าเงินแค่15ล้านมันจะพอสำหรับแต่งงานกับฉันไหมล่ะ?”
จ้าวเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ พลางเอ่ยถามไปว่า
“แล้วต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”
หวานเจียงเค้นน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย ตอบไปว่า
“ก็สักสามหรือสี่พันล้าน! ถ้านายหาเงินมาได้ครบเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมแต่งงานกับนายทุกเมื่อ”
จ้าวเฉียนลุกขึ้นเดินไปกระซิบข้างหูหวานเจียง น้ำเสียาทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นว่า
“ได้ ถ้าผมสามารถหาได้ถึงสี่พันล้านเมื่อไหร่ คุณต้องแต่งงานกับผมทันที ตกลงไหม?”
ถึงยังไงหวานเจียนก็มั่นใจว่า จ้าวเฉียนไม่มีหาเงินได้มากขนาดนั้นแน่นอน เธอจึงกล่าวตอบไปด้วยความมั่นใจว่า
“ได้ ถ้าหาได้ครบสี่พันล้านเมื่อไหร่ เอาสมุดบัญชีมาพิสูจน์ให้ดู แล้วฉันจะคุกเข่าขอนายแต่งงานเลย!”
จ้าวเฉียนเขกหัวเธอไปทีหนึ่งและสบถขึ้นว่า
“ฝันไปเถอะ! ถ้าฉันมีงินสี่พันล้าน คงไม่โง่ไปให้เธอหรอกจริงไหม? เหอะ เหอะ…เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”
สงสัยครั้งนี้จ้าวเฉียนจะเล่นแรงเกินไปจริง ภาพฉากไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้นทันใด จู่ๆน้ำตาพลันไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหวานเจียง เธอรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น พร้อมตะคอกสวนกลับไปทันทีว่า
“เออ! ฉันไม่ดีพอสำหรับนายหรอก! ถ้าจะล้อเล่นกัน ก็ช่วยเล่นเบาๆหน่อยได้ไหม! ครั้งนี้มันไม่แรงเกินไปหน่อยรึไง?”
“อ่า…ฉันขอโทษ งั้นพรุ่งนี้ฉันพาเธอไปช็อปปิ้งดีไหม? พาไปดูหนังพร้อมดินเนอร์อาหารเย็นด้วย? ถือเป็นการไถ่โทษไง?”
หวานเจียงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า
“จริงเหรอ?”
จ้าวเฉียนหยิบแบล็คการ์ดออกมาและนำไปยัดไว้ในมือเธอโดยตรง แล้วกล่าวขึ้นว่า
“เอาไป รหัส3638”
หวานเจียงคว้าแบล็กการ์ดขึ้นมาชื่นชมทันที เธอกล่าวน้ำเสียงดูตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“โอ้โห! นี่มันแบล็คการ์ดของธนาคารแห่งชาติ! ขนาดฉันยังไม่มีเลย! ภูมิหลังของนายคืออะไรกันแน่? น่าทึ่งเกินไปแล้ว!”
จ้าวเฉียนเขกหัวเธออีกรอบ และกล่าวเยาะขึ้นว่า
“พอเห็นว่ารวยขึ้นหน่อยก็รีบอ่อยเหยื่อเลยรึไง?”
หวานเจียงตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไง เธอโยนแบล็คการ์ดในมือทิ้ง ผลักร่างจ้าวเฉียนจนเสถอยออกไปทันที
“ไอ้บ้า! เอาการ์ดปลอมมาหลอกฉันเหรอ! ฉันไม่สนหรอกนะว่าแบล็คการ์ดใบนี้จะของปลอมหรือของจริง แต่นายพูดเองว่า จะพาฉันไปช็อปปิ้ง ดูหนังแล้วพาไปดินเนอร์! นายต้องทำตามสัญญา! นี่เพิ่งทุ่มกว่าเอง พาฉันไปชอปปิ้งเดี๋ยวนี้เลย!”