ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่221อย่าหาว่าฉันไร้ซึ่งความเมตตา
ตอนที่221อย่าหาว่าฉันไร้ซึ่งความเมตตา
หวานเจียงทราบดีเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างจ้าวเฉียนกับหยางหมิง และเธอไม่อยากทำให้เขาเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายโดนเร็วว่า
“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ เรื่องนี้มีเหตุผล”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและขอให้เธออธิบายทันทีว่าทำไม
พูดง่ายๆ คือ หยางเฉิงกับหวังหลินเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยที่พวกเขาก่อร่างสร้างตัว และเนื่องจากเฟยอวี่กรุ๊ปประสบความสูญเสียอย่างหนักจากเรื่องฉาวของสองสตีมเมอร์ดังจนทำให้เกิดจากฟ้องร้องและเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลจากบริษัทภาพยนตร์ในเครือบริษัทของจ้าวฝู่ โดยรวมแล้วตกอยู่ที่ประมาณ1.2พันล้านหยวน
แน่นอนว่าบริษัทเฟยอวี่กรุ๊ปไม่มีเงินสดก้อนใหญ่ขนาดนั้น ก็เลยต้องจำใจขายลิขสิทธิ์บางอย่างออกไป เพื่อหาเงินเข้ามาชดเชยค่าเสียหาย1.2พันล้านนี้
ในฐานะเพื่อนยากที่ร่วมบุกเบิกกันมา หัวงหลินไม่อยากเห็นหยางเฉิงต้องล้มละลายทั้งแบบนี้ จึงช่วยซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องดังกล่าวมา และนิยายอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่หยางหมิงเคยซื้อเก็บเอาไว้
หลังจากที่ได้ลิขสิทธิ์เรื่อง ‘เทพอสูรบรรพกาล’ มา ฮวาหยินกรุ๊ปก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าเข็นโปรเจคนี้ออกมาทำทันที
แต่อย่างไรนี่คือช่วงฤดูทองแห่งหนังและภาพยนตร์ ทำให้ค่าเช่าช่วงเวลาในช่องทีวีค่อนข้างมีต้นทุนที่สูงมาก ทุกบริษัทที่ทำในด้านนี้ล้วนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลออกไป แต่เสียงตอบรับกลับไม่ได้มากเท่าที่ควร นี่จะส่งผลกระทบถึงสถานะการเงินขงอบริษัทนั้นๆ อย่างรุนแรง และฮวาหยินกรุ๊ปไม่มีเงินทุนสำรองมากขนาดนี้ พอหวานเจียงทราบเรื่องนี้ คนแรกที่เธอนึกถึงคือจ้าวเฉียน
จ้าวเฉียนมีเงินจำนวนมากกว่าที่เธอจินตนาการอยู่ในมือ แต่มันอยู่ที่ว่าเขาจะเต็มใจร่วมลงทุนหรือเปล่า และนี่ก็เป็นหน้าที่ของเธอเช่นกันที่จะเกลี้ยกล่อมเขา
กล่าวตามตรงก็คือ หวานเจียงกำลังต้องการใช้เงินในมือจ้าวเฉียนเพื่อช่วยฮวาหยินกรุ๊ป ทดสอบตลาดสำหรับทีวีซีรีย์เรื่อง ‘เทพอสูรบรรพกาล’ ว่าจะไปต่อจนสร้างซีซั่นต่อๆ มาได้หรือไม่
หลังจากที่รับฟังคำอธิบายของหวานเจียงเสร็จหมด จ้าวเฉียนพยักหน้าถามต่อว่า
“แล้วลิขสิทธิ์นิยายทั้งหมดอยู่ในมือฮวาหยินกรุ๊ปแบบผูกขาดหรือเปล่า?”
คู่ดวงตาของหวานเจียงฉายแววเศร้าเล็กน้อย เธอส่ายหัวด้วยความรู้สึกผิดและกล่าวตอบไปตามจริง
“เฟยอวี่กรุ๊ปยังถือครองลิขสิทธิ์อยู่20%”
สีหน้าการแสดงออกของจ้าวเฉียนเย็นยะเยือกลงทันใด เขาแสยะยิ้มหัวเราะเยาะใส่หวานเจียงไปทีหนึ่งและถามกลับไปว่า
“นี่คุณ…คิดจะดูถูกผมรึไง?”
หวานเจียงส่ายหัวโดยไวกล่าวปัดไปว่า
“ฉันจะคิดแบบนั้นกับนายได้ยังไง นี่นายคิดว่าฉันกำลังยืมมือนายช่วยเฟยอวี่อยู่รึไง? ถ้าต้องทำแบบนั้นจริงๆ ฉันสู้เอาเงินโยนทิ้งขยะไม่ดีกว่าเหรอ? อะไรที่นายกำลังคิดอยู่ หยุดคิดไปเดี๋ยวนี้นะ! มันไม่ใช่แบบนั้นเลย!”
จ้าวเฉียนลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ ตรงเข้าไปใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มเธอแน่นและกรนเสียงเย็นกล่าวขู่ไปว่า
“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่! นี่เธอเห็นฉันโง่นักรึไง! ขนาดคนปัญญาอ่อนมาเห็นก็รู้ว่าเธอกำลังช่วยเฟยอวี่! เลิกล้มความคิดไปซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน!”
“นี่นายเป็นบ้าอะไรของนาย! นายก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับหยางหมิงมันเป็นยังไง? แต่นายก็ยังพล่ามอะไรก็ไม่รู้! นี่ไม่คิดจะเชื่อใจกันเลยรึไง?!”
อันที่จริง หวานเจียงเองก็พอจะทราบดีอยู่แก่ใจว่า จ้าวเฉียนจะต้องไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรเธอก็ยังต้องต่อสู้เพื่อพ่อของเธอ และเพื่อลิขสิทธิ์ทั้งหมดที่จ่ายไปแล้ว
เพียงว่า หวังหลินยังเห็นแก่หน้าเพื่อนเก่าอย่างหยางเฉินมากเกินไป จึงทำให้เธอตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แบบนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากบอกความจริงกับจ้าวเฉียน และลองเสี่ยงดูเท่านั้น
แววตาของหวานเจียงดูอ่อนข้อลงเล็กน้อย เธอพยายามกล่าวปลอบไปว่า
“ฉันรู้ว่าฉันมันเลว แต่ตอนนี้พ่อของฉันเองก็ออกมาเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เหมือนกัน มีอะไรที่ฉันพอจะทำได้ไหมเพื่อให้นายมาร่วมมือ?”
จ้าวเฉียนส่ายหัวท่าทีเด็ดขาดพร้อมตอบไปว่า
“ไม่มีที่ว่างสำหรับเรื่องนี้อีกต่อไป ฉันไม่มีทางให้เฟยอวี่ได้กำไรจากสิ่งที่ฉันทำแม้แต่หยวนเดียว! ทางออกเดียวคือ ลิขสิทธิ์ที่เหลืออยู่ในมือทั้งหมดของเฟยอวี่ต้องเป็นของฉัน!”
หวานเจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามไปว่า
“ถ้าต้องการแบบนั้น นายต้องจ่ายเพิ่มหน่อยนะ ฉันขอร้องเถอะ พ่อของฉันอยากจะช่วยทางนั้น ในฐานะคนเป็นลูกมันก็ลำบากใจไม่น้อยเลยนะ ขอร้องเถอะ”
สมแล้วที่ได้ชื่อว่าราชินี ทักษะการพูดเกลี้ยกลอมของเธอนับว่าไม่เลว
จ้าวเฉียนลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า
“ฉันสามารถจ่ายได้นะ หากแลกมากับลิขสิทธิ์ทั้งหมดในมือเฟยอวี่ จะสูงหน่อยฉันก็ไม่ติดใจหรอก แต่ฉันมีเงื่อนไขที่เธอต้องชดเชยให้ฉัน”
หวานเจียงพยักหน้าและถามกลับไปว่า
“นายพูดมาเถอะว่าต้องการอะไร?”
จ้าวเฉียนยิ้มเยาะและตอบไปว่า
“ฉันจะบอกเธอเองเมื่อถึงเวลา แต่ตอนนี้เธอต้องรับปากฉันก่อนว่าจะทำตามสัญญา”
หวานเจียงส่ายหัวตอบปฏิเสธทันที ถ้าหากเขาเล่นตุกติกขึ้นมาและขออะไรบางอย่างที่มากเกินที่เธอจะรับได้ล่ะ? ดังนั้น ก่อนที่เธอจะรับปากอะไร อีกฝ่ายก็ควรบอกมาก่อนว่ามันคืออะไร
จ้าวเฉียนในตอนนี้ก็อารมณ์เสียไม่ใช่น้อยเช่นกัน เขาทนกับความเอาแต่ใจของเธอมาครั้งแล้วครั้งเล่า และเธอก็ยังไม่รู้ตัวเองอีกว่า สิ่งใดดีหรือไม่ดีสำหรับเธอและครอบครัว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเธออีกต่อไป
“งั้นลืมไปซะ ลองไปหาคนอื่นขอร้องให้เขาช่วยดูแล้วกัน แต่ยังไงก็เถอะ ฉันขอเตือนเธอไว้อย่าง ถ้าเธอกล้าช่วยเฟยอวี่ นั้นเท่ากับว่าคุณเป็นศัตรูกับผมทันที หลังจากนี้ก็อย่าหาว่าฉันไร้ซึ่งความเมตตาก็แล้วกัน นี่เห็นว่าสนิทด้วยนะ เลยเตือนถึงขนาดนี้!”
หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็เดินจากออกไปโดยไม่แม้แต่แยแส
หวานเจียงไม่เคยเห็นบริษัทเฉียนเก๋ออยู่ในสายตาอยู่แล้ว บริษัทของจ้าวเฉียนเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน จะไปเทียบเคียงกับฮวาหยินกรุ๊ปของเธอที่คลำวอดในวงการมาแล้วหลายสิบปีได้ยังไง? การที่เขาพูดจาแบบนี้มันหยิ่งผยองเกินเธอจะรับได้! คิดได้แบบนั้น เธอก็รีบไล่ตามจ้าวเฉียนออกไปทันที และพยายามหยุดจ้าวเฉียนที่ลานจอดรถ
“จ้าวเฉียน หยุดเดี๋ยวนี้!
หวานเจียงแหกปากตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัด
จ้าวเฉียนเหลือบศีรษะหันมองเธออย่างคร้านจะใส่ใจ เอ่ยถามด้วยท่าทีเฉยชาขึ้นว่า
“มีอะไร?”
หวานเจียงตะคอกสวนทันทีว่า
“เออมี! ฉันแค่จะเตือนอะไรนายสักอย่างเหมือนกัน! อย่าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรตามใจกับคนอื่นได้อยู่ฝ่ายเดียว! นี่คิดว่าจะทำลายฮวาหยินกรุ๊ปได้จริงๆ งั้นเหรอ? ฉันจะบอกอะไรไว้อย่างนะ…นายไร้เดียงสาเกินไป! นายคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกคนให้โคจรรอบตัวนายได้รึไง! หัดมองความเป็นจริงซะบ้าง!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าแสนเฉยชา และหมุนตัวกลับขึ้นรถและขับสวนร่างเธอออกไปทันที หลายสิ่งอย่างมันถาโถมเข้ามาดุจห่าพายุ หวานเจียงเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เธอระเบิดน้ำตาร้องไห้โฮอยู่แบบนั้น พลางจับจ้องท้ายรถของจ้าวเฉียนที่ค่อยๆ จากออกไป
จะให้พูดยังไงดีล่ะ? ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมันเกินไปกว่าเพื่อนหรือคู่ค้ากันไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าปัญหามากมายถาโถมรุมเข้ามาใส่ตัวเธอขนาดนี้ แต่จ้าวเฉียนกลับไม่แม้แต่เห็นใจยื่นมือช่วยเหลือกันเลย เธอรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างมากที่ไปรักคนแบบนี้ ทำได้เพียงหลับตาและพยายามทำใจยอมรับมันอย่างเปล่าประโยชน์
กล่าวตามหลักการแล้ว ฮวาหยินกรุ๊ปเป็นบริษัทจดทะเบียนแบบมหาชน เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเข้าควบคุม
จ้าวเฉียนขับรถไปที่ฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ทันทีและตรงเข้าไปในห้องทำงานของหวู่เสี่ยวหัว
หวู่เสี่ยวหัวรีบลุกขึ้นทักทายอีกฝ่ายและเอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ค่ะ?”
จ้าวเฉียนเอ่ยปากสั่งการทันที
“คุณช่วยตรวจสอบผู้ถือหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปหน่อยว่ามีใครบ้าง พร้อมอัตราส่วนการถือครองทั้งหมด ผมต้องการทราบผลโดยเร็วที่สุด”
หวู่เสี่ยวหัวรีบดำเนินการโดยไว ประมาณห้านาทีต่อมา เธอก็กลับเข้ามาในห้องทำงานยพร้อมเอกสารชุดหนึ่งในมือ
จ้าวเฉียนรีบเปิดอ่านทันทีโดยละเอียด ในฐานะบริษัทสื่อบันเทิงรุ่นบุกเบิก ดังนั้นส่วนผู้ถือหุ้นจึงกระจายออกไปหลายฝักฝ่าย ทั้งยังมีประวัติการเพิ่มจำนวนหุ้นอยู่หลายครั้ง
มูลค่าทุนจดทะเบียบรวมได้สองพันล้านหยวน ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่2.9หยวนต่อหุ้น มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงถึง5.8พันล้านหยวน รายชื่อผู้ถือหุ้นสิบอันดับแรกได้แก่ ประธานฮวาหยินกรุ๊ป หวานหลิน จำนวนหุ้นที่ถือห้าร้อยล้านหุ้นคิดเป็น25%จากทั้งหมด และผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับที่สองได้แก่ น้องชายของหวานหลิน หวานไห่จำนวนที่ถือ100ล้านหุ้นคิดเป็น5%จากทั้งหมด และตั้งแต่อันดับสามลงมาถึงอันดับสิบ ไม่มีใครถือเกินกว่า5%อีกเลย ดังนั้นเมื่อรวมจำนวนหุ้นของผู้ถือสิบอันดับแรกก็จะเท่ากับ800ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ40%จากนั้นหมด
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขและกล่าวกับหวู่เสี่ยวหัวว่า
“ช่วยวานให้นักวิเคราะห์ของฟู่ไห่ช่วยประเมินที ว่ารวมแล้วต้องใช้เงินเท่าไหร่ผมถึงจะครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปได้”
หวู่เสี่ยวหัวรีบวิ่งออกไปหาทีมวิเคราะห์อีกครั้ง สิบนาทีต่อมาเธอก็วิ่งกลับมาพร้อมกับรายงานการวิเคราะห์
ตามการประเมิน ต้องใช้เม็ดเงินอย่างน้อย4พันล้านหยวนในการถือสิทธิ์ควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปโดยชอบธรรม หรือถึงเป็น51%จากหุ้นทั้งหมดของฮวาหยินกรุ๊ป
จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า
“มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันของบริษัทนี้อยู่แค่5.8พันล้าน หากผมต้องการ51%ทำไมถึงต้องใช้เงินมากถึง4พันล้าน?”
หวู่เสี่ยวหัวอธิบายโดยเร็วว่า
“หากเราเริ่มเคลื่อนไหวโดยการกวาดหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยก่อน ราคาหุ้นในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้นทันทีอย่างน้อย20-30% 4พันล้านหยวนนี่เป็นแค่อย่างต่ำที่ประเมินไว้เท่านั้นค่ะ เพราะมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะพุ่งสูงเกิน50%ระหว่างที่เรากว่านซื้อหุ้น แต่คุณชายจ้าว ทำไมคุณถึงต้องการฮวาหยินกรุ๊ป ทางเราเองก็มีบริษัทที่ผลิตภาพยนตร์และสื่อต่างๆ อยู่ในเครือแล้วเช่นกัน”
จ้าวเฉียนนั่งนิ่งกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก รายจ่ายกว่า4พันล้านหยวนเพื่อแลกมากับบริษัทเดียว มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแพงมาก แม้ว่าครอบครัวของเขาจะไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างทิ้งขว้างเช่นกัน
“ฉันจะเอายังไงดีกับฮวาหยินกรุ๊ป?”
จ้าวเฉียนบ่นพึมพำกับตัวเองชั่วขณะหนึ่ง